ส่วนผู้ที่ดูแลแปลงผักนี้ แน่นอนต้องเป็นแม่ของหลิวเต้าเซียงหรือจางกุ้ยฮัวนั่นเอง
หลิวซุนซื่อรับมือกับผู้คนได้เป็นอย่างดี นางแสร้งทำหน้าเป็นมิตรแล้วพาสองพี่น้องเข้าห้องฝั่งทิศตะวันตกไป ก่อนจะผลักหลังของหลิวเต้าเซียงอย่างแรง “นังเด็กหน้าไม่อาย กล้าฟ้องข้า ดูสิว่าข้าจะเล่นงานเจ้าอย่างไร”
ทันใดนั้นหลังของหลิวเต้าเซียงก็เจ็บจี๊ด จึงหันขวับแล้วกัดเข้าที่หลังมือของหลิวซุนซื่ออย่างเต็มแรง เค้นพลังตั้งแต่ในท้องออกมา
“มารดามันเถอะ กล้ากัดข้าหรือ ยังไม่รีบปล่อยอีก”
หลิวเต้าเซียงถูกตบไปที่ท้ายทอยอย่างแรงหนึ่งที ทำเอาสายตาพร่ามัว ปากเริ่มไม่มีแรงจึงค่อยๆ คลายออก
“น้องรอง ป้ารอง ป้าตีศีรษะของน้องรองได้อย่างไร?”
หลิวชิวเซียงที่เพิ่งได้สติคืนมาไม่สนความเจ็บปวดบนหลังตนเอง รีบย่อลงบนพื้นเพื่อพยุงตัวน้องสาว
หลิวเต้าเซียงเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า แต่ตีให้ตายนางก็จะไม่ร้องไห้ นางกัดฟันแล้วเรียกน้ำตากลับเข้าไป ก่อนจะวิ่งจ้ำอ้าวตรงไปที่ตะกร้าที่หลิวชิวเซียงวางไว้ตอนกลับบ้าน จากนั้นหยิบมีดผ่าฟืนออกมาแล้ววิ่งไปทางหลิวซุนซื่อ
นางกัดฟันแน่น พร้อมกับตะโกนใส่หลิวซุนซื่อด้วยความโกรธเกรี้ยว “บังอาจตีข้า วันนี้แหละ ข้าจะฟันป้าให้ตาย”
นางก้าวออกไป ชีวิตต่อชีวิต นางไม่ได้อยากอยู่ในที่บ้าบอแห่งนี้อยู่แล้ว ในใจคิดเพียงว่าสถานที่ที่แม้กระทั่งสุนัขยังไม่ยอมคลอดลูก ฉันไม่อยากอยู่หรอก โทรทัศน์ก็ไม่มี เข้าอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้ ไม่ได้เห็นเหล่าดาราสุดหล่อ แล้วยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่ได้ออกไปชอปปิ้งด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนต้องเงื้อมีดผ่าฟืนแล้วก้าวเท้าเล็กๆ ไปทางหลิวซุนซื่อ นั่นทำให้หลิวชิวเซียงตกตะลึง!
“อ้าก!” ใบหน้าของหลิวซุนซื่อเปลี่ยนสีชะงัดแล้วตะโกนลั่นบ้าน “จางกุ้ยฮัว ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก ลูกสาวเจ้าเอามีดไล่ฟันคนแล้ว”
หลิวเต้าเซียงอารมณ์พุ่งปรี๊ด “พูดไร้สาระ ข้าจะฆ่าใคร? อย่าหนีนะ หยุดเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าข้าจะสับปากเจ้าให้ละเอียด วันๆ เอาแต่พูดจาพล่อยๆ” ขณะที่พูดก็ยกมีดขึ้นแล้วฟันลงไป
หลิวซุนซื่อตกใจจนกรีดร้อง ไม่กล้าอยู่ในบ้านอีกต่อไป คว้ากระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอก แต่ตอนที่ออกจากประตู ปลายเท้าก็ไปชนเข้ากับขอบจนตีลังกาล้มไป เจ็บจนน้ำตาแทบไหลออกมา เมื่อยังเห็นดวงตาแดงก่ำของหลิวเต้าเซียงที่กำลังชูมีดผ่าฟืนวิ่งไล่หลัง ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วคลานโซซัดโซเซออกจากประตูไป
หลิวเต้าเซียงมองดูนางที่เผ่นหนีไปแล้ว ที่แท้ก็แค่พวกกุ้งตัวอ่อน ขี้ขลาด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ วันนี้ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อ จะฟันนางผีบ้าอย่างป้าให้ตาย เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า เอะอะเอาแต่รังแกเด็ก หน็อยแน่ เจ้าเป็นใครมาจากไหน พ่อข้าโดนตี แม่ข้าโดนด่า ใครใช้ให้ส่วนเกินอย่างป้ามาแส่ ไม่ลองฉี่ออกมาแล้วส่องมองตัวเองบ้างเล่า!”
แขนขาเรียวเล็กของหลิวเต้าเซียงไหนเลยจะวิ่งทันหลิวซุนซื่อ นางจึงถือมีดผ่าฟืนยืนตะโกนด่าอยู่ตรงขั้นบันได
สวนลานบ้านใหญ่ขนาดนี้ นางไม่เชื่อว่าคนในบ้านจะหูหนวกกันหมด “ต่อไปใครกล้ารังแกแม่กับพี่ข้าอีก ข้าจะให้คนคนนั้นได้เห็นดี ฮึ่ม ยุคสมัยนี้แล้ว ไม่กลัวใครหน้าไหนอีก แม้ว่าจะก่อเรื่องขึ้น ก็แค่ทิ้งรอยแผลในใจขนาดเท่าปากถ้วยในตอนอายุสามสิบปีให้หลัง ข้า หลิวเต้าเซียงนั้นเป็นคนดี ฉะนั้นข้าอุตส่าห์ไว้หน้าป้าแล้ว ก็อย่าให้มันได้ใจมากเกินไปนัก”
ภายในลานนั้นเงียบสงัด นางยืนอยู่บนขั้นบันไดบริเวณทางเชื่อมทิศตะวันตก กระทั่งได้ยินเสียงฟืนไฟที่กำลังเผาไหม้ในห้องครัวทางฝั่งทิศตะวันออก
ทางเดินที่หลิวฉีซื่อมักจะเดินอยู่เวลานี้ก็เงียบไป ส่วนหลิวซุนซื่อที่ชอบยุแหย่ก็ไม่รู้หลบไปอยู่ไหนแล้ว
“หน็อย เป็นใครมาจากไหนกัน กล้ารังแกกันถึงเพียงนี้ ข้าก็จะไม่ขอนับญาติ และไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
นางคือหลิวเต้าเซียง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบเจอเรื่องราวขุ่นมัวเช่นนี้มาก่อน ดังที่บรรพบุรุษกล่าวไว้ คนบ้ากลัวคนโง่ คนโง่กลัวคนไม่รักชีวิต
นางยืนบนขั้นบันไดพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววเป็นประกาย ริมฝีปากที่ซีดจนไม่เห็นสีเลือดยกยิ้มเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “พี่ หินโม่มีดของเราอยู่ไหน มีดนี่ยังคมไม่พอ”
—–
ขณะนั้นหลิวฉีซื่อกำลังง่วนอยู่ในครัวก็สะดุดจนเกือบล้ม
“หลันเอ๋อร์ ไปเรียกชิวเซียงมาเตรียมตั้งโต๊ะอาหารได้แล้ว”
หลิวเสี่ยวหลันขมวดคิ้วมองอาหารที่อยู่บนชั้น และเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “แม่ เหตุใดจึงไม่มีเนื้อเล่า?”
หลิวฉีซื่อที่กำลังหงุดหงิด ไม่คิดเลยว่าในบ้านจะเลี้ยงสุนัขป่าจอมหิวโหยอยู่ด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเสี่ยวหลันเกี่ยวกับอาหาร นางก็เอ่ยอย่างรำคาญ “ไม่มี เจ้าจะทนรอสักวันสองวันไม่ได้หรือ ในบ้านมีปากท้องมากมายเช่นนี้ ต้องแล่เนื้อตั้งเท่าไรถึงจะพอกิน”
หลิวเสี่ยวหลันเบ้ปาก “แม่ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ข้ากินเยอะก็เพื่อให้ตนเองดูดี ต่อไปหากได้ไปยังจวนตระกูลหวงที่มั่งคั่ง มีหรือที่จะลืมแม่ได้? อย่างไรก็ต้องหาทางได้เป็นนายครองเรือนที่นั่น แล้วรับแม่เข้าไปเสวยสุขในเมืองหลวงด้วยกันอย่างแน่นอน”
คำพูดเหล่านี้หลิวฉีซื่อโปรดปรานนัก ในอดีตหากไม่ใช่เพราะถูกพ่อบังคับให้แต่งงานมายังเขาธุรกันดารแห่งนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะกลายเป็นภรรยาน้อยของใต้เท้าสักคนในจวนตระกูลหวงไปแล้ว ได้กินดื่มแต่ของดี ไหนเลยต้องมานั่งคำนวณฟืนไฟเกลือข้าวสารที่ต้องใช้ดั่งเช่นทุกวันนี้
“ไม่ต้องร้อนใจไป พี่สะใภ้รองของเจ้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าพี่ชายนางจะส่งเนื้อหมูมาให้เรา”
หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “แม่ เหตุใดได้แต่หนังหัวหมูอีกแล้ว? กินจนปากข้ามีแต่กลิ่นขนหมูเต็มไปหมด บ้านพี่สะใภ้รองเองก็ขี้เหนียวเสียจริง ไม่เห็นจะเคยส่งเนื้อหมูชั้นดีมาให้”
หลิวเสี่ยวหลันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงเอ่ยต่อ “แม่ คงไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้รองจงใจบอกกับบ้านนางหรอกนะ? ว่าให้เก็บเนื้อดีๆ ให้เจ้าอ้วนเป่ากิน จากนั้นค่อยแสร้งทำเป็นส่งเนื้อชั้นต่ำมาให้เรา”
จริงของนาง แต่ก่อนนี้หลิวฉีซื่อเคยคิดว่าหลิวซุนซื่อพอคบหาได้ แต่พอมาคิดดูใหม่ อาจเป็นเช่นนั้นจริงก็ได้?
ตอนที่นางยังเป็นคนรับใช้ชั้นสูง ไม่ว่าจะน้ำแกงกระดูกหยกขาว ทีหลี่ว์จี [1] หรือขนมเปี๊ยะทองพันหอม อยากกินเท่าไรก็ย่อมได้ ส่วนยามนี้น่ะหรือ? นางมองไปยังถั่วหมักบนชั้นวางด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน
“เอาเถอะ ในห้องแม่มีไส้อั่วท่อนหนึ่งซ่อนอยู่ กลางคืนค่อยแอบเอามาต้มให้เจ้ากิน” นางรู้สึกว่าการแต่งงานกับหลิวต้าฟู่เป็นการสร้างความลำบากทุกข์ยากให้กับบุตรสาวของตนเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งการกินยังเทียบกับคนรับใช้ไม่ได้ นี่ทำให้หัวใจของนางยิ่งไม่เป็นสุข
หลิวเสี่ยวหลันยิ้มอย่างมีความสุข นางรู้ว่าแม่ของตนนั้นเก็บซ่อนของส่วนตัวไว้จริงตามที่คาด จึงยื่นมือไปกอดแขนของหลิวฉีซื่อแล้วออดอ้อน “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าแม่รักข้า แม่ จะให้ข้ากินคนเดียวได้อย่างไร แม่ก็ต้องกินกับข้าด้วยถึงจะถูก”
“หลันเอ๋อร์ของแม่เป็นเด็กดีที่สุด เสี่ยวเหมียนอ๋าวของแม่ [2]”
หลิวฉีซื่อได้ยินคำสัญญาของหลิวเสี่ยวหลัน ในใจแทบอยากจะจับหลิวเสี่ยวหลันมายืดให้ตัวสูงขึ้นจนถึงอายุสิบสามปี เท่านี้ก็จะสามารถส่งเข้าไปยังจวนหวงสักสองปีได้แล้ว และภายใต้การช่วยเหลือของน้องชายนาง ย่อมสามารถยกระดับหลิวเสี่ยวหลันให้กลายเป็นภรรยาในใต้เท้าสักคนได้อย่างแน่นอน
หลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “แม่ ข้าจะไปเรียกพ่อกับพี่สามกลับมากินข้าว”
หลิวฉีซื่อตะโกนจากห้องครัวไปทางห้องทางเชื่อมฝั่งทิศตะวันออก “ซุนซื่อ ไปเรียกพ่อเจ้ากับซานกุ้ยกลับมา”
“แม่ ข้อเท้าข้าพลิก อีกอย่างหากข้าออกไปแล้ว พี่ชายข้ามาแล้วสวนทางกันพอดี ไม่เจอข้าจะทำเยี่ยงไร”
หลิวซุนซื่อกำลังหาข้ออ้างปฏิเสธ ถึงแม้ว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ชอบสะใภ้คนนี้นัก แต่หลิวซุนซื่อก็ยังถือว่าเคารพนางอยู่ นางจึงมองหาประโยชน์จากสะใภ้คนนี้ นั่นคือการที่ไม่ต้องซื้อเนื้อสดเข้าบ้านบ่อยๆ ซึ่งก็ประหยัดเงินได้ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่คิดจะใช้น้ำเสียงด่าทออะไร
ชิวเซียงอยู่ในห้องและได้ยินเข้าจึงเอ่ยกับหลิวเต้าเซียง “น้องรอง เจ้าดูแลน้องเล็กอยู่ที่บ้าน แล้วให้แม่พักผ่อน ข้าจะไปตั้งโต๊ะอาหาร”
จางกุ้ยฮัวโบกมือแล้วเอ่ย “ชิวเซียง ไปเรียกพ่อกับปู่เจ้ากลับมา แม่ไม่เป็นไร เต้าเซียง เจ้าไปช่วยย่าเช็ดโต๊ะให้สะอาด แล้ววางตะเกียบให้เรียบร้อย”
หลิวเต้าเซียงไม่พอใจ ในบ้านมีอยู่สิบกว่าชีวิต ล้วนเป็นพ่อนางที่ทำงานหนักข้างนอก พวกหนอนไม้ไผ่เหล่านั้นกลับมาก็ทำเป็นแต่แทะกิน ใครบ้างที่จะมองเห็นว่าพ่อแสนดีของนางลำบากเพียงใด
ตีให้ตายก็อย่าได้คิดว่านางจะไปตักข้าวให้
“ข้าไม่ไป เรื่องอะไรข้าถึงต้องทำงาน อาเล็กโตกว่าข้ารุ่นหนึ่ง อีกอย่างถ้าป้าสะใภ้รองข้อเท้าพลิกจริง จะวิ่งเร็วเยี่ยงนั้นได้อย่างไร? แม่ บ้านเรายังทำงานไม่มากพออีกหรือ? พ่อกับปู่ดูแลนากว่าสี่สิบแปลง แต่งานหนักส่วนใหญ่ก็ตกมาอยู่ที่พ่อ แล้วแม่ล่ะ? งานนอกงานในก็ต้องทำแล้วยังต้องช่วยงานที่นาอีก แล้วยังมีแปลงผักอีกหนึ่งไร่กว่า หมูอ้วนอีกสองตัว ไก่ในบ้านอีกสามสิบกว่าตัว มีแม่คอยดูแลอยู่เพียงผู้เดียว ย่าเคยทำอะไรบ้าง? อาเล็กเคยทำอะไรบ้าง? พวกท่านเป็นคนในครอบครัวหรือทาสกันแน่?”
จางกุ้ยฮัวอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเหตุใดบุตรสาวคนรองของตนถึงได้มีความคิดเช่นนี้ แต่นางก็แย้งหลิวเต้าเซียงไม่ได้จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กของนาง “เต้าเซียง เจ้าโทษพ่อแม่เถิด โทษพ่อแม่ที่ไร้ความสามารถ เจ้าอย่าโทษพวกเขาเลย อาเล็กร่างกายไม่ดี คลอดก่อนกำหนด ตอนที่ยังเด็กนั้นต้องกินยามากกว่ากินข้าวเสียอีก ส่วนป้าใหญ่กับป้ารองเจ้าก็สามารถคลอดลูกชายได้ หากจะโทษ คงต้องโทษที่ชีวิตแม่ไม่ดีเอง”
หลิวเต้าเซียงได้ยินเรื่องราวของจางกุ้ยฮัวจากหลิวชิวเซียง เพราะว่าไม่มีสินสอดทองหมั้น จางกุ้ยฮัวจึงมีสถานะต่ำต้อยอย่างมากในบ้านหลังนี้ ไม่ว่าใครต่างก็พากันเหยียบย่ำ
“แต่ว่าแม่ พี่เองก็เก้าขวบแล้ว ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าปีหน้าพี่สาวก็สามารถถกเรื่องแต่งงานได้แล้ว แม่ แล้วท่านจะเอาอะไรเป็นสินสอดให้พี่?”
คำพูดของหลิวเต้าเซียงสะกิดใจของจางกุ้ยฮัว แล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา หลิวเต้าเซียงจุกอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งใบหน้าซีดเซียวของแม่ แววตาที่ไร้ซึ่งประกาย เพราะการทำงานหนักเป็นแรมปีทำให้นางดูโศกเศร้า ถึงจะอย่างไรก็คงไม่สามารถแบกรับความทุกข์ระทมแบบนี้ไปได้ตลอด
หลิวเต้าเซียงเอ่ย “ห้ามร้อง ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์”
ไม่ใช่ความใจแข็ง แต่เพราะจำได้ว่าหลิวซานกุ้ยเคยบอกว่า เวลาอยู่เดือนหากร้องไห้มากไปจะส่งผลต่อดวงตา นางในฐานะที่เป็นคนนอกควรจะทำอย่างไรดี? คำพูดนั้นอาจฟังดูห้วนเกินไปจึงรีบเอ่ยปลอบ “แม่ เราหาโอกาสแยกบ้านกันเถอะ เราเป็นมนุษย์ต้องใช้ชีวิต บ้านเราจะต้องค่อยๆ ดีขึ้น ชุนเซียงก็จะได้มีเสื้อเหมียนอ๋าวสวยๆ ใส่และมีโจ๊กข้าวหอมๆ กิน”
ท่าทางของจางกุ้ยฮัวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ยังคงพิงอยู่บนคั่ง ส่วนหลิวชุนเซียงที่ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มหนึ่งผืนก็กำลังหลับอุตุ ไม่รู้ว่าตนเองเกิดมาอยู่ในครอบครัวเช่นไร
ทันใดนั้นจางกุ้ยฮัวก็เอ่ยอย่างรวดเร็วด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าคงโกรธแค้นจริงๆ สินะ ไม่อย่างนั้น วันนี้เจ้าคงไม่เป็นบ้าเพราะถูกบีบคั้นเยี่ยงนี้”
ในภาพความทรงจำของจางกุ้ยฮัว บุตรสาวคนรองของตนนั้นเป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น แต่ก็ไม่เคยหลุดการควบคุมอารมณ์ดังเช่นวันนี้ ตอนนั้นนางมองเห็นจากด้านในของห้อง ลูกสาวของตนราวกับโดนของคุณไสยที่จู่ๆ ก็นึกอยากจะฟันหลิวซุนซื่อขึ้นมาจริงๆ
เด็กคนนี้ต้องมีความเกลียดชังมากมายอยู่ในใจเป็นแน่ที่ถูกคนอื่นทำร้าย
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าแม่ของตนนั้นเป็นคนมีเหตุผล จึงเอ่ยว่า “แม่ ดูสิ แม่เอาแต่คอยถอยให้ พวกนางเลยได้ใจ บ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้ ปู่จะไม่รู้เห็นได้อย่างไร? เขาแค่แสร้งทำเป็นหูหนวก ส่วนย่าจะไม่เห็นหรือ? อ่อ เหมือนว่าย่าจะเป็นคนที่ดุร้ายที่สุด ข้ากับพี่ทำอะไรผิดนักหนาหรือ?”
นางนั้นเป็นห่วงหลิวชิวเซียงจากใจจริง เด็กอายุเพียงเก้าขวบเพิ่งจะตัวเล็กแค่นี้ ยังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังโตแท้ๆ แต่กลับถูกผู้เป็นย่าใช้ไม้กวาดทำร้าย ภาพจำในตอนนั้นทำให้หลิวเต้าเซียงแทบใจสลายทุกครั้งยามที่นึกถึง
—–
เชิงอรรถ
[1] ทีหลี่ว์จี คือ อาหารจีนชาววังสมัยโบราณ ถูกระบุไว้ในตำหรับอาหารชาววังโดยพ่อครัวในพระราชวัง ไม่ได้มีการระบุวิธีทำไว้ แต่เป็นเมนูไก่ที่ใช้เทคนิคการแล่ชั้นสูง
[2] เสี่ยวเหมียนอ๋าว คือเสื้ออ๋าวแขนยาวตัวสั้นที่บุนวมไว้กันหนาว ในที่นี้ ใช้เปรียบเปรยว่าเป็นดวงใจของผู้เป็นแม่ ทำให้หัวใจอบอุ่น