ร่างของไป๋ยู่หนานนิ่งแข็งไปทันที
เขาหันหน้าไปทันที
ประตูทางเข้าห้องผู้ป่วย ชายร่างสูงใหญ่กำลังยืนกอดอกอยู่ มองเขามาด้วยดวงตาที่ประดับไปด้วยความเย้าหยอก
“แค่กแค่ก——“
ไป๋ยู่หนานกระแอมไอออกมาเบาๆ “จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าทางโน้นฉันยังมีผู้ป่วยกำลังรออยู่ ฉัน…ฉัน ฉันไปทำงานก่อนนะ!”
พูดจบ ก็ไม่สนว่าฉินโม่หานจะมีสีหน้ายังไงออกมา ชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นพรวดพราดสาวก้าวยาวๆเดินอ้อมฉินโม่หานออกไปทันที
“เฮ้…”
ซูสือเยว่ยกมือขึ้นมา ไม่ทันได้พูดออกไปสักคำเดียว ร่างของไป๋ยู่หนานก็ได้หายไปจากระยะสายตาของเธอไปเสียแล้ว
“ทำไม อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเขา?”
ชำเลืองเห็นสีหน้าของซูสือเยว่ ชายที่อยู่ตรงหน้าประตูก็ได้ยกมือขึ้นไปปิดประตูห้องผู้ป่วยลงไปนิ่งๆ
“หลังจากที่เสียง “ปัง” ดังขึ้น ภายในห้องที่ได้ปิดลง เหลือเพียงแค่ซูสือเยว่กับฉินโม่หานแค่สองคน
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธออย่างสง่างาม นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ เปิดกล่องข้าวให้เธอด้วยท่าทีที่อ่อนโยน แล้วได้ส่งช้อนเข้ามาในมือเธออีกที
ซูสือเยว่รับช้อนมา “ขอบคุณ…”
พูดจบ เธอก็ก้มหน้าลง กินข้าวต้มไปอย่างระวัง “ฉันรู้ว่าที่ไป๋ยู่หนานพูดมาเมื่อกี้นี้มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ฉันไม่มีทางคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”
ในเสียงทุ้มต่ำของฉินโม่หานได้ประดับไปด้วยรอยิ้มอารมณ์ดีออกมาด้วยเล็กน้อย “สิ่งที่เขาพูดมามันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียหมดหรอก”
ซูสือเยว่นิ่งอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมองเขา
ในดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้นของชายหนุ่มประดับไปด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีออกมาอย่างไม่ชัดเจนนัก
“ทำไมถึงมองผมอย่างนั้น?”
ซูสือเยว่หน้าแดงออกมา รีบก้มหน้าลงไปกินข้าวต้มต่อทันที
ฉินโม่หานหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเธอระวังตัวมาก
“ซูสือเยว่”
ตอนที่เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเรียกชื่อเธอออกมา มันมีความไม่รื่นหูขึ้นมาเล็กน้อย แต่เสียงมันกลับน่าฟังมาก
เธอส่งเสียงอืมออกไปเบาๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต้มต่อไป
“คุณพ่อมาแล้ว?”
เธอพยักหน้าตอบไปเงียบๆ “คู่หมั้นของคุณก็มาด้วย”
“คู่หมั้น?”
ฉินโม่หานย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ กว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่เธอพูดถึงคงจะเป็นเย่เชียนจิ่ว
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมายึดถ้วยข้าวต้มของเธอไป “ผมทำให้เถอะ”
เห็นเขาเอาช้อนมาจ่ออยู่ตรงปากของตนแล้ว ซูสือเยว่มีอาการระวังตัวออกมาเล็กน้อย “ฉันกินเองได้”
“ใช่ว่าผมจะไม่เคยป้อนคุณมาก่อนเสียหน่อย”
เขาส่ายหน้าออกมาอย่างจนใจ เอาช้อนยื่นออกไปข้างหน้าอีกนิดนึงอีกครั้ง
เธอมองเขาไปแวบนึง แล้วก็ได้ก้มหน้าลงไปช้าๆ กินข้าวต้มช้อนนั้นเข้าไป
คำแล้วคำเล่า
เสียงทุ้มต่ำของฉินโม่หานก็ได้ดังขึ้นมาเบาๆ “เย่เชียนจิ่วเธอไม่เคยเป็นคู่หมั้นของผมเลย”
“แต่ว่า…”
“เธอเป็นคนที่พี่รองของผมพากลับมา”
“พี่รองของผมเมื่อก่อนเคยเป็นทหารมาก่อน ภารกิจครั้งสุดท้ายก่อนปลดประจำการได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา หัวหน้าของเขามาบังสายฟ้าแทนเขา เสียชีวิตไปจนศพไม่เป็นรูปเป็นร่าง”
“หลังจากที่หัวหน้าเสียชีวิตไป ภรรยาของเขาที่อยู่ที่ชนบททนรับไม่ไหวจึงได้ฆ่าตัวตายไป เหลือเพียงลูกสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่คนนึง พี่รองก็เลยพาเด็กสาวที่ได้กลายเป็นเด็กกำพร้าคนนี้กลับมาที่ตระกูลฉิน เลี้ยงดูมาเป็นน้องสาว”
ซูสือเยว่ชะงักไป “เด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือเย่เชียนจิ่ว?”
“อืม”
ฉินโม่หานพยักหน้าออกมา แล้วก็ป้อนข้าวต้มเธอต่อ “ตอนที่เธอมาถึงตระกูลฉิน ผมอายุสิบแปดปี เธออายุสิบห้า”
การกระทำของชายหนุ่มเป็นไปอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเองก็อ่อนโยนไปด้วย “ตอนนั้นพี่รองพูดเล่นๆออกมาว่าอยากให้หลังจากที่เธอโตแล้วมาแต่งงานกับผม มันก็เลยเกิดข่าวลือว่าเธอเป็นคู่หมั้นของผมแพร่ออกมา”
มือทั้งสองข้างของซูสือเยว่จับผ้าปูที่นอนข้างๆตัวแน่นอยู่เงียบๆ “เพียงแค่ข่าวลือเหรอ?”
“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?”
ฉินโม่หานมองเธอ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นล้ำลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “ถ้าผมคิดอะไรกับเธอจริงๆ คุณคิดว่าคุณจะยังมีโอกาสอีกเหรอ?”
ซูสือเยว่ชะงักไป
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้ของเขาจะโหดร้ายไปบ้าง แต่เธอก็ได้ถูกโน้มน้าวให้เชื่อไปแล้ว
ใช่แล้ว
เย่เชียนจิ่วไม่ว่าจะยังไงก็อาศัยอยู่ที่ตระกูลเย่มาเป็นสิบปีแล้ว
ถ้าเธอเป็นคู่หมั้นของฉินโม่หานจริงๆ ฉินโม่หานอยากจะแต่งงานกับเธอจริงๆล่ะก็…
ทำไมถึงวนมาที่ตระกูลซูเพื่อพาเธอไปอยู่ข้างกายเขาอีก?
แต่ว่า…
ฉินโม่หานตักข้าวต้มส่งไปทางปากเธอไปอีกช้อนนึง “ยิ่งไปกว่าก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับคุณ คุณพ่อก็ได้จัดเตรียมคู่ดูตัวให้ผมมาสองคนด้วย”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วออกมา
ก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับฉินโม่หาน อันที่จริงเธอก็เคยได้ยินข่าวซุบซิบของเขามาจากซูโม่มาบ้างแล้วเหมือนกัน
แต่ทว่าทำไมเธอถึงจำได้ว่าตอนนั้นซูโม่บอกว่าเขาเป็นคนกำจัดผู้หญิงสองคนนั้นไป?
เหมือนราวกับว่าจะมองทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่ในใจเธอ ฉินโม่หานได้ยิ้มออกมาอย่างจนใจ “ใบหน้าเสียโฉม นิสัยโหดเหี้ยม เล่นผู้หญิงจนตาย…ข่าวพวกนี้ล้วนแล้วจะเป็นข่าวลือที่ซิงเฉินได้ให้คนแพร่กระจายออกไป”
ซูสือเยว่ตื่นตกใจออกมา “ซิงเฉินแต่งขึ้นมาเอง?”
“อืม”
ฉินโม่หานพยักหน้าตอบรับออกมาอย่างสงบนิ่ง “เขาบอกว่ามันสามารถคัดกรองผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานกับผมเพราะหน้าตาของผมและเงินของผมออกไปได้เยอะเลย”
ซูสือเยว่ “…”
นี่มันเป็นทฤษฎีที่ผิดเพี้ยนอะไรกันเนี่ย?
ร่างเธอสั่นออกมา ภายในใจสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “งั้นคู่ดูตัวทั้งสองคนนั้นของคุณ…”
“ถูกซิงเฉินทำให้กลัวจนหนีไปแล้ว”
ชายหนุ่มได้ป้อนข้าวต้มให้กับซูสือเยว่ต่อไปอย่างไม่แยแส “จำตอนที่มาถึงวิลล่าตระกูลฉินครั้งแรกเห็นเข้ากับอะไรหรือเปล่า?”
ซูสือเยว่ “…”
นึกถึงสัตว์ประหลาดนั่นที่ซิงเฉินปลอมตัวมาวันนั้นขึ้นมา จนถึงตอนนี้เธอก็ยังตกใจไม่หาย!
วันนั้นเธอคิดจริงๆว่าฉินโม่หานมีหน้าตาอย่างนั้นจริงๆ และก็กลัวว่าจะต้องใช้ชีวิตกับคนอย่างนั้นไปตลอดชีวิตด้วยเหมือนกัน
…ดังนั้นแล้ว คู่นัดบอดของฉินโม่หานเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ได้ถูกซิงเฉินหลอกให้กลัวหนีไปอย่างนี้?
“พูดเรื่องพวกนี้กับคุณ เพียงแค่อยากบอกคุณว่าก่อนที่ผมจะรู้จักคุณ ก็ได้เริ่มหาแม่ให้พวกเขาทั้งสองคนแล้ว”
พูดจบ เขาก็ได้ส่งข้าวต้มช้อนสุดท้ายไปทางปากของซูสือเยว่ “ยังคิดว่าเย่เชียนจิ่วเป็นคู่หมั้นของผมอยู่หรือเปล่า?”
ซูสือเยว่ส่ายหน้าออกมาเงียบๆ
เธอเงยหน้าขึ้นไป มองเขาไปอย่างตั้งอกตั้งใจ “แต่ว่า ถึงแม้ว่าเย่เชียนจิ่วจะไม่ใช่คู่หมั้นของคุณ ก็ยังนับว่าเป็นน้องสาวของคุณด้วยเหมือนกันสินะ…”
“ทำไมเมื่อก่อนหน้านี้คุณถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้กับฉันเลย?”
ฉินโม่หานยิ้มออกมา
เขายื่นมือออกไปมือใหญ่ที่มีนิ้วมือที่เรียวยาวได้เก็บช้อนชามสำหรับกินอาหารไป “คนที่ไม่เป็นอะไรกัน จะพูดกับคุณไปทำไม”
“คนที่คุณแต่งด้วยคือผม ไม่ใช่พวกเขาสักหน่อย”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มทำให้หัวใจของซูสือเยว่เต้นรัวขึ้นมา
เธอก้มหน้าลง “ฉันนึกว่า…คุณจงใจให้เธอมาหาฉัน”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?”
“ฉันนึกว่า…”
เธอเบะปากออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงมีความน้อยใจออกมาเล็กน้อย “ฉันนึกว่าคุณแคร์เรื่องที่ฉันเคยมีลูกมาก่อน ก็เลยนึกว่าคุณจงใจให้เธอมาเตือนสติฉันว่าอันที่จริงแล้วคุณเองก็มีผู้หญิงชอบมากมาย…”
มือที่กุมเครื่องจานชามของฉินโม่หานชะงักไปเล็กน้อย
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ เขาก็ได้หันหน้าไป ในดวงตาที่ล้ำลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งคู่นั้นมีอาการหน่ายใจออกมาเล็กน้อย “ไม่มีเย่เชียนจิ่ว คุณไม่รู้เลยหรือไงว่ามีผู้หญิงมากมายชอบผม?”
ซูสือเยว่ “…”
พูดเสียเหมือนกับว่า…มีเหตุผลมากเลย
หญิงสาวเม้มริมฝีปากออกมา ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆ กว่าเธอจะพูดต่อออกไปอย่างอ้ำๆอึ้งๆ “ขอโทษแล้วกัน”
ฉินโม่หานเก็บเครื่องจานชามเรียบร้อยแล้วก็ได้เอาไปวางลงบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ข้างๆเอาไว้ “ผมไม่ได้โทษคุณสักหน่อย”
“เพียงแต่ว่า”
เขายกมือขึ้นมาปาดเช็ดน้ำซุปที่ติดอยู่ตรงมุมปากของเธอ “ต่อจากนี้ไปอย่าคิดอะไรเหลวไหลอีก หืม?”
“แต่ว่า…”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา “ฉันก็ยังอยากขอโทษคุณอยู่ดีนั่นแหละ”
“เกี่ยวกับเรื่องในอดีตของฉัน…”
“ซูสือเยว่”
คำพูดของเธอยังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบ ก็ได้ถูกเขาขัดออกมาเสียงเย็น
เขาเลิกสายตาขึ้นมามองเธอ “ขอถามคุณสักคำถามนึง”
“ค่ะ”
“คุณถือสาที่ผมมีซิงเฉินกับซิงหยุนเด็กทั้งสองคนหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”
อันที่จริงเธอชอบพวกเขาทั้งสองคนมากเลย
“ถือสาที่ผมเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นเมื่อห้าปีก่อนหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”
ตอนนั้น เธอยังไม่รู้จักเขา เธอเองก็กำลังทุ่มเทเพื่อเฉิงเซวียนไปด้วยใจจริงด้วยเหมือนกัน เธอไม่มีเหตุผลไปตำหนิอดีตของเขา
“ดังนั้นแล้ว”
ฉินโม่หานเชิดคางเธอขึ้นมา บังคับให้เธอสบตากับเขา “ทำไมคุณถึงตัดสินว่าผมจะถือสากับอดีตของคุณล่ะ?”
“ในสายตาของคุณผมมันใจแคบขนาดนั้นเลย?”