เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้ว ซูสือเยว่ก็เข้าฉากตามปกติเพื่อเตรียมที่จะแสดงละครกับเฉิงเซวียน
“ซูสือเยว่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
เฉิงเซวียนมายืนอยู่ตรงหน้าของซูสือเยว่ด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง ทั้งยังมีรอยยิ้มที่ลำพองใจอยู่บนใบหน้า “รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร?”
หญิงสาวมองเขาอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง “รู้สิ วันพิธีมอบรางวัลวัวทองสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม”
แล้วก็เป็นวันที่นายสวมเขาให้ฉันด้วย!
“รู้ก็ดี”
เฉิงเซวียนยิ้มอย่างอวดดีแล้วยัดการ์ดเชิญไว้ในมือของซูสือเยว่ “ตามกฎแล้ว คนที่เพิ่งเขาวงการมาใหม่อย่างเธอ ถ้าไม่มีคำเชิญจากกองถ่าย ก็จะไม่มีโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ใหญ่โตขนาดนี้”
“การ์ดเชิญใบนี้หวั่นฉิงตั้งใจหาพนักงานมาอนุมัติให้เธอผ่านเป็นพิเศษเลยนะ”
“จริงสิ เธอคงยังไม่รู้สินะว่าคืนนี้หวั่นฉิงก็ไปเข้าร่วมด้วย”
“รางวัลวัวทองสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมทุกสุดในปีนี้ หล่อนจะต้องคว้ามาได้แน่นอน”
เมื่อพูดจบแล้ว เขาก็ถอนหายใจ แล้วขยับเข้าไปใกล้ซูสือเยว่ แล้วกระซิบเสียงต่ำว่า “เธอทุ่มเทกำลังไปมากขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะแย่งบทบาทนักแสดงนำหญิงจากหวั่นฉิง แล้วเป็นอย่างไรล่ะ?”
“หลังจากที่หล่อนได้รับรางวัลแล้ว จากนั้นหล่อนก็จะมีภาพยนตร์ติดต่อเข้ามาไม่หยุด จะต้องมีบทนางเอกที่ยิ่งดีแล้วก็ยิ่งเยอะกว่าแย่งกันเพราะต้องการตัวหล่อน”
ซูสือเยว่ถอยหลังไปหนึ่งกว่าอย่างเงียบ ๆ แล้วมองดูเฉิงเซวียนทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “พูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้คงจะเร็วเกินไปหน่อยมั้ง”
“ยังไม่ถึงตอนจบ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นแหละว่าสุดท้ายแล้วรางวัลในคืนนี้จะเป็นของใครกันแน่ ไม่ใช่เหรอ?”
เธอนำการ์ดบัตรเชิญนั้นยัดใส่เข้าไปในมือของเฉิงเซวียนใหม่อีกครั้ง “นายวางใจเถอะ ฉันจะต้องไปเข้ารู้งานพิธีมอบรางวัลในคืนนี้แน่นอน”
“ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การ์ดเชิญจากพวกนาย”
พอพูดจบ เธอก็หันหลังเดินจากไป
เฉิงเซวียนมองดูแผ่นหลังของเธอแล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมาคำหนึ่ง
เขารู้อยู่แล้วว่าซูสือเยว่จะต้องอิจฉาแน่นอน!
แน่นอนเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะต้องแสดงความยินดีให้กับเขาและหวั่นฉิง แต่ขอเพียงซูสือเยว่ยังอยู่ในวงการนี้แค่หนึ่งวัน เขาจะต้องหาโอกาสทำให้ซูสือเยว่อึดอัดให้ได้!
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็หันไปมองพนักงานที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “เริ่มถ่ายทำเมื่อไหร่?”
“ฉันต้องรีบถ่ายละครในตอนเช้าให้เสร็จ ตอนบ่ายยังต้องนอนหลับเพิ่มเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานพิธีในตอนเย็นอยู่นะ!”
พนักงานรีบยิ้ม “เร็วเข้า!”
ทีมงานเตรียมการยุ่งมากตลอดทั้งเช้า
ต่อให้จะไม่มีNGเลย แต่ซูสือเยว่กับเฉิงเซวียนก็ยังคงถ่ายทำกันจนถึงตอนเที่ยงกว่า
ภายหลังจากที่เลิกงานแล้ว ซูสือเยว่ก็มายืนรอรถอยู่ที่หน้าประตู
รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่ด้านข้างเธอ
ซูสือเยว่จำได้ รถคันนี้…
เป็นรถของซูโม่
เธอขมวดคิ้วแน่น ซูโม่มาทำอะไรที่กองถ่าย?
ในขณะที่เธอกำลังมีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม กระจกรถก็ได้เคลื่อนลง
เซี่ยงหวั่นฉิงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นตากันแดดโบกมือไปทางเฉิงเซวียน
เฉิงเซวียนรีบก้มหน้าแล้วสั่งการกับผู้ช่วยสองสามประโยค แล้วก้าวเท้าเข้าไป ก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วเข้าไปในรถ
ซูสือเยว่สงสัยว่าตัวเองคงจะตาฝาดเสียแล้ว
หลังจากที่รถไป เธอก็กลับมาคิดพิจารณาอีกครั้ง
รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงคันนั้นเป็นของซูโม่แน่นอน
แต่ซูโม่ไปสนิทกับเซี่ยงหวั่นฉิงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?
แม้แต่รถก็ยังเอาให้หล่อนยืม?
ในขณะที่ซูสือเยว่กำลังสงสัยอยู่นั่นเอง ก็มีรถมาเซราติคันสีดำมาจอดอยู่ข้าง ๆ เธอ
กระจกที่นั่งด้านหลังเคลื่อนลงมา เผยให้เห็นใบหน้าดวงเล็กของซิงเฉินที่กำลังยิ้มตาหยี “หม่ามี๊ ขึ้นรถเร็ว!”
ซูสือเยว่เปิดประตูแล้วเข้าไปข้างในรถ
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอก็คือ ภายในรถไม่ได้มีแต่ซิงเฉิน แต่ยังมีซิงหยุนที่ไม่ค่อยชอบออกจากบ้านอีกด้วย
ในเวลานี้เอง ซิงหยุนกำลังนั่งอยู่ฝั่งด้านข้างของคนขับราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย แล้วนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
ส่วนซิงเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอาหัวนอนหนุนตักของซูสือเยว่อย่างออดอ้อน ดวงตากลมโตกระจ่างใสแวววาวคู่หนึ่งจ้องมองเธอ “หม่ามี๊ ผมกับพี่ชายจะพาหม่ามี๊ไปทานข้าว พอทานข้าวเสร็จก็ไปซื้อชุดราตรี!”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว “ชุดราตรี?”
“ใช่แล้ว”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “คืนนี้หม่ามี๊จะต้องไปร่วมงานพิธีมอบรางวัลวัวทองไม่ใช่เหรอครับ?”
“ผมดูในตู้เสื้อผ้าของหม่ามี๊แล้ว ไม่มีชุดราตรีที่เป็นทางการเลย”
“ดังนั้นพี่ชายก็เลยรื้อเอาบัตรหนึ่งล้านสองแสนนั้นออกมา เพื่อไปซื้อชุดราตรีให้หม่ามี๊ครับ”
ซูสือเยว่อึ้งไปสักพัก “บัตรหนึ่งล้านสองแสน?”
ก็แค่ไปซื้อชุดราตรีเท่านั้นเอง ไม่เห็นจำเป็นจะต้องพกเงินไปมากขนาดนี้หรอกมั้ง?
“เงินนี้ไม่สะอาด”
ซิงหยุนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวหน้าเงยหน้าขึ้นมา “ใช้ได้ตามใจชอบ ไม่เสียดาย”
เงินหนึ่งล้านสองแสนนี้ ก็คือเงินที่ยุบบริษัทโฆษณาปั่นกระแสที่เซี่ยงหวั่นฉิงนำมาสร้างกระแสเมื่อครั้งก่อนนั่นเอง
แทบจะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดภายในบ้านของเฉิงเซวียนแล้ว
ซูสือเยว่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
“ไอ้หยา หม่ามี๊”
ซิงเฉินกลอกตามองบน “นี่เป็นเงินของผู้ชายเฮงซวย”
ซูสือเยว่ยิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นไปอีก “ผู้ชายเฮงซวย?”
“เงินของเฉิงเซวียน!”
ซิงเฉินถอนหายใจออกมา แล้วอธิบายที่มาที่ไปของเงินก้อนนี้ให้ซูสือเยว่ฟังอย่างชัดเจน
ซูสือเยว่ : “……”
“หมายความว่า บริษัทโฆษณาปั่นกระแสนั่น…พวกลูกเป็นคนควบคุมเอาไว้?”
“เจ้าของบริษัทโฆษณาปั่นกระแสนั้นรู้จักกับพี่หนานเซิงครับ”
“จากนั้นพี่ชายก็เขียนโปรแกรมที่เป็นประโยชน์ให้กับบริษัทโฆษณาปั่นกระแสแห่งนั้น พวกเขาติดข้างหนี้น้ำใจของพี่ชาย ดังนั้นก็เลยช่วยพวกเรา”
ซูสือเยว่กลืนน้ำลายด้วยความตกตะลึง
นี่มันลูกเทพอะไรกันเนี่ย!
วันนั้นซิงหยุนให้เธอไปซื้อมะเฟืองมาให้เขาอยู่นั่นแหละ เธอเองก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าเบื้องหลังของคนที่ลงมือในวันนั้นนอกจากโม่ฉินหานแล้ว ยังมีเด็กน้อยสองคนนี้ด้วย!
อีกอย่างนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กสองคนนี้จะมีบทบาทสำคัญด้วยอีกต่างหาก
เธอมองดูพวกเขา “พวกลูกเป็น…อัจฉริยะอย่างที่เขาลือกันใช่ไหม?”
ซิงหยุนใช้สายตาที่ดูราวกับกำลังมองคนโง่มองดูเธอแวบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร
ทว่าซิงเฉินกลับหันมาหัวเราะฮิ ๆ สองคำ “หม่ามี๊ลองเดาสิ”
ซูสือเยว่ : “……”
เธอคิดว่าเธอโดนสบประมาทเข้าแล้ว
โชคดีที่เด็กสองนี้ไม่ใช่ลูกที่เธอคลอดออกมา ถ้าเธอคลอดลูกสองคนที่แหกกฎธรรมชาติขนาดนี้ออกมา เธอคงจะต้องตื่นเต้นจนแทบจะบินไปแล้ว!
แต่ตื่นเต้นก็ส่วนตื่นเต้น เงินของผู้ชายเฮงซวยอย่างเฉิงเซวียนต้องเอามาใช้ให้เต็มที่
หลังจากที่แม่ลูกทั้งสามคนได้ทานอาหารมื้อง่าย ๆ ที่ร้านอาหารเสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินเที่ยวเตร่ที่ร้านค้าชุดราตรีสุดหรูในห้างสรรพสินค้า
เพื่อให้คืนนี้ซูสือเยว่เป็นที่น่าตกใจของทุกคน ซิงหยุนกับซิงเฉินเลยเลือกชุดราตรีราคาสองแสนให้กับเธอ รวมถึงกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ จนใช้เงินหนึ่งล้านสองแสนนั้นไปเกินครึ่ง
เมื่อซื้อของพวกนี้เสร็จแล้ว ซิงเฉินก็มองดูยอดเงินที่เหลือ แล้วบ่น “หม่ามี๊ยังเก็บไว้เยอะเกินไปแล้ว”
ตามความคิดของเขา ต้องให้ซูสือเยว่สวมเสื้อผ้าราคาหนึ่งล้านสองแสนยืนต่อหน้าเฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิง อย่างนี้ถึงจะสบายใจ
ซูสือเยว่ยิ้มอย่างจนปัญญา “ไม่เห็นจำเป็นต้องฟุ่มเฟือยขนาดนั้นเลย”
“ให้หม่ามี๊”
ซิงหยุนนำบัตรธนาคารใบนั้นยัดใส่ในมือของซูสือเยว่ “ตอนแรกก็กะให้มอบเงินก้อนนี้ให้หม่ามี๊อยู่แล้ว”
“หม่ามี๊สามารถใช้ได้ตามใจชอบเลย”
ซูสือเยว่ลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงรับมา
เมื่อออกมาจากห้างสรรพสินค้า ซูสือเยว่ก็ถูกเด็กน้อยทั้งสองจับยัดเข้าไปที่ร้านทำผม เพื่อไปแต่งหน้าและทำผม
ในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซูสือเยว่ก็ถูกช่างแต่งหน้าแต่งไปด้วย ก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความหาเจี่ยนเฉิงไปด้วย
“พ่อคะ ลงจากเครื่องบินรึยัง? ถึงรึยังคะ?”
“อยู่ที่นั่นก็ระวังตัวด้วยนะคะ”
“หนูโอนเงินเข้าบัญชีพ่อห้าหมื่น ต้องทานข้าวให้ตรงเวลา แล้วก็ห้ามทำให้ตัวเองลำบากนะคะ”
สนามบินอีกฟากหนึ่งของโลก เจี่ยนเฉิงมองดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะหลับตาลงเงียบๆ
“ไปได้แล้ว”
ผู้ชายคนที่อยู่ด้านข้างสั่งการด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “มัวชักช้าอยู่ทำไม? อย่าคิดว่านายมาที่นี่เพื่อจะเสวยสุขนะ!”