ฝนห่าใหญ่ตกลงมาบนหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของชายหนุ่ม ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์เซ็กซี่เป็นอย่างมาก
ซูสือเยว่มองฉินโม่หานไปด้วยอาการนิ่งอึ้ง เสียงสั่นออกมาเล็กน้อย “คุณ…หมายความว่าอะไร?”
หรือว่าเขาจะไม่ได้มาหาเธอเพราะโกรธเรื่องในอดีตของเธองั้นเหรอ?
“ความหมายของผมก็คือ”
ฉินโม่หานจับขากรรไกรล่างของเธอ พูดย้ำชัดออกมาทีละคำ “ซูสือเยว่ ผมถือสาเรื่องที่คุณเคยมีลูกให้คนอื่น”
หัวใจของหญิงสาวเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
อย่างที่คิดเอาไว้เลย…
อะไรๆที่พูดออกมาว่าไม่มีทางจะรังเกียจเธอ ไม่มีทางจะไม่ต้องการเธอ มันโกหกทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะพิเศษ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นชายทั่วไปคนหนึ่ง
เขารับอดีตของเธอไม่ได้ เธอไม่โทษเขาหรอก
มันเป็นความผิดของเธอทั้งหมด ทั้งหมดเป็นเธอที่ปกปิดมันเอาไว้…
“ดังนั้นแล้วผมไม่อนุญาตให้คุณไปจากผม”
ฉินโม่หานหรี่ตาลง น้ำเสียงทุ้มต่ำ ดังก้องออกมา “คุณจะต้องอยู่ข้างกายผม ตั้งใจชดใช้ให้ผม มีลูกให้ผมสามคน”
“หนึ่งปีไม่ได้ก็สองปี สองปีไม่ได้ก็ทั้งชีวิต ไม่มีลูกให้ผมก็อย่าได้คิดจะไปจากผม!”
พูดจบ ในระหว่างที่ซูสือเยว่แสดงแววตาที่ตื่นตกใจออกมาอยู่นั้น ชายหนุ่มได้กอดเธอเข้ามาสู่ในอ้อมแขน
ความหนาวเหน็บของฝนกับความอบอุ่นที่หน้าอกของเขา ทำให้ซูสือเยว่เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะหนึ่ง
พอรู้ตัวอีกที เธอก็ได้คว้าปกเสื้อด้านหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ เอ่ยเสียงสั่นออกไป “ฉินโม่หาน…”
“ขอโทษ”
“ขอโทษนะคะ”
“ขอโทษ…”
“ฉันไม่ได้อยากจะหลอกคุณ เพียงแต่ตอนที่แต่งงานกับคุณเมื่อตอนนั้น…”
เธอไม่ได้พิจารณาอะไรมากมายเลยจริงๆ
เธอเพียงแค่อยากทำตามความต้องการของตระกูลซู ลบล้างบุญคุณที่ตระกูลซูได้เลี้ยงดูมา
“คนที่ควรจะต้องขอโทษคือผมต่างหาก”
ฉินโม่หานหลับตาลง กอดเธอแน่น “ผมคิดว่าคุณบริสุทธิ์มาตลอด ก็เลยไม่เคยได้สืบเรื่องของคุณเป็นจริงเป็นจัง”
“ยิ่งไม่คิดมาก่อนเลยว่าเมื่อก่อนคุณเคยเผชิญกับเรื่องแบบนี้…”
คำพูดที่ฟังดูอึมครึมของชายหนุ่มทำให้ซูสือเยว่รู้สึกว่าภายในใจมันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “ถ้าคุณรู้ก่อน แล้วคุณจะทำยังไง?”
“ผมจะดูแลคุณให้ดี”
“อย่างน้อย ไม่มีทางปล่อยให้คุณเหมือนอย่างตอนนี้”
คนคนนึงอยู่ในสุสานกอดป้ายหลุมศพร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
เขาเองก็มีลูก เห็นสภาพของซูสือเยว่แล้ว เขาก็อดที่จะนึกถึงแม่ของซิงเฉินกับซิงหยุนขึ้นมาไม่ได้
ตรงหน้าได้ปรากฏภาพกองเพลิงขนาดใหญ่เมื่อห้าปีก่อน
ท่ามกลางควันไฟ เขาเห็นใบหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ไม่ชัด ได้ยินเสียงแหบแห้งอ่อนแรงของเธอบอกเขาว่าให้เขาดูแลลูกให้ดี ให้เขาหาแม่ให้ลูกใหม่
แล้วเธอก็ยังบอกว่าเธอชอบดวงดาว
เขาขมวดคิ้วออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว “คุณชอบดาวมั้ย?”
“ชอบ…”
หญิงสาวพ่นออกมาคำนึงอย่างซึมๆ
วินาทีต่อมา เธอก็ได้เซไปข้างหลังอย่างอ่อนแรง
ฉินโม่หานจับเธอเอาไว้ จึงได้พบว่าเธอสลบไปแล้ว
ชายหนุ่มยื่นแขนออกไป กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน “ไปโรงพยาบาล!”
……
“ข้อมูลประวัติผู้ป่วยที่นายต้องการฉันหามาได้แล้ว แท้จริงแล้วเธอน่าสงสารมากเลย ตอนที่ท้องได้แปดเดือนก็เกิดอุบัติเหตุ ลูกได้เสียชีวิตในครรภ์ เธอไม่อาจทนรับมันได้จึงอาละวาดบ้าคลั่งออกมา”
ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่นั้น ซูสือเยว่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้ชายคนหนึ่ง
เธออยากลืมตาออกมา แต่ไม่ว่ายังไงก็ลืมไม่ได้เสียที
“ข้อมูลที่เธออยู่โรงพยาบาลบ้าทั้งหมดได้อยู่ตรงนี้หมดแล้ว”
“ตามคำอธิบายของเจี่ยนเฉิงพ่อแท้ๆของเธอ ตอนนั้นเธอคลอดลูกเสร็จแล้ว ได้ตามเขากลับไปพักฟื้นที่สลัม นึกไม่ถึงว่าเธอจะจุดไฟเตรียมที่จะเผาฆ่าตัวตายอยู่ที่บ้าน พ่อของเธอถึงได้รับรู้ว่าเธอแปลกๆไป จึงส่งเธอไปที่โรงพยาบาลบ้า”
“ในภายหลัง เธออยู่รับการรักษาบาดแผลเผาไหม้และรักษาโรคประสาทอยู่ตลอด เธอใช้เวลาครึ่งปีกว่าๆ กว่าจะฟื้นฟูสติกลับมาได้”
หลังจากที่เสียงของชายหนุ่มหยุดไป ข้างๆใบหูก็มีเสียงการเปิดกระดาษดังขึ้นมา
ต่อจากนั้น ก็เป็นเสียงทุ้มต่ำของฉินโม่หาน “งั้นฉันกับเธอก็มีวาสนาต่อกันจริงๆ”
“เธอเคยถูกไฟคลอก ฉันก็เคยถูกไฟคลอกมาเหมือนกัน”
“เธอไม่มีลูกแล้ว ฉันไม่มีแม่ของลูก”
คำพูดของเขาทำให้ภายในใจของซูสือเยว่นิ่งค้างไปเล็กน้อย
“ดังนั้นแล้วพวกนายทั้งสองคนก็ได้เติมเต็มให้แก่กันและกันสินะ”
ไป๋ยู่หนานทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ “พวกคุณทั้งสองคนสามารถช่วยชดเชยให้แก่กันและกันได้”
“ช่วยชดเชยกันคำนี้มันใช้กันอย่างนี้งั้นเหรอ?”
ฉินโม่หานวางข้อมูลพวกนั้นลง มองเขาไปนิ่งๆ “โรคทางประสาทของเธอต่อจากนี้ไปมันจะกำเริบขึ้นมาอีกมั้ย?”
“ดูจากอาการแล้ว ในสถานการณ์ที่ได้รับการกระตุ้นที่รุนแรงจะมีโอกาสกำเริบขึ้นมาได้”
พูดจบ เขาก็ย่นคิ้วออกมา “นายกำลังเป็นกังวลอะไรอยู่?”
ฉินโม่หานหันหน้าไป มองหญิงสาวที่หลับตาแน่นอยู่บนเตียง “ฉันกลัวว่าหลังจากนี้เธอจะทำร้ายตัวเองอีก”
บาดแผลจากการเผาไหม้การบาดเจ็บจำพวกนั้น เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
ยังดีที่เธอเสียความทรงจำไป และจำความเจ็บปวดในตอนนั้นไม่ได้
“อีกเดี๋ยวฉันจะไปลองถามคุณหมอจิตเวชดู เบิกยาที่ต้องใช้พื้นฐานมาสักหน่อย ของแบบนี้มันไม่มีวิธีที่จะป้องกันมันได้”
พูดจบ ไป๋ยู่หนานเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ เมื่อกี้นี้พ่อของนายโทรเข้ามาให้ฉันไปที่คฤหาสน์เพื่อตรวจร่างกายให้กับเขา ฉันปฏิเสธไป บอกว่าซูสือเยว่กำลังเกิดเรื่องอยู่”
“อีกเดี๋ยวคุณปู่ก็คงเข้ามาเยี่ยมเธอด้วยตัวเอง นายจะอยู่ต้อนรับที่นี่หรือว่าจะเลี่ยงสักหน่อย?”
ฉินโม่หานเลิกสายตาขึ้นไปมองไป๋ยู่หนานอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย จากนั้นก็ผันร่างเดินออกไปด้านนอก “เลี่ยง”
เขาไม่อยากถูกพูดจู้จี้ใส่หรอกนะ
ไป๋ยู่หนานกลั้นยิ้มออกมา “งั้นก็ดี นายไปทำธุระของนายก่อน รอให้คุณปู่ไปแล้ว ฉันจะบอกนาย”
ฉินโม่หานหลุบตาลงไปมองเวลาเล็กน้อย มันเป็นเวลาแปดโมงเย็นกว่าๆแล้ว
เขาเองก็ควรจะกลับไปรายงานเรื่องวันนี้ให้กับเด็กทั้งสองคนด้วยสักหน่อยเหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยระดับการให้ความสนใจที่ซิงหยุนกับซิงเฉินมีต่อซูสือเยว่ คืนนี้เธอไม่กลับไป พวกเขาทั้งสองคนเกรงว่าพวกเขาคงเอาแต่คิดไม่หยุดจนไม่เป็นอันนอนไป
หลังจากที่ฉินโม่หานเดินออกไป ไป๋ยู่หนานยืนอยู่ตรงหน้าประตู มองใบหน้าของซูสือเยว่อย่างเงียบๆ
ผ่านไปนานสักพักหนึ่ง เขาก็ได้ถอนหายใจออกมา “ชั่วชีวิตนี้ของท่านชายฉินคงต้องอยู่ในมือคุณแล้ว”
พูดจบ เขาก็ผันร่างเดินออกไป
ซูสือเยว่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท หัวใจสั่นออกมาเล็กน้อย
ฉินโม่หานเขา…
เหมือนกับว่าจะไม่ได้ถือสาเรื่องที่เธอเคยมีลูกมาก่อน
สิ่งที่เขาแคร์นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องที่อาการป่วยของเธอจะกำเริบขึ้นมาอีกหรือเปล่า
น้ำตาหยดหนึ่งได้ไหลลงมาจากมุมขอบตาลงมาช้าๆ
เธอช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ชีวิตนี้สามารถเจอกับผู้ชายอย่างฉินโม่หานได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ตรงประตูห้องผู้ป่วยได้มีเสียงที่ดูเป็นกังวลของท่านปู่ฉินดังขึ้นมา
“คุณอาฉินคุณอาเบาเสียงหน่อย อย่าส่งเสียงรบกวนให้เธอตื่นสิคะ”
ทันทีที่เสียงของคุณท่านหลุดออกไป เสียงของผู้หญิงเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา
ฟังจากเสียงแล้ว เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
“หนูพูดถูก” คำพูดของลูกสาวพูดออกมาจบ ท่านปู่ฉินก็เบาเสียงออกมาทันที “จะไปรบกวนการพักผ่อนของเธอไม่ได้”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วออกมา ใจรู้ดีว่าคนผู้นี้คงจะเป็นพ่อของฉินโม่หาน ในตอนนี้เดิมทีแล้วเธอควรจะลุกขึ้นไปต้อนรับเขา แต่ทั้งร่างของเธอไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เลยสักนิด
หญิงสาวพยายามฝืนดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังคงลืมตาออกไปไม่ได้
ดังนั้นแล้วเธอก็ต้องนอนอยู่บนเตียงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง สมองยังสะลึมสะลืออยู่
แต่ทว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?
“เชียนจิ่ว ยังคงเป็นหนูที่รู้ใจกันดี”
ท่านปู่ฉินทอดถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่หนูถูกหลิงยี่พากลับตระกูลฉินมา มันก็สิบปีแล้วใช่มั้ย?”
เย่เชียนจิ่วตอบรับออกมานิ่งๆ “ค่ะ ตอนนั้นพี่รองสงสารฉัน พาฉันกลับตระกูลฉินมา คุณลุงดูแลฉันเหมือนกับเป็นลูกสาวแท้ๆ พี่ใหญ่พี่รองเองก็เห็นฉันเป็นน้องสาวแท้ๆด้วยเหมือนกัน”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วออกมา
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยจะรู้ชัดในเรื่องของโครงสร้างครอบครัวของฉินโม่หานเลย รู้เพียงแต่ว่าฉินโม่หานเป็นลูกชายคนที่สามของบ้าน แต่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตระกูลฉินยังมีลูกสาวบุญธรรมด้วยอีกคน
พวกเขาไม่เคยพูดออกมาต่อหน้าเธอมาก่อนเลย
“เฮ้อ”
ท่านปู่ ทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ตอนนั้นทุกคนต่างก็นึกว่าหนูกับโม่หานจะได้คบกันเสียอีก ใครจะรู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลก ตอนแรกก็มีแม่ของซิงหยุนกับซิงเฉิน ในตอนหลังก็มามีเด็กคนนี้อีก…”
“มันก็ได้ผ่านไปแล้วทั้งนั้น”
เสียงของเย่เชียนจิ่วอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “คุณอาฉินคุณลุงอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ก่อนนะคะ ฉันจะไปสอบถามพยาบาลถึงสาเหตุที่พี่สะใภ้เล็กสลบไปดูสักหน่อย”
ท่านปู่ฉินขมวดคิ้วออกมา “ไป๋ยู่หนานบอกมาแล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามันเกิดมาจากการตากฝน?”
เย่เชียนจิ่วยิ้มออกมาอย่างน่ารัก “คุณอาฉินคุณลุงคิดง่ายเกินไปแล้วค่ะ”
“ใครจะโง่วิ่งออกไปข้างนอกขณะที่ฝนกำลังตกหนักอย่างนั้นกันคะ?”
ท่านปู่ฉินคิดไปสักพัก “ดี งั้นหนูไปเถอะ”
เย่เชียนจิ่วผันร่างออกไป
ในนาทีที่เธอผันร่างออกไปนั้นเอง ความเป็นห่วงเป็นใยบนใบหน้าของเธอได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความเย็นชาทันที
เธอเฝ้าคอยอยู่ข้างๆฉินโม่หานมาตั้งหลายปี มีสิทธิ์อะไรมายึดครองตำแหน่งภรรยาของฉินโม่หานไปกัน?
วันนี้เกิดเรื่องให้ซูสือเยว่กับฉินโม่หานมีปัญหากัน สำหรับเธอแล้วมันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้พวกเขาเลิกกัน!