ณ หมู่บ้านสามสิบลี้ ยุคสมัยราชวงศ์โจว
ในวันนี้ท้องฟ้าไม่ได้สวยสดมากนัก เมฆมืดครึ้มบนท้องฟ้าสั่นไหว เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น สายฟ้าฟาดกระหน่ำ
ท้องฟ้าที่เดิมทีมืดมิดเป็นปกติของหมู่บ้านสามสิบลี้ มีรอยแยกออกเป็นทาง ส่องสว่างให้เห็นภายในตัวหมู่บ้าน
ในเวลานี้ คล้อยกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ทันใดนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นทันใด “ถุยแน่ะ ไก่ตัวเมียอย่างเจ้า วันๆ เอาแต่ขันกระต๊ากๆ ฟักไข่ตัวผู้ไม่ได้ แล้วจะมีรังไข่ไปทำไมกัน”
นางด่าเป็นภาษาถิ่น การฟักไข่ให้ได้ตัวผู้นั้นมีโอกาสน้อยกว่าฟักไข่ตัวเมียอย่างมาก ซึ่งเป็นการดูถูกผู้หญิงที่ไม่สามารถให้กําเนิดบุตรชายได้
นี่คือหญิงสาวอายุประมาณสี่สิบปี มีคางแหลมเล็กน้อยและคิ้วขมวดจนหน้าย่น นางสวมชุดผ้าไหมที่สะอาดสะอ้านและกำลังปั้นหน้าเครียดกวาดพื้นอยู่ตรงหน้าบ้าน ส่วนทิศทางของเสียงที่ด่ามาก็คือห้องนอนทิศตะวันตก มือของนางนั้นขาวเนียนละเอียด แตกต่างจากมือที่หยาบกร้านของแม่บ้านชนบททั่วไปที่ไร้ซึ่งความสวยงาม
หลิวซานกุ้ยเกิดมาหน้าตาคมเข้มตาโต มองแวบเดียวก็ดูออกได้ว่าเขาเป็นคนซื่อตรง ขณะนี้เขากำลังกระซิบบอกมารดาของตนว่า “แม่ ท่านพูดเสียงเบาหน่อยสิ กุ้ยฮัวเพิ่งจะคลอดลูกก่อนกำหนด ร่างกายยังอ่อนแอ”
“เจ้าคนไร้ประโยชน์ ข้าเป็นแม่ เหตุใดจะพูดไม่ได้? ตลกสิ้นดี! ก็แค่คลอดนังเด็กผู้หญิงไร้ค่ามาหนึ่งคน สมควรแล้วที่จะจับมันกดน้ำตายในอ่างล้างเท้า ยังมาทำเป็นของล้ำค่า หวงภรรยา อ้าปากก็เอาแต่กินๆๆ เสบียงในบ้านไม่ได้มีเอาไว้เลี้ยงคนล้างผลาญแบบนี้หรอกนะ มีไปก็ไร้ค่าสิ้นดี”
ไม่เคยมีใครในบ้านนี้กล้าท้าทายอำนาจของหลิวฉีซื่อมาก่อน
คำร้องขอของหลิวซานกุ้ยไม่ได้รับการตอบรับแม้เพียงสักนิด ไม่เพียงเช่นนั้น มันยังทวีไฟโกรธาในใจของหลิวฉีซื่อให้ลุกโชน
“หากข้ารู้ว่านางเป็นตัวล้างผลาญมาตั้งแต่แรก ตอนนั้นคงจะจับกรอกน้ำโคลน แล้วโยนทิ้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
ดวงตาที่เหน็ดหน่ายของหลิวซานกุ้ยไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากการอ้อนวอนผู้เป็นแม่ “ได้โปรดอย่าต่อว่าอีกเลย เมียข้าเพิ่งจะคลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังไม่สู้ดีนัก เต้าเซียงเองก็ถูกกระแทกจนหน้าผากเป็นแผล…แม่ ข้าขอข้าวสารสักหนึ่งกำมือได้หรือไม่ จะได้ต้มโจ๊กแล้วป้อนให้สองแม่ลูกสักหน่อยขอรับ”
ในใจของหลิวซานกุ้ย นั่นคือชีวิตมนุษย์เป็นๆ ถึงสองคน
แต่ในสายตาของหลิวฉีซื่อ นี่คือหลุมที่ไม่มีก้นบึ้ง ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองเสบียงไปอีกนานเท่าไร ไหนจะตอนที่แต่งงานออกไป ยังต้องมีค่าสินสอดทองหมั้นอีก
นั่นล้วนเป็นเงินทั้งหมด พอคิดเช่นนี้ หัวใจของหลิวฉีซื่อราวกับมีเลือดไหล
ในขณะนั้นเอง น้องสาวแท้ๆ ของหลิวซานกุ้ยที่ชื่อว่าหลิวเสี่ยวหลันเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ
นางสวมเสื้ออ๋าว [1] ชายสั้นลายดอกไม้สีเขียวทะเลสาบอ่อนๆ และกระโปรงจีบปักด้วยดอกกล้วยไม้สีขาว นางเดินก้าวเล็กๆ เข้ามาอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าฝุ่นผงด้านนอกบันไดจะทำกระโปรงเปื้อน
“พี่สาม เหตุใดพี่ถึงกล้ามาขอข้าวสารกับท่านแม่อีก พี่คิดว่าข้าวสารนั้นพัดมากับสายลมหรืออย่างไร? อีกอย่าง พี่สะใภ้สามไม่ได้คลอดลูกครั้งแรกเสียหน่อย ไม่เห็นต้องโอ้โลมปฏิโลมเช่นนี้เลย จากที่ข้าดู พี่น่ะหลงนางมากเกินไป คิดว่านางคือลูกคุณหนูมีเงินจริงๆ หรือ?”
หลิวเสี่ยวหลันถูกหลิวฉีซื่อเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม นิ้วมือไม่เคยเปียกน้ำ วันๆ เอาแต่ปักผ้าจับผีเสื้อ ใช้ชีวิตดุจดั่งคุณหนูผู้ดีมีเงิน
หลิวฉีซื่อเดิมทีก็อยู่ในสภาพโกรธเคือง เมื่อถูกหลิวเสี่ยวหลันยั่วยุเข้าให้ ก็แผดเสียงสูงก่นด่า “ยังไม่รีบจัดการโยนเจ้าเด็กบ้านั่นให้จมน้ำตายในอ่างล้างเท้าอีก อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้มันเกิดมาทนทุกข์ในใต้หล้านี้ รีบๆ ตายแล้วไปเกิดใหม่เสีย อาศัยช่วงที่ยังไม่ต้องทนทุกข์ไปเกิดใหม่ในบ้านคนรวยนู่นไป”
เท่านั้นยังไม่พอ ยังตามมาด้วยคำด่าทออีกสารพัด!
หลิวซานกุ้ยทำได้เพียงคุกเข่าอ้อนวอนหลิวฉีซื่อ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะหันหลังเดินออกไปก็รีบยื่นมือออกไปคว้า “ท่านแม่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ เด็กเพิ่งคลอดออกมา ทนการทรมานเช่นนี้ไม่ไหว จะดีจะร้ายนางก็ถือเป็นหลานสาวของท่านนะ”
“เจ้าอยากตายหรือ ยังไม่รีบปล่อยมือแม่อีก?” หลิวฉีซื่อคว้าไม้กวาดในมือและใช้มันทุบไปที่ด้านหลังมือของเขา มือที่เดิมทีก็หยาบกร้านอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็บวมเป่งเป็นลูกซาลาเปาไส้เนื้อทันที
“ขากถุ้ย ข้าล่ะตาบอดจริงๆ ไม่น่าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่มาขนาดนี้เลย ดูเจ้าสิ ใจไม้ไส้ระกำ มีเมียก็ลืมพ่อแม่ การกตัญญูของเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ? เพราะนังสำส่อนนั่น ปล่อยให้ขี้หนูบ้านนางมาตกใส่หม้อข้าวบ้านข้าเสียได้ [2]”
หลิวฉีซื่อเป็นบรรพบุรุษในการแผดเสียงด่าคนประจำชุมชน คำพูดที่เสียดหูและไม่น่าฟังล้วนออกมาจากปากของนางอย่างไม่ขาดสาย
ในสมองของหลิวซานกุ้ยมีเพียงภาพของบุตรสาวคนที่สามที่คลอดก่อนกำหนด เด็กทารกที่เปรียบเสมือนลูกแมวน้อยที่อ่อนแอ ตัวเล็กจ้อย ผิวหนังย่น คิดได้ดังนั้นในใจของเขาก็ยิ่งบีบรัด ไม่รู้ว่ากินหัวใจเสือมาจากไหน รวบรวมความกล้าแล้วยื่นมือไปขวางทางหลิวฉีซื่อไว้ “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะตั้งใจทำงาน งานหนักในบ้านข้าขอรับไว้ทุกอย่าง ข้าขอเพียงข้าวสารหนึ่งกำมือจากท่านแม่”
หลิวเสี่ยวหลันซึ่งอยู่ข้างๆ หันมามองและเหยียดนิ้วมือเรียวขาวชี้ไปที่หลิวซานกุ้ย “พี่สาม พี่ลำเอียงมากเลยทีเดียว ท่านแม่เลี้ยงดูเรามาอย่างยากเย็นลำเค็ญ พี่กลับให้แม่ไปรับใช้พี่สะใภ้สาม เหตุผลของสวรรค์อยู่ที่ใดกัน”
หลิวฉีซื่อได้ฟังจึงเอื้อมมือออกไปสัมผัสด้านหลังศีรษะของหลิวเสี่ยวหลันเบาๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเอ็นดูว่า “อย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ยังมีลูกสาวที่รักและสงสารแม่”
ความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็คือ หลิวซานกุ้ยนั้นอกตัญญู
หลิวซานกุ้ยใช่ว่าจะไม่เห็นมือคู่ที่สะอาดผุดผ่องของน้องสาว เพียงแต่นี่เป็นความเคยชินไปแล้ว หลิวเสี่ยวหลันถูกเลี้ยงดูเช่นนี้มานาน หากให้หลิวฉีซื่อเป็นคนอธิบาย คงได้ความว่าหลิวเสี่ยวหลันร่างกายอ่อนแอ่ตั้งแต่เด็ก ต้องเลี้ยงดูประคบประหงมเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่หลิวเสี่ยวหลันไม่เคยทำงาน
“พ่อจ๋า!”
เสียงที่ละเอียดอ่อนหวานดังมาจากห้องฝั่งทิศตะวันตก หลิวซานกุ้ยหันศีรษะไปดูก็เห็นหลิวชิวเซียงซึ่งเป็นลูกสาวคนโตกำลังหลบอยู่หลังเสาไม้อย่างระมัดระวัง เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นมีแต่รอยปะเย็บเต็มไปหมด ร่างผอมบางยืนตัวสั่นราวกับอยู่ท่ามกลางสายฝน ดวงตาของหลิวซานกุ้ยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเจ็บแปลบในใจ
“ข้ายังไม่ตาย นังเด็กล้างผลาญ เจ้ามาทำหน้าเศร้าอะไรที่นี่?” หลิวฉีซื่อถลึงตาใส่หลิวชิวเซียงอย่างดุดัน
“แม่! นางแค่เป็นห่วงแม่กับน้องสาวนางก็เท่านั้น” หลิวซานกุ้ยรีบเอ่ยปากในขณะที่สายตาของหลิวฉีซื่อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หลิวเสี่ยวหลันเกรงว่าเรื่องราวยังไม่วุ่นวายมากพอ จึงเอ่ยเสริม “พี่ชาย พี่นี่จริงๆ เลย ในหมู่บ้านนี้คนท้องทุกคนก็ลุกขึ้นมาทำงานหลังคลอดลูกกันทั้งนั้น มีเพียงพี่ที่ตามใจเชิดชูใครบางคน ดูสิ ตอนนี้นิสัยเสียไปไหนต่อไหน ดูก็รู้ว่าเอาแต่ใจ”
“ซานกุ้ย เดี๋ยวเรียกเมียเจ้าลุกขึ้นมาทำข้าวเย็นด้วย” หลิวฉีซื่อโกรธมากขึ้น และใช้น้ำเสียงกราดเกรี้ยวมากกว่าเดิม “เจ้ามันไม่ได้เรื่อง วันๆ สมองเอาแต่คิดถึงเรื่องเมียตัวเอง เก่งแต่กิน คิดไม่เป็น!”
“แม่!” ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยแดงเถือก
“อย่าเรียกข้าว่าแม่ ข้าไม่มีลูกชายที่อกตัญญูเช่นเจ้า เจ้าพูดมาสิ ข้าตื่นเช้านอนก็ดึกเพื่อพวกเจ้า แต่ดูแต่ละคนสิ วันๆ รู้จักแต่กินแล้วนอน อ้าปากไม่ขอเงินก็ขอข้าวสาร ข้าคงติดหนี้พวกเจ้ามาตั้งแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้ถึงต้องมาชดใช้ให้ไม่จบไม่สิ้น”
หลิวฉีซื่อด่าไปพลางเดินกลับเข้าห้องพลาง
หลิวเสี่ยวหลันแสร้งทําเป็นเดินตามผู้เป็นแม่ไปอย่างช้าๆ และเมื่อนางผ่านหลิวซานกุ้ยก็กระซิบว่า “แม่หมายความว่าให้พี่สะใภ้สามเลิกเสแสร้งได้แล้ว รีบลุกขึ้นมาทำงานบ้าน พี่ทำตามไปก่อนแล้วค่อยคิดหาทางใหม่ เดี๋ยวท่านแม่ก็ให้ข้าวสารกับพี่เอง”
หลิวซานกุ้ยมองนางอย่างซาบซึ้งใจ อย่างน้อยน้องสาวของตนก็ยังมีความเห็นใจอยู่บ้างถึงแม้จะเป็นคนปากร้ายก็ตาม
“แม่ ให้กุ้ยฮัวได้พักผ่อนสักสองสามวันเถอะ ร่างกายนางอ่อนแอจากการคลอดก่อนกำหนด”
แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ช่างไม่ดูสถานการณ์ หลิวฉีซื่อยังคงโมโห แต่เขาก็ยังพูดจาที่ฟังดูเข้าข้างภรรยาตนเอง
“พ่อ ข้าจะช่วยแม่ทำงานบ้านเอง” ได้ยินดังนั้นหลิวชิวเซียงที่ตัวผอมโซก็ส่งเสียงมาจากด้านหลังเสา นางเองก็กลัวหลิวฉีซื่อ ในใจนั้นคิดว่าคำพูดของหลิวฉีซื่อเปรียบเสมือนวาจาของบรรพบุรุษทั้งตระกูลหลิว นางจึงไม่มีความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะต่อต้าน
หลิวฉีซื่อหันกลับมามองเด็กสาวอายุย่างเข้าเก้าขวบในปีนี้ นึกเปรียบเทียบกับหลิวเสี่ยวหลันซึ่งเป็นลูกสาวของตนที่อายุอ่อนกว่าสองปี แต่ในสายตาของหลิวเสี่ยวหลันนั้นไม่เคยเห็นหลิวชิวเซียงเป็นพี่เลย แต่เป็นเพียงคนที่นางสามารถใช้ประโยชน์เรื่องงานบ้าน
หลิวเสี่ยวหลันยิ้มอย่างพอใจ จุดประสงค์ของนางบรรลุแล้วจึงโน้มน้าวหลิวฉีซื่ออีกครั้งว่า “ท่านแม่ ไหนๆ ชิวเซียงก็พูดเช่นนี้แล้ว นางคงไม่กล้าเบี้ยว ท่านแม่ ยกข้าวสารให้พี่สามหน่อยเถอะ มองดูแล้ว นางเด็กนั่นก็น่าสงสารอยู่นะ”
หลิวชิวเซียงซึ่งแอบอยู่หลังเสาไม้นึกประหลาดใจมากที่หลิวเสี่ยวหลันช่วยพูดให้ เพราะในภาพจำของนาง หลิวเสี่ยวหลันไม่ใช่คนที่จะคบหาได้ง่ายๆ นางมักจะด่าทอนางและน้องสาวลับหลังผู้ใหญ่ แล้วยังชอบมาตั้งกฎเกณฑ์กับพวกนางด้วย
หลิวชิวเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่รู้สึกว่าการเชื่อฟังคําพูดของหลิวเสี่ยวหลันจะทำให้นางและน้องสาวโดนลงโทษน้อยลง
ดวงตาของหลิวฉีซื่อเป็นประกายยามที่มองไปที่หลิวชิวเซียงอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ชื่อ ชุนเซียง [3] ก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นหลิวซานกุ้ยก็ดีใจมากและขอบคุณมารดาตนเองอย่างรวดเร็วที่ช่วยตั้งชื่อลูกสาวคนที่สามให้
เขานึกประหลาดใจที่จู่ๆ หลิวฉีซื่อก็ไม่คิดร้ายกับลูกสาวคนเล็กแล้ว ส่วนหลิวชิวเซียงก็เช่นกัน หัวใจของนางมีความสุขมากที่อย่างน้อยชีวิตของน้องสาวคนที่สามก็รอดมาได้ ไม่ถูกทำให้จมน้ำตายในอ่างล้างเท้าแล้วโยนทิ้งหลังเขา
“ท่านย่า ข้าจะขยันให้มาก”
“อืม” หลิวฉีซื่อพอใจก่อนพูดกับหลิวซานกุ้ยต่อ “เมื่อใดที่เมียเจ้าสามารถลงจากเตียงได้ ให้นางกับเจ้าไปจัดการหญ้าที่ขึ้นตรงนาด้านหลังด้วย” จากนั้นก็เอ่ยเรียกหลิวเสี่ยวหลันไปตักข้าวสารใส่กระบอกไม้ไผ่ครึ่งหนึ่งเพื่อให้หลิวซานกุ้ยด้วยความเมตตา
ในความเป็นจริง หลิวซานกุ้ยรับผิดชอบงานของผู้ใหญ่สองคนรวมกับงานบ้านในส่วนของหลิวชิวเซียง ถึงแลกกับข้าวสารมาได้ครึ่งกระบอกไม้ไผ่
หลิวเสี่ยวหลันเองก็พอใจมากเช่นกัน เพราะในบ้านมีเด็กรับใช้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ทั้งยังไม่ต้องแอบใช้งานแบบหลบๆ ซ่อนๆ อีกด้วย
“ท่านแม่ ช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่ว่าดอกไม้นี้ปักแล้วเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าบอกกับเถ้าแก่เนี้ยที่ร้านปักในตำบลไว้เรียบร้อย รอข้าปักเสร็จก็จะส่งไปที่นั่น นางยังชมว่าฝีมือปักของข้านั้นนับวันยิ่งดีขึ้น ข้ารู้สึกว่าครั้งหน้าต้องเพิ่มราคาให้แน่นอน”
เสียงของหลิวฉีซื่อในเวลานี้ไม่ได้หยาบกระด้างอีกต่อไป นางพูดกับหลิวเสี่ยวหลันเสียงเบาว่า “หลันเอ๋อร์ งานเย็บปักถักร้อยของเจ้าเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าได้ฝึกมากขึ้นคงเยี่ยมยอดกว่าแม่เป็นแน่ บรรดาฮูหยินในเมืองใหญ่ล้วนชื่นชอบเด็กสาวที่มีฝีมือและไหวพริบ”
หลิวเสี่ยวหลันยังคงกังวลเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านบอกว่าตระกูลหวงจะมาเลือกเด็กสาวจริงๆ หรือ?”
“ตระกูลหวงมักจะหาซื้อเด็กสาวเพื่อเข้าบ้าน เพียงแต่ คนที่ตายไปมีจำนวนมากกว่า”
“แล้วท่านแม่ยังอยากให้ข้าไปอีกหรือ?”
“วางใจได้ ลุงของเจ้าเป็นพ่อบ้านที่นั่น!”
ชื่อเดิมของหลิวฉีซื่อคือฉีหรุ่ยเอ๋อร์ ในเมืองต่างจังหวัดมีครอบครัวที่ร่ำรวยมีชื่อเสียง ซึ่งก็คือตระกูลหวง แต่เดิมนางเป็นเด็กรับใช้ใกล้ชิดของท่านย่าใหญ่ในตระกูลหวง รูปร่างหน้าตานางสะสวยจิ้มลิ้ม โดยเฉพาะดวงตากลมโตนั้นมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างมาก ยังเคยคิดอยากจะเป็นที่หมายปองของนายท่าน
——
เชิงอรรถ
[1] เสื้ออ๋าว (袄) คือเสื้อที่ตัดเย็บแบบมีสองชั้นสำหรับสวมกันหนาว มีทั้งแบบยัดฝ้ายไว้ตรงกลางระหว่างเนื้อผ้าสองชั้น เพื่อให้สามารถเก็บความอุ่นป้องกันความหนาวเย็นได้ดีขึ้น และแบบไม่ยัดฝ้าย “เสื้ออ๋าวชายสั้น” คือเสื้ออ๋าวที่ชายยาวประมาณเอวถึงคลุมสะโพก
[2] ขี้หนูตกใส่หม้อข้าวบ้าน หมายถึง คนหนึ่งทำผิด ลากทั้งกลุ่มให้เสียหายไปด้วยเพราะปัญหาบางอย่าง คล้ายกับสำนวนไทย ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง
[3] ชุน หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิ เซียง หมายถึง หอมอบอวล ชุนเซียงจึงหมายถึง กลิ่นไอฤดูใบไม้ผลิอันหอมอบอวล