นับตั้งแต่ถูกเฉิงเซวียนและเซี่ยงหวั่นฉิงหักหลัง ซูสือเยว่ไม่กล้าเผ6ยความรู้สึกนึกคิดสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ปานบนเอว คุณพ่อกำชับไว้อย่างเคร่งครัดว่าอย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด
ทว่าฉินโม่หานเป็นสามีของเธอ
เขาทำสิ่งต่างๆ เพื่อเธอมาตั้งมากมาย……
ซูสือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสริมสร้างกำลังใจ ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “จริงๆ แล้ว.…..อื้อ”
เธอไม่ทันได้พูดประโยคส่วนท้าย ก็ถูกริมฝีปากของฉินโม่หานประกบเรียวปากไว้
คำพูดทั้งหมดของหญิงสาวล้วนถูกเขาดูดกลืนไปหมดเสียแล้ว
แสงไฟอันสลัว ละอองไอน้ำในบรรยากาศ
ในบรรยากาศที่แสนจะคลุมเครือ สติสัมปชัญญะของซูสือเยว่ถูกปิดกั้นลง
“เป็นเด็กดีนะ”
เขาเชยคางของขึ้น ก่อนจะมอบจุมพิตอันร้อนแรง
ค่ำคืนที่วุ่นวาย
ภายในห้องโถงบนชั้นหนึ่งของโรงแรม ไป๋ยู่หนานกวาดมองสายลับผู้ล้วงความลับทางธุรกิจที่ถูกร.ป.ภจับกุมไว้นั้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาฉินโม่หาน
ไม่มีคนรับสาย
ก่อนจะต่อสายอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีคนรับสาย
เขาขมวดคิ้ว พลางหันหน้าไปมองผู้จัดการครู่หนึ่ง “ฉินโม่หานไปไหน?”
เขาทุ่มแรงกายตั้งมากมายเพื่อจับสายลับคนนี้ เพื่อกอบกู้ความเสียหายนับล้านกลับมาให้ฉินโม่หาน แต่เจ้าหมอนี่กลับเล่นหายตัวกับเขาเนี่ยนะ?
ผู้จัดการกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ท่านชายไปห้องดีลักซ์ชั้นบนสุดครับ”
“ไปนอนหลับงั้นเหรอ?”
ไป๋ยู่หนานรู้สึกขุ่นเคือง พลางยกขาเตรียมจะเดินขึ้นไปชั้นบน แต่กลับถูกผู้จัดการห้ามไว้ก่อน
“ท่านชายอุ้มคุณหญิงขึ้นไปครับ”
ไป๋ยู่หนาน” ……”
ให้ตายสิ
เขารักษาโรคกลัวผู้หญิงให้ฉินโม่หานตั้งห้าปี ตอนนี้หมอนี่เพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน เพิ่งมาแสดงความรักกันเนี่ยนะ?
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อฟึดฟัดพลางเดินออกไป
“คุณหมอไป๋ คุณจะไปไหนครับ?”
“ไปหาที่ที่ไม่มีคู่รักสงบสติอารมณ์”
…………
ในตอนที่ซูสือเยว่ตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา พร้อมกับอาการปวดเอวเจ็บหลัง
เธอรู้สึกราวกับร่างกายแทบจะแตกสลาย
“ตื่นแล้วเหรอ?”
สุรเสียงของชายหนุ่มดังมาแต่ไกล
เธอย่นคิ้ว พลางมองไปยังทิศทางของเสียงอย่างไม่รู้ตัว
ฉินโม่หานนั่งอยู่ข้างหน้าต่างยาวจรดพื้น
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเมื่อวาน ไม่สวมเนคไท
เสื้อเชิ้ตมีรอยยับย่นเล็กน้อย กระดุมก็กลัดเพียงเม็ดล่างไม่กี่เม็ด
เขาแต่งตัวแบบสบายๆ กระทั่งท่านั่งเหยียดแข้งเหยียดขาก็ยังดูสบาย
ในตอนนั้นเอง เขามองเธอด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ ยกยิ้มมุมปาก “อรุณสวัสดิ์”
น้ำเสียงนุ่มลึกน่าหลงใหลราวกับไวน์แดงทำเอาหัวใจของซูสือเยว่กระตุกอย่างรุนแรง
ต้องยอมรับเลยว่า วันนี้ชายคนนี้ดูเหมือนมีเสน่ห์…..เป็นพิเศษ
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงละก็ เธอคงต้านทานไม่ไหวแน่ๆ เลย!
เพื่อไม่ให้ตัวเองลุ่มหลงในรูปลักษณ์ของเขา ซูสือเยว่จึงเบือนหน้าหนี “อรุณสวัสดิ์”
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
“สิบโมง”
ฉินโม่หานลุกขึ้น พลางเดินไปที่เบื้องหน้าของเธออย่างมีสง่าผ่าเผย คู่นัยน์ตาอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งคู่นั่นมองเธออย่างเฉยชา “ยังเจ็บอยู่อีกเหรอ?”
“เจ็บอะไร?”
“ก็เมื่อคืน เธอเอาแต่ร้องว่าเจ็บ”
น้ำเสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มราวกับแฝงไว้ด้วยมนต์คลัง ทำเอาหัวใจของซูสือเยว่ว้าวุ่นไปหมด
เธอหน้าเห่อแดง หันกลับไปอีกครั้งทว่าไม่กล้าสบสายตากับเขา “กะ….ก็ดีขึ้นแล้ว”
คุยหัวข้อนี้ต่อไม่ไหวแล้ว
หญิงสาวขบเม้มริมฝีปาก “นี่ก็สิบโมงแล้ว ทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก”
“ไม่ทำงานรึไง?”
“ฉันลางานแล้ว”
“ลางาน?”
ซูสือเยว่ เหลือบตามองเขาอย่างตกใจ “นายจำเป็นต้องลางานด้วยเหรอ?”
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นบอสของฉินซื่อกรุ๊ปเหรอ?
“ประธานบริษัทก็ต้องลางานนะ ไม่งั้นโดนพวกพนักงานระดับสูงพวกนั้นโกรธเอาหรอก”
ฉินโม่หานลงที่ข้างเตียง พลางเอยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เมื่อคืนเล่นรังแกเธอตั้งนาน กลัวว่าเธอจะนอนหลับไม่เพียงพอ แล้วก็กลัวว่าเธอตื่นมาไม่เห็นจะคิดว่าฉันไม่รับผิดชอบอีก”
ยามที่เขาพูดออกมา นัยน์ตาที่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้งนั่นจ้องมองที่ซูสือเยว่เขม็งเกลียว
ดวงตาไปไว้ด้วยความลึกซึ้ง ความห่วงใย ยิ่งไปกว่านั้น ยังดูลึกลับไร้ที่สิ้นสุดอีกด้วย
พอได้เผชิญหน้ากับเขาแบบนี้แล้ว ซูสือเยว่ถึงกับต้องแอบกลืนน้ำลาย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอมักรู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนจะจงใจ….หว่านเสน่ห์เธอ?
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มใจตัวเองไม่ให้โผตัวเข้าไปหาเขา “เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
“นายไปทำงานเถอะ…..ไม่จำเป็นต้องอยู่กับชั้นหรอก”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง?”
ชายหนุ่มเอื้อมมือมาลูบพวงแก้มของเธอ พลางลูบไล้อย่างเบามือ “เมื่อคืนเธอเอาแต่ร้องไห้”
เธอเงยหน้าขึ้น จ้องมองที่ใบหน้าของฉินโม่หาน
เธอมั่นใจแล้ว ชายคนนี้กำลังหว่านเสน่ห์เธอจริงๆ ด้วย
แต่…ดูเหมือนเธอจะเป็นหญิงสาวที่ทนต่อการหว่านเสน่ห์ไม่ได้ซะด้วย
“ฉินโม่หาน”
หญิงสาวหันหน้าหนีพร้อมริ้วแดงบนใบหน้า “ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว”
พอได้เห็นแผ่นหลังอันเล็กบางของหญิงสาว นัยน์ตาของฉินโม่หานพลันดำมืด
“ได้สิ”
เขายอมรับว่าเขาจงใจหว่านเสน่ห์เธอ
แต่ในเมื่อเธอบอกว่าเหนื่อย เขาก็ไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน “ฉันจะให้ไป๋ลั่วเตรียมอาหารให้นะ”
“นายอย่าเพิ่งไป!”
ซูสือเยว่รีบคว้ามือของเขาไว้
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น คู่นัตน์ตาเปล่งประกายช้อนมองเขา “ฉันบอกว่า”
“ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว”
“เพราะงั้น…นายเป็นคนทำได้ไหม….”
วินาทีถัดมา ร่างกายของเธอก็โดนชายหนุ่มจับพลิกคว่ำ
“ซูสือเยว่”
เขาขบเม้มติ่งหูของเธอ “เธอมันปีศาจ”
ซูสือเยว่จูบเขากลับไปอย่างห้าวหาญ “นายก็เหมือนกัน”
……
ในช่วงพลบค่ำ ซูสือเยว่ที่ร่างกายอ่อนเปลี้ยก็ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าผู้กำกับ
“สือเยว่”
น้ำเสียงของ หัวหน้าผู้กำกับ ที่พูดในโทรศัพท์ฟังดูอ่อนน้อมถ่อมตนมาก “คุณลืมไปแล้วใช่ไหม วันนี้ยังมีตารางการถ่ายทำอยู่”
“คนทั้งแผนกมารอคุณตั้งนานแล้ว พวกเราไม่รู้ทำยังไงแล้ว ถึงโทรมาหาคุณ…”
ซูสือเยว่ตบหน้าผากเข้าให้ทีหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้เธอมีตารางถ่ายทำนี่นา!
ต้องโทษฉินโม่หานนั่นแหละ ที่ทำให้เธอลืมการลืมงาน!
“ หัวหน้าผู้กำกับ ขอโทษด้วยนะคะ”
ซูสือเยว่รีบกล่าวขอโทษ “พรุ่งนี้ฉันจะ….”
เธอไม่ทันพูดจบ เธอพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“เมื่อวานหลังจากเกิดเรื่องนั้น เฉิงเซวียนยังเป็นนักแสดงนำชายของเรื่องรักนิรันดร์กาลอยู่ไหมคะ?”
“เป็นสิ”
หัวหน้าผู้กำกับ ที่อยู่ในสายถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พวกเราติดต่อไปทางเฉิงเซวียนแล้ว ว่าจะขอยกเลิกสัญญา ซ้ำตอนนี้ภาพลักษณ์ของเขาก็ไม่ค่อยดีด้วย ไหนจะเรื่องที่กระทบกระทั่งกับและคุณกับลั่วเยียนอีก”
“แต่เฉิงเซวียนรับปากกับฉันแล้วนะคะ ว่าจะไม่สร้างความขัดแย้งกับคุณหรือลั่วเยียน เขาจะตั้งถ่ายให้ออกมาดีที่สุด”
“ที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้นอกจากงานแสดงเรื่องรักนิรันดร์กาล เขาก็ไม่มีรายได้ทางอื่นแล้ว เพราะงั้น…”
หัวหน้าผู้กำกับ ถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เดิมทีเฉิงเซวียนน่าจะได้บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากรางวัลวัวทองเมื่อวาน สุดท้ายตอนนี้กลับตกต่ำร่วงลงเสียนี่…”
“ความรักทำลายชีวิตคนแท้ๆ”
เมื่อพูดจบ เขายังตักเตือนซูสือเยว่ด้วยความหวังดี “ซือเยว่ ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์มาก่อน ผมอยากเตือนคุณสักคำ หลังจากนี้เวลาหาแฟนคุณต้องดูให้ดีๆ ก่อนล่ะ….”
“วางใจได้เลยค่ะ”
ซูสือเยว่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไม่หาแฟนแล้วค่ะ”
“ฉันแต่งงานแล้ว”
“อีกทั้งชาตินี้ก็ไม่คิดหย่าด้วยค่ะ”