หลิวเต้าเซียงที่เคยมีเงินทองเต็มมือ สามารถเลือกสรรหนุ่มหล่อเนื้อหอมได้ตามใจ เมื่อเทียบกับสภาพตอนนี้ที่วันๆ ต้องนอนคลุกฝุ่น สวมเสื้อผ้าปะเย็บ เธอจึงยอมพูดกับเจ้าปีศาจอย่างเอาอกเอาใจ “เจ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย สัตว์ปีศาจเด็กดี หวานใจของพี่ รีบบอกพี่สาวหน่อยว่าต้องทำอย่างไรถึงสามารถสร้างตัวได้เร็วที่สุด?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดชำเลืองมองเธอเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มอธิบายยาวเหยียด
เนื่องจากเจ้าปีศาจได้จัดการเอาค่าใช้จ่ายประจำวันของหลิวเต้าเซียงไปซ่อมแซมความเสียหายของเครื่องมือสื่อสาร ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องใช้สองมือหาเงินก้อนแรกเองในชีวิต ไม่มีเรื่องไหนที่เลวร้ายกว่านี้อีกแล้ว
หลิวเต้าเซียงแหงนหน้าโอดครวญ นี่มันมิติหลอกลวงชัดๆ!
แต่เอาเถอะ ยังดีกว่าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ขายุงแม้จะเล็กนิดเดียวแต่ก็มีเนื้อ เมื่อนึกถึงเป้าหมายที่จะได้เป็นสาวโสดฐานะดีก็ทำให้หลิวเต้าเซียงยอมรับเงื่อนไขป่าเถื่อนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังเร็วไปที่จะกังวลว่าจะอดกินเนื้อปลา
บางทีอาจเป็นเพราะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อยู่ในใจ จึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อโลกแปลกใหม่อีก แต่ยังไม่ทันได้ทอดถอนใจถึงพ่อแม่และน้องชายที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เธอก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
“เอี๊ยด” เวลาผ่านไป เสียงประตูไม้เก่าๆ ก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่ชวนเสียวฟันทีเดียว
หลิวเต้าเซียงลืมตาตื่นพร้อมกับรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปหมด อยากลุกขึ้นแต่ก็ไม่มีแรง
ที่ประตูไม้นั้นมีเด็กสาวตัวผอมแห้งกำลังมองมา เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่รู้สึกตัวแล้วจึงเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบเข้ามาดู
หลิวเต้าเซียงเอียงศีรษะมองไปทางประตู เห็นว่าด้านนอกนั้นใกล้มืดเต็มที
“น้องรอง ตื่นแล้วหรือ? หิวแล้วสินะ ข้าแอบขโมยไข่ในตะกร้าหลังเตียงของท่านย่ามา เจ้ารีบกินสิ”
ขณะพูดนางก็เลิกเสื้อตัวสั้นขึ้น แล้วเอาไข่ที่แอบซ่อนออกมาหนึ่งใบ
หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่าหน้าท้องของนางถูกความร้อนจนเป็นรอยแดง แต่หลิวชิวเซียงกลับดูมีความสุขมากกว่ากับไข่ที่อยู่ในอุ้งมือ ดวงตากลมโตนั้นเปล่งประกายกว่าปกติในยามพลบค่ำ
หลิวเต้าเซียงซาบซึ้งใจกับพี่สาวของร่างนี้ที่นางมีความรักและอยากปกป้องน้องสาว
“อื้ม! เจ็บสินะ!” นางพูดกับพี่สาวด้วยความเป็นห่วง
หลิวชิวเซียงฝืนยิ้มกว้าง “ไม่เจ็บเลย”
ไม่เจ็บสิแปลก เป็นเด็กสาวที่เสแสร้งไม่เก่งจริงๆ หลิวเต้าเซียงคิดในใจ
นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวแต่ซาบซึ้ง จึงยื่นมือไปรับไข่ที่ยังหอมกรุ่น พร้อมกับคิดว่าในเมื่ออาศัยอยู่ในร่างของหลิวเต้าเซียงแล้ว ก็ต้องสวมบทบาทให้ได้สมจริง แล้วใช้ชีวิตกับครอบครัวนี้ต่อไปอย่างสงบสุข
ส่วนในโลกยุคปัจจุบัน เธอเองก็รู้สึกผิดในใจกับพ่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจกลับไปได้ ตอนนี้เธอคือหลิวเต้าเซียงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ ยุคสมัยราชวงศ์โจว เธอต้องพยายามใช้ชีวิตให้ดี มันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้พวกท่านไม่เป็นกังวล
หลิวชิวเซียงสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้งแล้วกลืนน้ำลาย กลิ่นหอมของไข่นั้นช่างยั่วยวนเหลือเกิน นางแทบอดใจไม่ไหวที่จะแย่งไข่ในมือของน้องรองมาแล้วกัดลงไปเต็มแรงสักสองคำ
“ข้าจะไปดูทางให้เจ้า”
สุดท้ายก็หักห้ามใจ แล้วรีบหันหลังวิ่งไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ภาพนั้นติดอยู่ในใจของหลิวเต้าเซียงจนต้องตั้งปณิธานว่า สักวันนางจะเลี้ยงดูพี่สาวคนนี้ให้ตัวขาวอวบอ้วน แล้วหาคนดีๆ ให้แต่งงานด้วย
หลิวเต้าเซียงยื่นมือไปสัมผัสรอยปูดบนศีรษะ ยังไม่หายบวมเท่าไรแต่ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้ว คงเพราะพลังฟื้นฟูที่เจ้าถั่วงอกบอก ไม่รู้ว่ามันช่วยฟื้นฟูอะไรอีกบ้าง
หลิวเต้าเซียงได้กลิ่นหอมของไข่ที่อยู่ในมือ ประสาทสัมผัสทั้งหมดก็ตื่นตัวพร้อมด้วยเสียงท้องร้องดังขึ้นโครกคราก
นางอ้าปากเล็กๆ แล้วกัดไปหนึ่งคำ รู้สึกถึงความหอมนุ่มเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับไข่ที่ฟักออกจากไก่เลี้ยงในซูเปอร์มาร์เก็ตเลย
“นังเด็กเหลือขอ แม่มันนี่ช่างตาบอดจริงๆ หมาที่ดีไม่ขวางทางชาวบ้าน ไสหัวไปอีกทางเลยนะ”
หลิวเต้าเซียงที่เพิ่งกินไข่เสร็จขมวดคิ้ว แล้วรีบโยนเปลือกไข่ทิ้งไปในหลุมแล้วหาของบังไว้ จากนั้นเช็ดมุมปากอย่างรวดเร็วไม่ให้เหลือหลักฐาน
เมื่อได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นป้ารอง ชื่อว่าหลิวซุนซื่อ ในความทรงจำนั้นนางคือแม่บ้านที่ชอบพูดจาหาเรื่อง ทั้งยังใส่สีตีไข่เก่ง
หลิวซุนซื่อคือภรรยาของหลิวเหรินกุ้ยบุตรชายคนรองแห่งตระกูลหลิว บ้านมารดาประกอบอาชีพค้าขายเนื้ออยู่หมู่บ้านข้างกัน
มือของหลิวชิวเซียงกำแน่นอยู่ในแขนเสื้อ นางรีบตอบอย่างหวาดกลัว “ป้า ป้ารอง แม่ แม่กับน้องรองกำลังนอนหลับ”
หลิวซุนซื่อกลอกตา “ไสหัวไป ข้าจะเข้าไปดู กลางวันแสกๆ ปิดประตูไว้แน่นขนาดนี้ทำอะไรกัน?”
นางยื่นมือหยาบหนาออกมาแล้วออกแรงผลักหลิวชิวเซียงไปอีกทาง ไม่ได้ทะนุถนอมหลานสาวแท้ๆ ของบ้านสามีแม้แต่น้อย
หลิวชิวเซียงรูปร่างผอมบาง ไฉนเลยจะทนแรงของหลิวซุนซื่อได้ นางโดนผลักไปอีกทางจนหลังกระแทกกับประตู แน่นอนว่านางไม่มีความกล้าพอจะขัดขืนหลิวซุนซื่อที่พูดจาเกินกว่าเหตุ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว
“เอี๊ยด” ประตูไม้เก่าๆ ถูกผลักออกอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงที่เสียดหู แค่ได้ยินก็ทำให้หลิวเต้าเซียงหงุดหงิด
หลิวชิวเซียงถูกประตูเบียดจนล้มลงกับพื้น แต่หลิวซุนซื่อก็เมินเฉยแล้วก้าวข้ามร่างเล็กๆ
ผมของนางมีปิ่นปักผมหินโมราสีเงินลวดลายก้อนเมฆ สวมเสื้อผ้าฝ้ายตัวสั้นสีขาวเขียว พร้อมกับกระโปรงผ้าฝ้ายสีม่วงอ่อนลวดลายดอกไม้ที่ยังดูใหม่อยู่ รูปร่างเพรียวสูง ดวงตาคู่นั้นดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
หลิวเต้าเซียงมองดูการแต่งกายของนางที่ช่างขัดกันกับบ้านซอมซ่อหลังนี้แล้วอยากจะสบถ คนบ้านนี้คงนับว่ารวย แต่ทำไมความทรงจำของร่างที่เธออาศัยอยู่ถึงมีแต่ชีวิตที่ลำบากยากจน?
เมื่อหลิวซุนซื่อเปิดประตูเข้ามาก็กวาดตามองไปรอบๆแล้วสูดหายใจเข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปจ้องหลิวชิวเซียง
“ทำไมในห้องนี้เหมือนมีกลิ่นอะไรบางอย่าง?”
นางเดินขึ้นหน้าแล้วตรงไปยังข้างเตียงที่หลิวชิวเซียงนอนประจำ
หลิวเต้าเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นใจไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นเท้าเล็กๆ ที่ห่อด้วยผ้าหยาบออกมาจากใต้ผืนผ้าห่ม
หลิวซุนซื่อไม่ทันได้ตั้งตัว กลิ่นเหม็นเปรี้ยวก็พุ่งเข้าปลายจมูกของนางเต็มๆ
“แหวะ!”
นางรีบถอยหลังหลายก้าวแล้วเอามือเกาะผนังเพื่อพยุงตัวไว้ แทบจะอาเจียนมื้อเย็นออกมาจนหมด
หลิวเต้าเซียงนึกสมน้ำหน้าในใจ กรรมตามทัน ใครใช้ให้มารังแกพี่สาวฉัน
หลิวซุนซื่อคิดไม่ถึงว่าเท้าของหลิวเต้าเซียงจะส่งกลิ่นเหม็นถึงเพียงนี้ “นังเด็กบ้า ไม่ได้ล้างเท้ามานานแค่ไหนกัน ไม่ใช่สิ นี่เจ้าจงใจสินะ นังเด็กชั่ว กล้าทำเรื่องที่ไม่ให้เกียรติป้ารองของเจ้าได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลิวเต้าเซียงหดเท้ากลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม นางเองก็กลัวว่าตัวเองจะสลบไปเหมือนกัน
หลิวชิวเซียงเกรงว่าน้องสาวจะถูกเล่นงาน มือเล็กกำหมัดแน่น แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยเสียงเบา “ป้า ป้ารอง ตั้งแต่ตรุษจีนมาก็ฝนตกตลอด ไม่ ไม่อาจซักผ้าได้”
หลิวซุนซื่อฟังเช่นนี้ก็แทบเป็นลม ยื่นมือตบหน้าขาแล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าตัวล้างผลาญ รีบบอกมานะ กลางวันแสกๆ ปิดประตูไว้แน่น คิดจะทำอะไรกัน?”
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองไปด้านนอกอีกหน ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ได้ยินเพียงเสียงเม็ดฝนหยดลงบนหลังคาหญ้าฟาง ในสวน และพื้นโคลน…
“ป้ารอง ฟ้ามืดแล้ว”
หลิวเต้าเซียงสะกิดคำพูดของหลิวซุนซื่อทำให้อีกฝ่ายอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะหันศีรษะกลับมาถลึงตาใส่ สายตานั้นแทบจะถลกหนังของหลิวเต้าเซียงออกมาให้ได้
“ฮึ่ม!”
สุดท้ายแล้วนางก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปดื้อๆ
หลิวชิวเซียงมองดูเงาด้านหลังของป้ารองที่หายไปท่ามกลางความมืดแล้วรีบปิดประตู คลานขึ้นเตียงของหลิวเต้าเซียงพร้อมกับคว้ามือเล็กๆ ไว้แล้ววางมืออีกข้างหนึ่งบนศีรษะของน้อง “เต้าเซียง ครั้งหน้าอย่าแข็งข้อกับป้ารองเลย จิตใจของนางคับแคบยิ่งกว่าเข็ม และแค้นฝังหุ่น”
หลิวเต้าเซียงพยักหน้า ท่าทางของป้ารองเมื่อครู่นี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
แต่นางไม่ชอบหลิวชิวเซียงที่อ่อนแอไร้ความสามารถ “พี่ ท่านจะกลัวอะไร? ถ้าครั้งหน้าป้ารองมาหาเรื่องอีก พี่ปล่อยให้ข้าเป็นคนพูดเถอะ สมควรปัดกวาดนางให้ออกไป”
“ข้าแค่กลัวว่าป้ารองจะไปฟ้องย่า”
ทั้งสองไม่ทันสังเกตว่าระหว่างนั้นยังมีใครอีกคนแอบฟังอยู่ด้วย จางกุ้ยฮัวที่เดิมทีกว่าจะข่มตาหลับพักผ่อนได้ก็ยากแล้ว ตอนนี้ยังมีน้ำตาคลอเบ้า นางยกมือปิดปากที่สั่นเครือเพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกไป เกรงว่าบุตรสาวสองคนจะได้ยินแล้วจะยิ่งเป็นกังวล
“ท่านแม่?”
แต่ในที่สุดสองพี่น้องที่อยู่ห้องกั้นข้างๆ ก็รู้ตัว และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
จางกุ้ยฮัวเอ่ยด้วยเสียงสั่น “ต้องโทษพ่อแม่ที่ไร้ความสามารถถึงทำให้พวกเจ้าต้องทนทุกข์ด้วย แม่ไม่ได้เรื่อง ปกป้องพวกเจ้าสามคนไม่ได้ หากว่าบ้านแม่มีฐานะดีกว่านี้ คงไม่ต้องมาถูกพวกนางโขกสับ”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็มองจางกุ้ยฮัวใหม่ เพราะเคยคิดว่าแม่ของตนนั้นเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง มีแต่ยอมคนอื่น แต่แท้จริงแล้วนางก็ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีปฏิบัติของตระกูลหลิว
หลิวเต้าเซียงระลึกได้ว่าฐานะทางบ้านของจางกุ้ยฮัวนั้นไม่สู้ดีนัก พ่อจากไปตั้งแต่นางยังเด็ก ส่วนแม่ก็เฝ้าเลี้ยงดูลูกสองคนจนเติบใหญ่ แต่ด้วยฐานะที่ยากจนทำให้ไม่มีเงินค่าสินสอด หลิวฉีซื่อที่ปากคอเราะร้ายรู้ดังนั้นก็ใช้เพียงไก่ที่ออกไข่ได้สองตัว ไข่สามสิบฟอง ข้าวสารสองกระสอบ พร้อมกับผ้าหยาบสามผืนและเงินเพียงหยิบมือเดียวแลกจางกุ้ยฮัวมา
ที่นางมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าหลิวฉีซื่อมักจะป่าวประกาศไปทั่ว แล้วยังบอกว่าสินสอดที่นางให้นั้นมากเกินไป เพราะว่าจางกุ้ยฮัวใช้เพียงผ้าสีแดงหยาบๆ หนึ่งผืนมาทำชุดเจ้าสาว ในวันแต่งงานก็มีเพื่อนบ้านใจดีให้ยืมวัวมาส่งถึงหน้าบ้านตระกูลหลิว
หากพูดให้ชัด งานแต่งงานของนางก็นับว่าลำเค็ญพอสมควรเมื่อเทียบกับคนอื่น ไม่แปลกใจเลยที่หลิวฉีซื่อจะไม่เห็นหัวนาง
หลิวชิวเซียงร้องไห้ตาม “แม่ ท่านตั้งใจดูแลตนเองให้ดี ตอนนี้ข้าอายุเก้าขวบแล้ว งานบ้านส่วนใหญ่ข้าก็ทำเป็นแล้ว”
จางกุ้ยฮัวนั้นตกระกำลำบากมาทั้งชีวิต ก่อนแต่งงานก็ต้องช่วยเหลือแม่ของตนทำความสะอาดเก็บกวาดบ้าน ออกจากบ้านก็ไปช่วยทำสวนทำนา ในบ้านไม่มีเสาหลักให้พึ่งพิง ก็ต้องอาศัยพวกนางแม่ลูกในการทำงานหาเงินกันเอง
และด้วยประสบการณ์ชีวิตที่นางเคยเผชิญมา จึงไม่ต้องการเห็นบุตรสาวของตนต้องเผชิญความทุกข์ในแบบเดียวกัน
“แม่ไม่ได้เรื่องเอง…” จางกุ้ยฮัวได้ยินที่หลิวชิวเซียงพูดก็ยิ่งเจ็บแปลบในใจ หากเป็นบุตรสาวของบ้านอื่นก็คงทำเพียงแค่ช่วยเลี้ยงหมู กวาดพื้น แต่บุตรสาวของตนกลับต้องทำงานทุกอย่าง ยิ่งทำให้นางรู้สึกเศร้าและเจ็บปวด
หลิวเต้าเซียงรู้สึกได้ว่าผู้เป็นแม่กำลังจมอยู่กับความเศร้าโศก จึงหันไปมองหลิวชิวเซียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่ามกลางความมืดนั้นดวงตากลมโตก็ส่องประกายอย่างนึกอะไรออก
“พี่ ทำไมเราไม่แยกออกไปอยู่ล่ะ?”
เสียงของนางไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอให้จางกุ้ยฮัวได้ยิน
“เต้าเซียง ถ้าอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ แม่จะพาพวกเจ้าสามคนไป และยื่นเรื่องขอหย่าร้างเอง” นึกไม่ถึงว่าจางกุ้ยฮัวจะเด็ดขาดและกล้าทำถึงเพียงนี้
หากแต่หลิวชิวเซียงรู้สึกว่าพ่อของตนนั้นยังเป็นคนดี “แต่ว่าพ่อเขา…”
“ลูกรัก พ่อทำไมหรือ?”
ในตอนนั้นเองหลิวซานกุ้ยที่เอาแต่เฝ้าหม้อโจ๊กที่ต้มอยู่ก็ถือโจ๊กเดินเข้ามา
สายตาของหลิวเต้าเซียงฉายแววแปลกใจ ทำไมพ่อที่ใสซื่อของตนถึงเดินออกมาจากด้านหลัง?
“พ่อ ไปกินข้าวแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวซานกุ้ยเดินมาข้างเตียงนอนแล้ววางหม้อที่มีแต่รอยร้าวไว้บนโต๊ะที่ขาหายไปข้างหนึ่ง
เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ขณะที่หลิวเต้าเซียงคิดว่าคงไม่ได้รับคำตอบแล้ว เขาก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้ไป”
—–