หญิงสาวตอบรับเสร็จสรรพเรียบร้อย นั่นเลยทำให้ฉินโม่หานรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณดูมีความมั่นใจในตัวเองมากเลยนะ”
“แน่นอน มันเป็นวิชาชีพเพราะทางของฉัน”
ซูสือเยว่เชิดหน้าขึ้นตรงด้วยความภาคภูมิใจ “เมื่ออยู่ในขอบเขตที่ตัวเองถนัดแล้วไม่มีอะไรที่ไม่มั่นใจหรือว่าทำไม่ได้ทั้งนั้น”
ท่าทางภาคภูมิใจน้อย ๆ ของเธอทำให้ฉินโม่หานอดยิ้มไม่ได้ “ในเมื่อมั่นใจในความสามารถของตัวเองขนาดนี้ แล้วทำไมหลังจากที่จบจากมหาลัยแล้ว ถึงได้เป็นผู้แสดงฉากต่อสู้แทนอยู่ตั้งห้าปีล่ะ แต่กลับไม่เคยได้แสดงบทบาทอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง?”
สีหน้าของซูสือเยว่ขาวซีด
เธอก้มหน้าลง แล้วพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “เพราะว่าเฉิงเซวียนไม่อยากให้ฉันเข้าวงการบันเทิง…”
“เพียงเพราะเหตุผลนี้?”
เห็นได้ชัดว่าฉินโม่หานไม่เชื่อ “ตอนนี้เซี่ยงหวั่นฉิงแฟนสาวของเฉิงเซวียนก็อยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน”
“อีกอย่าง เฉิงเซวียนก็พยายามทุ่มเทความช่วยเหลือของเขาเพื่อช่วยให้เซี่ยงหวั่นฉิงยืนในวงการการแสดงอย่างมั่นคง”
เหตุผลที่ว่าเฉิงเซวียนไม่สนับสนุนนี้ เห็นชัดเลยว่าไม่มีทางทำให้ฉินโม่หานยอมเชื่อได้
ใบหน้าที่ขาวซีดของซูสือเยว่ก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
นิ้วมือของเธอพันกันอยู่ที่ใต้โต๊ะอย่างช่วยไม่ได้
โปรดยกโทษที่เธอไม่สามารถบอกถึงความกังวลของเธอให้ฉินโม่หานได้
ฐานะและความร่ำรวยของฉินโม่หาน มันโดดเด่นออกมาเกินกว่าทุกคนมาก
ด้วยฐานะเช่นนี้ของเขา ไม่ควรที่จะมีภรรยาที่แปดเปื้อนเลย
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
ในขณะที่บรรยากาศห้องชั้นพิเศษกำลังจะจมดิ่งสู้ความน่ากระอักกระอ่วนนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูของห้องชั้นพิเศษดังขึ้นมา
พนักงานเสริมอาหารได้นำอาหารมากมายเข้ามา “ไม่ได้รบกวนท่านทั้งสองใช่หรือไม่ครับ?”
“ไม่”
เสียงทุ้มต่ำของฉินโม่หานมีความไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
ส่วนซูสือเยว่ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง อาหารของพวกคุณมาครบแล้วครับ”
หลังจากสองนาทีผ่านไป พนักงานก็ได้โค้งตัวทำความเคารพก่อนที่จะออกไป “ขอให้ท่านทั้งสองรับประทานอาหารให้อร่อย”
หลังจากที่พนักงานเดินออกไปแล้ว ซูสือเยว่กลัวว่าฉินโม่หานจะพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีก จึงได้รีบตักอาหารให้เขาอย่างเอาใจใส่ “หิวจังเลยนะคะ”
“พวกเรารีบกินกันเถอะ!”
ฉินโม่หานมองเธอ ดวงตาดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อย
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ยกหัวข้อก่อนหน้านี้มาพูดอีก
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ฉินโม่หานก็ทำตามคำแนะนำของซิงหยุนกับซิงเฉิน โดยพาซูสือเยว่ไปดูหนัง
ส่วนหนังที่แนะนำก็เป็นแนวรักโรแมนติก ปรากฏว่าตอนที่หนังฉายไปได้ครึ่งเรื่อง นางเอกก็ได้สูญเสียความทรงจำ ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับพระเอกไปแล้ว จากหนังรักโรแมนติกดีๆ กลายเป็นหนังเศร้าแทน
ซูสือเยว่นั่งฟุบอยู่ตรงเก้าอี้ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาไหล
ก่อนหน้านี้เธอก็มันจะรู้สึกเหมือนสูญเสียความทรงจำสิ่งนี้มันซ้ำซากมาก ทั้งยังมีเลือดมากมาย
เมื่อหน้าปีก่อนเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เลยทำให้เธอสูญเสียความทรงจำไปประมาณครึ่งปี
หลังจากที่เธอสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริงๆ ถึงได้พบว่า ไม่มีความทรงจำแล้วนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะทุกข์ทรมานอย่างนี้
เมื่อมองดูนางเอกที่จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยรู้จักกับพระเอก ทั้งยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยให้กำเนิดลูกกับพระเอกมาก่อน ซูสือเยว่ก็เริ่มน้ำตาไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำก็มิปาน ห้ามอย่างนั้นก็ไม่อยู่
“ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องแต่ง”
เมื่อเห็นเธอร้องไห้เสียจนกระหืดกระหอบ มือใหญ่ที่เรียวยาวก็ได้ยื่นออกมา แล้วโอบศีรษะของเธอเข้าสู่อ้อมกอดที่อบอุ่น “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
เสียงที่ทุ้มต่ำอ่อนโยนของผู้ชายดังขึ้น กลับทำให้ซูสือเยว่ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
โม่ฉินหานจนปัญญา ได้แต่ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา
ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหล ยิ่งไหลก็ยิ่งเช็ดต่อ
ถึงแม้ตัวเขาจะรู้สึกประหลาดใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะนิสัยดีขนาดนี้
ท้ายที่สุด หนังก็จบลงแล้ว
นางเอกที่สูญเสียความทรงจำนึกถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระเอกขึ้นมาได้ แล้วทั้งสองก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
แต่ทำไมซูสือเยว่ถึงไม่อารมณ์ดีขึ้น
เธอรู้ว่านางเอกได้ความทรงจำกลับมาแล้ว
แต่ความทรงจำครึ่งปีนั้นของเธอกลับไม่หวนคืนมาอีกแล้ว
คุณหมอบอกว่าสมองของเธอได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ความทรงจำเหล่านั้นไม่อาจหวนคืนกลับมาแล้ว ให้เธอไม่ต้องถามถึงมันอีก
หลังจากที่กลับมาจากโรงหนัง ตลอดการเดินทาง ซูสือเยว่รู้สึกกลัดกลุ้มใจ
“หม่ามี๊กับแด๊ดดี้กลับมาแล้ว!”
เมื่อทั้งสองเข้าประตูมา ซิงเฉินก็เดินยิ้มตาหยีเข้ามาหา “แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ไปเดทกันมีความสุขไหมครับ?”
ซูสือเยว่ยิ้มอย่างข่มขื่นเล็กน้อย “มีความสุขมากเลยจ่ะ”
“แด๊ดดี้รังแกหม่ามี๊รึเปล่าครับ?”
พอเห็นอารมณ์ของเธอดูผิดปกติเล็กน้อย ซิงหยุนที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วมองสำรวจฉินโม่หานที่อยู่ข้างหลัง
“เปล่า”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นคุกเข่าลงแล้วบีบแก้มซิงเฉินเบา ๆ “ลูกรู้ว่าคุณฉินก็คือคุณพ่อของลูกตั้งนานแล้ว ใช่ไหมจ๊ะ?”
ซิงเฉินเม้มริมฝีปาก แล้วพยักหน้า “ครับ…”
“ซิงหยุนก็รู้เหมือนกันใช่ไหม?”
ซิงหยุนขมวดคิ้วแน่นมองดูเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เอาล่ะ ไม่ได้จะโมโหใส่พวกลูกหรอกจ่ะ”
ซูสือเยว่ยิ้มอย่างจนปัญญา “เพียงแค่ถ้าเกิดต่อไปมีเรื่องแบบนี้อีก อย่าไปช่วยเขานะ บางครั้งก็มาช่วยแม่เถอะ”
วันนี้มันน่าขายขี้หน้าจริง ๆ เลย!
หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ “แม่เหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนแล้วนะ”
เมื่อพูดจบ ก็ไม่สนใจว่าสามพ่อลูกที่อยู่ในห้องรับแขกนั้นจะทำหน้าอย่างไร จากนั้นเธอก็ขึ้นไปด้านบน
“นี่…”
ซิงเฉินอึ้งไปสักพักแล้วมองไปยังทิศทางที่ซูสือเยว่ขึ้นไป “ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณแม่ไม่มีความสุขเลยสักนิด…”
ซิงหยุนหันไปสบสายตากับฉินโม่หานต่อ “แด๊ดดี้ ยอมรับผิดมาเสียดีกว่า”
ฉินโม่หานจนปัญญา “พวกลูกเป็นคนแนะนำหนังเรื่องนั้น ฉากตรงกลางเศร้ามาก เธอก็เธอไม่สบายใจมาจนถึงตอนนี้”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ซิงเฉินทำหน้าไม่เข้าใจ “หนังเรื่องนั้นผมดูรายละเอียดแบบคร่าวๆ แล้ว ถึงแม้ว่าตรงกลางมันจะพลิกแพลงไปในทางที่ไม่คาดฝันมาก แต่บทสรุปมันก็ดีนี่ครับ”
“แล้วทำไมหม่ามี้ถึงไม่มีความสุข?”
“อีกอย่าง”
ซิงหยุนวางหนังสือบนเข่าอย่างเคร่งขรึม “ตัวหม่ามี้เองก็เป็นนักแสดง เข้าใจเรื่องการแต่งละครดีกว่าใคร ๆ”
“หม่ามี๊ไม่สบายใจถึงขนาดนี้ มีความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียว…”
ฉินโม่หานพยักหน้า “คงจะมีรายละเอียดบางอย่างในนั้นไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่มีความสุขของเธอ”
“อืม”
ซิงหยุนสูดลมหายใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา “ตอนนี้ผมจะซื้อตั๋ว แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปดูกับซิงเฉินอีกรอบ แล้วค่อยๆ ลองวิเคราะห์ดู”
ฉินโม่หานหัวเราะ “ห่วงเธอขนาดนี้เชียวเหรอ?”
“หรือคุณพ่อไม่ห่วงเธอ?”
ซิงหยุนทำปากยื่น “ผมเดาว่า ตอนนี้ไป๋ลั่วคงจะกำลังทำงานล่วงเวลาเพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนหน้านี้ของคุณแม่อยู่แน่นอน”
ฉินโม่หานไม่สนใจเขา แล้วหมุนกายขึ้นชั้นบน
ภายในห้องนอนชั้นบน ซูสือเยว่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังจะหลับไปแล้วด้วย
เธอกำลังฝันแปลกประหลาดมาก
ในความฝันนั้น เธอเป็นคุณแม่ของเด็กทารกทั้งสอง
เธอนอนอยู่บนเตียงของผู้ป่วย ดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ทารกน้อยทั้งสองกำลังนอนอยู่ด้านนอก ภายในห้องที่ติดกับห้องของเธอ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภายในห้องผู้ป่วยถึงได้ไฟไหม้ มีควันหนาทึบลอยมา
เธอรีบร้อนอยากจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงลุกไม่ขึ้น
ในเปลวไฟที่โหมลุกกระหน่ำ เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาหาเธอ
“ไม่ต้องสนใจฉัน ช่วยลูกของฉัน”
เพราะควันที่หนาทึบ เลยทำให้เธอมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่เธอมั่นใจว่าเขาอยากจะมาช่วยเธอ
เธอรีบร้องตะโกนออกไป “ช่วยลูกของฉันก่อน!”
“ฉันขยับตัวไม่ได้ คุณช่วยฉันไม่ได้!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ ดูเหมือนว่าจะลังเลอยู่บ้าง
ผ่านไปได้สักพัก เขาก็อุ้มเด็กทารกน้อยสองคนขึ้นมาจากเตียง แล้ววิ่งพุ่งออกไป
น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง “คุณรอก่อน ผมจะกลับมาช่วยคุณแน่นอน!”
“ไม่ต้องกลับมาแล้ว!”
เธอมองดูเปลวไฟที่ไร้ขอบเขต รู้ดีว่าพอเขาไปแล้วจะต้องกลับเข้ามาลำบากแน่นอน
จึงได้พยายามบอกกับเขาอย่างสุดแรง “ให้ลูกลืมฉันไปซะ แล้วหาแม่ใหม่ให้พวกเขาเถอะ”
“ฉันชื่อซูสือเยว่ ฉันชอบดวงดาว!”