จางกุ้ยฮัวไม่รู้ว่าสามีตนเองกับบุตรสาวคนโตถูกทุบตี “ย่าเจ้าก็เป็นคนนิสัยเช่นนี้ นางชอบพูดถึงเรื่องที่เคยเป็นคนรับใช้ชั้นสูงในจวนหวง เมื่อเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้นางยังคงเป็นทุกข์ในใจ”
หลิวเต้าเซียงไม่ใช่เด็กจึงรู้ว่าหลิวฉีซื่อนั้นใจไม่สงบสุข รู้สึกว่าการแต่งงานกับหลิวต้าฟู่นั้นเป็นการขาดทุน ดังนั้นความหมายของจางกุ้ยฮัวก็คือ นางก็แค่ปากไม่ดีเท่านั้น
“แม่ ตอนนั้นนางไม่น่าแต่งกับปู่ข้าเลย ถึงไม่มีนาง ปู่ข้าก็คงไม่ถึงขั้นต้องอยู่ขึ้นคานหรอก”
จางกุ้ยฮัวมองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุตรสาวตน ในใจเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบดั่งมีก้อนหินหนักพันชั่งทับอยู่หนักจนนางแทบหายใจไม่ออก
“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ แต่ต่อให้ตีจนกระดูกหักอย่างไรก็ยังมีเอ็นเชื่อมอยู่ เจ้าอย่าโทษพวกเขาเลย ป้าใหญ่กับป้ารองเจ้าไม่เคยทำงานไร่นา แม่… ย่าเจ้าเป็นคนเก่งกาจ แม่ไม่ดีเอง ทำให้พวกเจ้าเงยหน้าสู้คนในบ้านหลังนี้ไม่ได้”
หลิวเต้าเซียงรู้ว่านางกำลังหมายถึงเรื่องสินสอด
“แม่ ครอบครัวเราต้องค่อยๆ ดีขึ้นแน่นอน”
นางยิ่งมั่นใจเรื่องการแยกบ้าน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม นางไม่สามารถทอดทิ้งครอบครัวหลิวซานกุ้ยได้ สถานะของนางยังคงเป็นบุตรสาวคนรองของพวกเขา หากนางอยากจะผงาดขึ้นมาในราชวงศ์โจว ก็ไม่อาจทำให้คนนอกเห็นว่าตนเองเป็นคนใจจืดใจดำ
“เฮ้อ เต้าเซียง แม่รู้ว่าเจ้าทนทุกข์ แต่เรื่องแยกบ้านห้ามเอ่ยออกมาเด็ดขาด ย่าเจ้าไม่ชอบคำพูดเช่นนี้ที่สุด”
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าถึงจะใจร้อนไปก็ไม่อาจกินเต้าหู้ร้อนๆ ได้ในทันที สำหรับครอบครัวจางกุ้ยฮัว นางยังต้องคิดหาทางค่อยๆ เกลี้ยกล่อม เพราะเหตุนี้เลยนึกเสียดายที่ตอนอยู่ในโลกปัจจุบันไม่ได้ซื้อนิยายแนวตบตีแย่งชิงมาอ่านให้เยอะ ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีคำพูดมากระตุ้นให้แม่ผู้น่าสงสารกับพ่อผู้ซื่อตรงเกิดความฮึกเหิมอยากแยกบ้านได้
ในโลกนี้ไม่มียาตัวไหนรักษาความเสียใจได้ หลิวเต้าเซียงได้แต่คิดเงียบๆ หากนางไม่อยากนึกเสียใจในภายหลัง วันนี้ก็ต้องเริ่มทำอะไรสักอย่าง นางได้แต่ค่อยๆ ก่อกำแพงเมืองจีน ต้องมีสักวันที่นางสามารถทำให้ทั้งสองคนมีความคิดอยากแยกบ้านได้
เช้าวันรุ่งขึ้นหลิวซุนซื่อและซุนต้าเตาซึ่งเป็นพี่ชายก็นำหัวหมูที่ส่งกลิ่นหอมชวนให้แมลงวันบินมาตอมมาให้ นางสวมรองเท้าผ้าเดินมาเยี่ยมถึงที่ ฝ่ายหลิวฉีซื่อออกไปต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นก็เอ่ยชื่อของเด็กสาวรับใช้ประจำบ้านไม่หยุด
“ชิวเซียง รีบไปเอาเก้าอี้มาให้ลุงเจ้าเร็ว”
“ชิวเซียง รีบรินน้ำชาให้ลุงเจ้า”
“ชิวเซียง เอาหัวหมูไปไว้ในห้องครัว เร็วเข้า”
“ชิวเซียง…”
หลิวเต้าเซียงที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงทางเชื่อมทิศตะวันตกถูกมองข้ามตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นหลิวฉีซื่อสั่งการหลิวชิวเซียงราวกับเป็นคนรับใช้ นางกลอกตาหนึ่งรอบแล้วก้าวขาเล็กๆ ออกจากประตู “อาเล็ก มานี่เร็ว ย่าเรียกให้มากินแต่หนังหัวหมูอีกแล้ว”
ลุงซุนที่เดิมทีนั่งอยู่ตรงนั้นถึงกับหน้าดำมืดราวกับก้นหม้อ
หลิวฉีซื่อถลึงตาใส่หลิวเต้าเซียงอย่างดุร้าย แล้วยกยิ้มมุมปาก “ต้าเตา อย่าไปฟังเด็กน้อยที่พูดจาไปเรื่อย เป่าเอ๋อร์ของเราน่ะชอบกินหนังหมูแดดเดียวที่สุด แม้ว่าจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่หากใส่ใจในการหมักสักหน่อย ก็สามารถทำให้เข้าเนื้อได้”
จากนั้นก็หันกลับมามองหลิวซุนซื่อ หลิวซุนซื่อเบ้ปากแล้วตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าทั้งสองกำลังรับมือกับซุนต้าเตาจึงรีบโบกมือให้หลิวชิวเซียง เมื่อเห็นว่าหลิวฉีซื่อไม่ทันได้สนใจทางนี้ ผู้เป็นพี่จึงแอบย่องออกไปทางเชื่อมฝั่งทิศตะวันตก
“น้องรอง มีอะไรหรือ?”
“พี่โง่หรือ เขาบอกให้พี่ทำอะไรก็ทำ”
“แต่ถ้าข้าไม่ทำ ย่าก็จะหาเรื่องด่าอีกน่ะสิ”
หลิวเต้าเซียงยื่นมือไปคว้ามือเล็กของนาง เด็กสาวเพียงแค่เก้าขวบ แต่ฝ่ามือกลับด้านไปหมด “ด่าก็ด่าไป ครั้งหน้าพี่หลบไปให้ไกล นางจะได้หาพี่ไม่เจอ ถึงด่าพี่ก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องสนใจย่าเลย?”
“แต่ย่าไม่มีทางหยุดด่าหรอก ถึงข้าจะหลบได้หนึ่งครั้ง ย่าก็คงจะด่าไปอีกหลายวัน” หลิวชิวเซียงเองก็ถูกกดขี่มานานอย่างเห็นได้ชัด จึงเกิดความหวั่นกลัวต่อผู้เป็นย่าจากเบื้องลึกในจิตใจ
หลิวเต้าเซียงในฐานะคนนอกที่เพิ่งเข้ามา ถูกพ่อแม่ประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด ย่อมทนรับกับสภาพเช่นนี้ไม่ได้
นางดึงหลิวชิวเซียงมายังด้านนอกกำแพงสวน แล้วกระซิบข้างหู “พี่ ท่านโง่หรือ ย่าชอบด่าก็ปล่อยให้ด่าไป ใช่ว่าด่าแล้วพี่จะเสียอะไร รอย่าด่าจนเหนื่อยก็เบื่อเอง ย่าเองก็ต้องอยากพักบ้าง มีเพียงข้อเดียวคืออย่าทำให้ย่าเกลียดเวลาอยู่ต่อหน้า ใช่ ต้องจำไว้ว่าอย่าไปวนเวียนอยู่หน้านาง ฮึ อาเล็กใหญ่กว่าพี่หนึ่งรุ่น ไม่เห็นย่าจะใช้อาเล็กบ้าง เจ้าก็คือพี่ข้า ไม่ใช่คนรับใช้ของย่า”
“ชิวเซียง หายหัวไปไหนแล้ว? ยังไม่รีบไปต้มน้ำในห้องครัวแล้วลวกหัวหมูอีก เต้าเซียง เต้าเซียง…” ขณะนั้นเอง หลิวฉีซื่อก็ตะโกนสั่งงานพวกนางจากในห้อง
หลิวเต้าเซียงหัวเราะเสียงต่ำแล้วเอ่ย “พี่ พี่เห็นว่าอย่างไร? พี่ฟังดูสิ พอเรียกใช้พี่ไม่ได้ก็มาเรียกหาข้าแทน เชอะ! พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านหลังนี้ก็คือคนรับใช้ดีๆ นี่เอง ครอบครัวเราสมควรเป็นคนใช้ของนาง ต้องคอยปรนนิบัตินางหรือ?”
“แต่ว่าย่า…” หลิวชิวเซียงมีสีหน้าลังเล แต่ถ้าให้พูดตามจริงเวลาที่เห็นเพื่อนบ้านที่เป็นเด็กวัยเดียวกันออกไปเที่ยวเล่น นางเองก็อยากออกไปเล่นบ้าง!
ในบ้านมีเสียงด่าทอของหลิวฉีซื่อลอยออกมาอีก “มารดามันเถอะ หายไปไหนกันหมด มีแต่คนขี้เกียจตัวเป็นขน กลับมาเมื่อไรข้าจะถลกหนังให้หมด”
หลิวเต้าเซียงสะกิดหลิวชิวเซียงเบาๆ เมื่อเห็นว่านางเริ่มลังเล บางทีคำพูดของนางอาจทำให้พี่สาวคิดได้แล้วจึงเอ่ยต่อ “เห็นหรือไม่ เมื่อไม่เจอใคร ย่าก็ทำเองได้ไม่ใช่หรือ?”
พูดถึงความเท่าเทียม หากหลิวฉีซื่อนั้นยุติธรรมและปฏิบัติต่อครอบครัวหลิวซานกุ้ยอย่างมีเมตตา หลิวเต้าเซียงคงไม่เห็นแย้งกับเรื่องที่หลิวฉีซื่อสั่งงานคนในครอบครัวนางเช่นนี้หรอก
เพียงแต่หลิวฉีซื่อหาใช่คนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยง่ายๆ อีกทั้งยังปฏิบัติกับครอบครัวหลิวซานกุ้ยไม่ดี เหมือนว่าการใช้แรงงานหนักๆ กับคนในครอบครัวนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเห็นสมควรอย่างไรอย่างนั้น
วันนั้นตอนเที่ยง หลิวชิวเซียงพาหลิวเต้าเซียงออกไปเที่ยวเล่นที่ทางเข้าหมู่บ้านครึ่งวัน ได้ยินว่าฟืนหนึ่งมัดสามารถขายได้เงินห้าอีแปะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝนตก หากเป็นยามปกติหนึ่งมัดจะขายได้เพียงสองถึงสามอีแปะเท่านั้น
นางลองคำนวณดู ในห้วงมิติมีฟืนหลายมัด การจะขายให้ได้เงินก็พอมีหนทาง
พอคิดได้เช่นนี้ ก็หันไปหาหลิวชิวเซียงที่เผยรอยยิ้มหวั่นกลัวเล็กน้อย จากนั้นก็ลากนางไปตรงเนินเขา แล้วเก็บฟืนเปียกๆ กลับมาพอเป็นพิธี
เมื่อถึงบ้าน หลิวฉีซื่อก็ชักสีหน้าใส่พวกนางอย่างเคย แต่หลิวเต้าเซียงเปลี่ยนหนังหน้าตนเองให้แน่นหนาดั่งเหล็ก ยืนนิ่งปล่อยให้หลิวฉีซื่อด่า เมื่อถึงเวลากินก็พาหลิวชิวเซียงไปกินข้าว ถึงเวลานอนก็พาไปนอน
เพียงแต่ตอนที่หลิวฉีซื่อบอกให้ทั้งสองคนล้างจานนั้น นางกลับตามหลิวชิวเซียงไปล้างจานอย่างว่าง่าย
หลังจากเรื่องผ่านพ้นไป หลิวชิวเซียงถามนาง “น้องรอง ไหนเจ้าบอกว่าไม่เชื่อฟังย่าแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ต้องไม่เชื่อฟังอยู่แล้ว แต่ต้องแยกสถานการณ์ให้ออกก่อน พี่คิดดู ตอนเที่ยงย่าเรียกใช้พี่ ตอนนั้นมีเพียงป้ารองกับพี่ชายป้าอยู่ แต่ตอนกินข้าวเย็น พ่อกับปู่เราอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า!”
แม้ว่าปู่คนนี้จะไม่ได้เป็นประมุขที่ดีในบ้าน แต่หลิวเต้าเซียงก็มีแผนการในใจ
“แต่ก็เชื่อฟังย่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?” หลิวชิวเซียงไม่อาจเข้าใจสิ่งที่น้องสาวคิด
หลิวเต้าเซียงเดิมทีอยากจะบอกให้ทำตามนางก็พอ แต่มาคิดดูแล้วถึงอย่างไรหลิวชิวเซียงก็คือพี่สาว จะปล่อยให้เออออห่อหมกอย่างเดียวไม่ได้
“พี่ พี่ลองพลิกมุมคิดดูสิ เราทำเป็นเชื่อฟังว่าง่ายต่อหน้าคนอื่นๆ พอลับหลังก็ไม่ต้องเชื่อฟังย่ามากนัก หากว่าย่าบ่นว่าเราขี้คร้านต่อหน้าปู่ พี่ว่าปู่จะคิดอย่างไร?”
หลิวชิวเซียงฟังแล้วคิดตาม รู้สึกว่าน้องสาวของตนฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับตนเองที่โง่เขลาเหลือเกิน
หลังจากนั้น หลิวชิวเซียงก็เริ่มทำหูทวนลมกับคำพูดของหลิวฉีซื่อ เมื่อหลิวเต้าเซียงเห็นเช่นนั้นก็แทบกระโดดโลดเต้น พลันรู้สึกว่านี่เป็นสัญญาณดีที่ค่อยๆ เปลี่ยนหลิวชิวเซียงได้ ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าใหญ่อย่างจางกุ้ยฮัวกับหลิวซานกุ้ย ไม่ช้าก็เร็วคงถูกนางโน้มน้าวสำเร็จเช่นกัน
ตอนเย็นหลิวเต้าเซียงนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง เงินหนอเงิน เหรียญเงินหนอเหรียญเงิน เจ้าอยู่ที่ใด!
นางเอาแต่คิดว่าตนเองข้ามมิติมาก็หลายวัน ทั้งยังสร้างความวุ่นวายในบ้านมาก็มากมาย แต่ก็ยังหาเงินไม่ได้แม้แต่แดงเดียว…
ขณะที่นั่งฟังหลิวชุนเซียงกำลังเปล่งเสียงร้องเพลงราวกับแมวน้อย หลิวเต้าเซียงก็ส่ายหน้าถอนหายใจอย่างระอา เงินหนึ่งอีแปะก็สามารถสยบจอมยุทธได้ หลิวเต้าเซียงเข้าใจภาษาจีนโบราณ ภาษาถิ่น บวกกับภาษาถิ่นของเมืองที่เคยทำงาน นางจึงรู้จักถึงสามภาษา แต่หาได้มีประโยชน์แม้เพียงสักนิดไม่
ขณะที่นางกำลังพิงขอบประตูด้วยท่าทางห่อเหี่ยวและกำลังจะเหม่อลอย หลิวฉีซื่อก็มีคำพูดก่นด่าโผล่มา
“เต้าเซียง ไปดูสิว่าหมูเหล่านั้นเป็นอะไรไป ร้องอยู่ได้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะให้อาหารไป เอาแต่ร้องหามารดามันเถอะ ไม่ว่าผู้ใดก็ดีแต่จะกิน ขี้เกียจทำงาน”
สำหรับทุกคำพูดของหลิวฉีซื่อ มักจะมีคำพูดก่นด่าว่าพวกนางขี้เกียจผสมปนมาด้วยเสมอ หลิวเต้าเซียงก็ทำเพียงปล่อยให้คำพูดลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป
“เจ้าค่ะ!”
หลังจากที่หลิวฉีซื่อเรียกซ้ำอยู่สามสี่หน นางก็ตอบรับอย่างหงุดหงิด
คอกหมูที่หลิวฉีซื่อบอกอยู่ด้านหลังอาคารหลัก ใกล้กับห้องครัวฝั่งทิศตะวันตก หลิวเต้าเซียงชำเลืองมองดูย่าผู้เอาแต่สั่งกำลังสระผมให้หลิวเสี่ยวหลัน จึงเดินอ้อมทั้งสองคนไปทางห้องครัว แล้วค่อยออกมาทางประตูหลังจนถึงคอกหมู เห็นหมูที่ตัวอ้วนพีใบหูใหญ่ ก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อดูแลพวกมันดีเพียงใด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ กินดีอย่างยิ่ง
นางหายใจเข้า ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยน “อี๋ เหม็นจะบ้า!”
ถัดจากนั้น เหมือนคอกหมูจะมีเสียงผิดปกติดังขึ้น หลิวเต้าเซียงนึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงลองตั้งใจฟัง และพบความผิดปกติเข้าจริงๆ
นางคว้าคราดที่วางอยู่ข้างคอกหมู แล้วเดินอ้อมไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ พอมองไปก็เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่ปี บนศีรษะสวมกว้านไว้ เขาสวมชุดสีม่วง ชายแขนเสื้อรัดข้อมือเหมือนชุดยิงธนู ตรงเอวนั้นคาดไว้ด้วยหยกขาวประดับอัญมณี ใบหน้าดุจจันทร์สีเงิน คิ้วดุจกระบี่วิหค
แต่ว่า… บนเนื้อตัวของคุณชายท่านนี้กลับแปดเปื้อนไปด้วยมูลสุกร ครึ่งท่อนบนอยู่บนฝั่ง ส่วนครึ่งล่างจมอยู่ในโคลนมูลสุกร
ดวงตาสองข้างปิดอยู่และนอนล้มอยู่ข้างบ่อมูล ดูจากตำแหน่งที่เขาไถลลงมา คาดว่าน่าจะปีนเข้ามาจากกำแพงด้านนอกบ้าน เพียงแต่คงไม่รู้ว่าด้านหลังกำแพงจะเป็นบ่อมูล
หลิวเสี่ยวหลันใช้ผ้าฝ้ายบางห่อผมที่เปียกแล้วก้าวเท้าเล็กๆ ตามมา พบว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้อยู่ที่บริเวณคอกหมู จึงอ้อมมาดูด้านหลัง เห็นนางกำลังเหม่อลอยจึงเอ่ยอย่างมีน้ำโห “นังเด็กบ้า แค่ใช้ให้ไปดูหมูหน่อย ยังเสียเวลานานครึ่งค่อนวัน มัวแต่อู้อะไร? แม่รอเจ้าอยู่นะ!”
หลิวเต้าเซียงกำลังพินิจอยู่ว่าจะช่วยคนผู้นี้ดีหรือไม่ หรือจะไม่ช่วยดี แต่คนๆ นี้ก็ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ หากว่าตายอยู่ในบ่อมูลนี้ นางคงรู้สึกไม่ดี แต่หากว่าช่วย…
สายตาของนางมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาที่มีมูลหมูแปดเปื้อน แหวะ เมื่อครู่เหมือนเพิ่งเห็นหนอนไต่บนหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นเลย
นางอดกลั้นอาการอยากอาเจียน หันศีรษะไปมองหลิวเสี่ยวหลันที่กำลังเดินมา ด้วยไหวพริบอันรวดเร็วจึงเอ่ย “อาเล็ก มาดูเร็ว ตรงนั้นมีคนอยู่”
“อะไรนะ? ไอ้เชียนเตา [1] ที่ไหน บังอาจนัก กลางวันแสกๆ มาแอบขโมยหมูบ้านข้า”
หลิวเสี่ยวหลันขมวดคิ้วจนตั้งขึ้น
หลิวเต้าเซียงมองดูคุณชายผู้นั้น ไอ้เชียนเตาคงไม่ใช่แน่นอน “อาเล็ก คนผู้นั้นเหมือนโดนมีดฟันมาหนึ่งแผล”
“อะไรนะ?” หลิวเสี่ยวหลันเลื่อนสายตาจากนางแล้วมองตามทิศทางที่นางชี้นิ้วไป
เมื่อเห็นชุดผ้าฝ้ายบนร่างของคุณชายผู้นั้นก็รีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ นางผลักหลิวเต้าเซียงแล้วเอ่ย “ยังไม่รีบไปเรียกย่าเจ้ามาอีก แล้วต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น คนๆ นี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน แล้วยังบาดเจ็บอีก ไม่แน่ว่าปากพล่อยแล้วอาจจะนำภัยมา”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าในใจนางนั้นมีแผนการอะไร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการช่วยคน ใครช่วยก็คงเหมือนกัน
—–
เชิงอรรถ
[1] เชียน แปลว่า พัน เตา แปลว่า มีด 千刀 เชียนเตารวมกันแปลตรงตัวหมายถึง มีดพันเล่ม แต่ในภาษาจีนไว้ใช้เป็นคำด่า ยกตัวอย่าง เจ้าขโมยนี่ สมควรโดนฟันสักพันครั้ง