หลิวเต้าเซียงเดินไปข้างหน้า แล้วบอกกับหลิวฉีซื่อว่ามีคุณชายผู้ดีคนหนึ่งตกอยู่ในบ่อมูลของบ้านตนเอง
เมื่อสิ้นเสียง นางก็รู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านไปวูบหนึ่ง…
แต่เมื่อได้สติมองดูอีกที ร่างของหลิวฉีก็หาได้ซื่ออยู่ที่เดิมไม่ นางคิดดูแล้วก็ไม่อยากให้ตัวเองไปเผชิญกับสถานการณ์น่าขยะแขยงเช่นนั้น ต่อให้เป็นเทพบุตรที่หล่อเหลาสักเพียงใด แต่อยู่ในสภาพที่ตกบ่อมูลก็ไม่น่าทำใจให้อภิรมย์ได้จริงๆ
แค่เพียงเขายังมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่อยากจะสนใจอยากรู้เรื่องอื่น จึงหันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องทางเชื่อมทิศตะวันตกของบ้าน เห็นน้องเล็กของตนกำลังร้องไห้งอแง ส่วนจางกุ้ยฮัวกำลังหลั่งน้ำตาอยู่อีกทางขณะที่พยายามเค้นน้ำนมออกมา แต่ทรวงอกที่โล่งและเหือดแห้งก็ไม่อาจมีน้ำนมออกมาแม้แต่หยดเดียว
“แม่ น้องเล็กหิวแล้ว!”
จางกุ้ยฮัวหันข้างใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตนเอง ไม่อยากให้หลิวเต้าเซียงเป็นกังวล
“น้องเล็กเจ้า… แม่ไม่ได้เรื่องเอง ที่บ้านไม่มีแม้กระทั่งของกิน แล้วจะมีน้ำนมให้น้องเล็กเจ้ากินได้เยี่ยงไร”
หลิวเต้าเซียงเข้าใจ หลังคลอดลูกต้องได้รับการบำรุงจากอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงจำพวกน้ำแกงเพื่อให้มีน้ำนม พลันคิดถึงแม่ไก่ที่กำลังโตได้ที่ของหลิวฉีซื่อที่ขังไว้หลังบ้าน ในใจก็เกิดความโมโห คิดอยู่ว่าวันใดหากหลิวฉีซื่อไม่ทันระวัง จะต้องจับแม่ไก่ตัวนั้นมาสังเวยเสียให้ได้
“แม่ วันนี้พ่อเราไปจับปลาที่ลำธารไม่ใช่หรือ ข้าจะไปต้มน้ำแกงปลาให้แม่ดื่ม”
จางกุ้ยฮัวก้มศีรษะนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ส่งเสียง
“แม่?” หลิวเต้าเซียงหัวใจหล่นวูบถึงตาตุ่ม พร้อมกับสังหรณ์ใจบางอย่าง
แล้วก็จริงตามคาดเมื่อจางกุ้ยฮัวเอ่ยปากว่า “ตอนที่พ่อเจ้าเอาปลาเข้ามา ถูกอาเล็กเจ้าเห็นเข้าพอดี จึงบ่นกับย่าว่าอยากกินปลานึ่งน้ำแดง ย่าเจ้าบอกว่าร่างกายอาเล็กอ่อนแอบอบบาง ส่วนน้องเล็กของเจ้าต้องเลี้ยงดูแบบชั้นต่ำถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ จึงบอกพ่อเจ้าให้ส่งปลาตัวนั้นไปเก็บไว้ใช้เป็นกับข้าวตอนเย็น”
นางไม่ได้บอกหลิวเต้าเซียงอีกอย่างหนึ่งว่าหลิวฉีซื่อนั้นยังด่าหลินซานกุ้ยว่าอกตัญญู มีของดีก็เอาแต่ป้อนเข้าปากคนนอก เอาแต่ประคบประหงม ‘เจ้าเด็กเหลือขอ’ ในอ้อมกอดของนาง
หลิวเต้าเซียงกัดฟันเอ่ย “แม่ พ่อไปจับปลาก็เพื่อเตรียมให้แม่กินให้มีน้ำนม แต่เหตุใดย่าถึงได้คิดเยี่ยงนั้น อาเล็กอยากกินปลาอย่างนั้นหรือ? ฮึ ข้าว่านางคงอิจฉาตาร้อน เห็นบ้านเรากินของดีไม่ได้ น้องเล็กเพิ่งคลอดมาไม่กี่วัน แม่ก็ยังอยู่เดือน ไม่เคยเห็นย่ากับอาเล็กเข้ามาเยี่ยมสักหน อ่อ อย่าว่าแต่เข้ามาเยี่ยมเลย กระทั่งนำของบำรุงมาให้ก็ไม่ยังเคยมี วันๆ ได้กินเพียงน้ำเปล่า ร่างกายของแม่ถึงจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กก็สามารถกลายเป็นดินโคลนได้”
จางกุ้ยฮัวขอบตาแดงก่ำ มองดูบุตรสาวคนรองของตนอย่างเหม่อลอย ในใจจะไม่รู้สึกเจ็บช้ำได้อย่างไร?
“เต้าเซียง พ้นจากประตูนี้ไป คำพูดเหล่านี้ห้ามหลุดออกไปเด็ดขาด แม่ก็ไม่ได้อยากมีชีวิตเช่นนี้ แต่นี่ล้วนเป็นชีวิต ชีวิตของแม่ไม่ดี ชีวิตบุตรสาวจึงไม่ดีตาม ต้องโทษพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง”
หลิวเต้าเซียงโบกมือแล้วเอ่ย “แม่ เรื่องนี้ถ้าจะพูดให้ชัดเจนล่ะก็ เพราะว่าย่าไม่เคยเห็นหัวครอบครัวเราอยู่ในสายตา หรือบางทีคงเพราะนางเคยชินกับการมองพ่อเป็นคนรับใช้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และไม่ได้มองว่าเป็นลูกชาย”
“เต้าเซียง อย่าได้พูดเช่นนี้ ย่าก็เอ็นดูพ่อเจ้า เจ้าดูสิ หลายปีมานี้ย่าเจ้ามักจะแบ่งผ้าหยาบสองม้วนมาให้พ่อเจ้าตัดเสื้อฤดูร้อนสองตัว”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แค่ผ้าหยาบสองม้วนมันจะราคาเท่าไรกันเชียว?
“แม่ ท่านว่าหากพ่อข้าออกไปทำงานข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงที่ไหนไกล ลำพังในบ้านคนรวยในตำบล แค่จ้างคนงานคนหนึ่งก็ต้องจ้างหลายร้อยอีแปะต่อหนึ่งเดือน หนึ่งปีคงได้อีแปะสักพวงหนึ่ง ยังไม่นับอาหารที่ให้กินสองมื้อต่อวัน”
ในยุคสมัยโบราณเสบียงค่อนข้างน้อย เพื่อประหยัดจึงกินเพียงแค่วันละสองมื้อ แต่ตระกูลหลิวนั้นเพราะการเพาะปลูกกำลังอยู่ในช่วงฝนฤดูใบไม้ผลิ หลายวันมานี้จึงได้กินกันสามมื้อ แต่ส่วนใหญ่ก็กินเพียงสองมื้อต่อวัน
จางกุ้ยฮัวเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ “เต้าเซียง เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย พวกเจ้ายังเด็ก แล้วยังไม่มีน้องชายที่ช่วยส่งเสริมพวกเจ้าด้วย จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยอยู่กับปู่ย่าของเจ้า ต่อไปหากพวกเจ้าออกเรือน ก็จะได้มีบ้านฝั่งมารดาที่ดี”
หลิวเต้าเซียงที่ภายในมีวิญญาณของผู้ใหญ่โตเต็มวัยย่อมเข้าใจสิ่งที่จางกุ้ยฮัวสื่อ ซึ่งนางไม่มีทางถอดใจง่ายๆ แน่
จากนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากในเรือนหลัก จางกุ้ยฮัวจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวเต้าเซียงได้เล่าเรื่องที่ช่วยคนไว้ให้นางฟัง
ไม่นานนักก็ได้ยินหลิวฉีซื่อตะโกนเข้ามา “เต้าเซียง เต้าเซียง ออกมานี่”
หลิวเต้าเซียงนั่งอยู่ตรงคั่งข้างกายจางกุ้ยฮัวและไม่ส่งเสียง ใบหน้าออกเหลืองของจางกุ้ยฮัวขยับ ท้ายที่สุดจึงเอ่ยอย่างหน่ายใจ “ย่าเจ้าเรียกเจ้าแน่ะ รีบไปเถอะ นางจะได้ไม่โวยวายอีก”
“แม่ ท่านวางใจเถอะ ครั้งนี้ย่าไม่มีทางโวยวายแน่นอน”
คุณชายท่านนั้นแต่งกายไม่ธรรมดา มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ดีสูงส่ง หลิวฉีซื่อมีดวงตาคมกริบในการแยกแยะ ย่อมรู้จักของดีมากกว่าหลิวเต้าเซียงที่เพิ่งข้ามมิติมา และดูออกว่าอะไรคืออะไร
เป็นไปตามคาด หลิวฉีซื่อเรียกนางอยู่อีกหลายครั้ง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ก็ไม่ได้ออกมาตะโกนด่าคนตรงบันไดเฉกเช่นปกติ
บ่ายวันนี้หลิวเต้าเซียงเฝ้าแม่ตนเองอยู่ในห้อง เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้ยินคนในบ้านบอกว่า หลิวฉีซื่อออกเงินเรียกคนไปเชิญหมอในตำบลมารักษาคุณชายท่านนั้น โชคดีที่มีบาดแผลแค่ภายนอก ไม่ส่งผลอันตรายถึงชีวิต
หลายวันมานี้ ฝนฤดูใบไม้ผลิดุจดั่งควันและหมอกที่ปกคลุมทั่วผืนดินแห่งนี้ เมื่อวานตอนบ่ายหลิวเต้าเซียงคิดหาทางเข้าไปในตำบลเพื่อจัดการขายฟืนในห้วงมิติ คาดว่าน่าจะได้ราคาดี วันนี้จึงดำเนินตามแผน
“ชิวเซียง เต้าเซียงไปเสเพลที่ไหนอีก ยังไม่รีบไปตามนางกลับมาอีก”
หลิวชิวเซียงกำลังก้มศีรษะก่อไฟอยู่หน้าเตา เมื่อได้ยินเสียงหลิวฉีซื่อจึงคิดจะไปตามหาน้องสาว นางได้ยินจากหลิวฉีซื่อเมื่อครู่ว่าจะใช้หนังหัวหมูมาต้มน้ำเดือดทำเป็นโจ๊ก นางจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ได้กินเนื้อหมูสองชิ้น น่าจะเป็นตอนตรุษจีน มาจากปู่ที่ช่วยคีบให้ลูกๆ หลานๆ คนละสองชิ้น
นางโยนที่คีบฟืนแล้วเตรียมตัวลุกขึ้น แต่หลิวเสี่ยวหลันยื่นมือมาขวาง แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “แม่ ท่านจะโกรธไปทำไม ไม่แน่ว่าเต้าเซียงอาจจะไปเล่นที่บ้านอื่นแล้ว แม่ ข้าอยากกินโจ๊กหมู”
หลิวฉีซื่อมองดูน้ำแกงหมูที่กำลังเดือดปุดๆ พลันยิ้มอย่างดีใจ ยื่นมือไปลูบศีรษะหลิวเสี่ยวหลันเมื่อเดาได้ว่าเหตุใดบุตรสาวจึงเอ่ยเช่นนั้น “เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้นี่”
หลิวเสี่ยวหลันรู้ว่านี่จะสามารถประหยัดข้าวไปได้อีกหนึ่งคน เป็นเหตุให้หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าบุตรสาวของตนนั้นช่างละเอียดใส่ใจ ดีที่ไม่ต้องเพิ่มข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ จะได้ทำอาหารดีๆ ไว้ให้คุณชายท่านนั้น
“แม่ คุณชายท่านนั้นยังไม่ฟื้นอีกหรือ?” หลิวเสี่ยวหลันแก้มแดงระเรื่อดุจท้อสีแดง
หลิวฉีซื่อมองดูนางด้วยความรักพร้อมกับครุ่นคิด ก่อนจะหยิบเนื้อหัวหมูออกมาจากตู้เก็บ แล้วใช้มีดเฉือนเนื้อส่วนที่ดีที่สุดออกมาหนึ่งส่วน
เนื้อหมูชิ้นนี้หนักกำลังพอดี เป็นเนื้อหมูล้วน เวลาเคี้ยวจะเปื่อยง่าย กลิ่นหอมเป็นพิเศษ
“แม่ ดีมาก ข้ายังคิดอยู่ว่าจะบอกกับท่าน เป่าเอ๋อร์งอแงอยากจะกินเนื้อหมูผัด” หลิวซุนซื่อเดินหาวเข้ามาในห้องครัว ตรงหัวตายังมีขี้ตาอยู่
หลิวฉีซื่อกำลังจะอ้าปากแผดเสียงด่า แต่หลิวซุนซื่อก็เอ่ยอีกว่า “เฮ้อ แม่ ลุงของเป่าเอ๋อร์บอกแล้วว่า เนื้อหัวหมูนี้เก็บไว้ให้เป่าเอ๋อร์ของเรากิน แต่ข้าเองก็ไม่ได้ใจดำถึงเพียงนั้น เอาไว้ทำตอนมื้อเที่ยงเถิด ทุกคนจะได้กินพร้อมกัน”
นางกำลังปิดปากของหลิวฉีซื่อทางอ้อม ขณะเดียวกัน นางเองก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อต้องไม่ยอมที่จะกินเนื้อหมูจนหมดเกลี้ยงแน่นอน
ใครจะรู้ว่าหลิวฉีซื่อกลับตอบอย่างดีใจ “สะใภ้รองช่างใจดีเมตตาผู้อื่นเหลือเกิน วันนี้จะทำอาหารมื้อดีๆ ตอนเช้าจะทำให้หลันเอ๋อร์กับคุณชายผู้นั้นสักหน่อย ดูท่าน่าจะเป็นคุณชายจากบ้านตระกูลใหญ่ แต่ก่อนข้าเคยดูดวงให้หลันเอ๋อร์ของเรา นางน่ะเป็นคนมีบุญ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้เป็นฮูหยินตระกูลเศรษฐี พวกเจ้าดูสิ นี่ก็ถึงคราวสมควรพอดี”
หลิวซุนซื่อกลอกตา ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างประจบประแจง “แม่ น้องเล็กของเราน่ะเกิดมาสะสวย นี่ถ้าหากให้พี่สะใภ้ใหญ่พาออกไปด้วย คนอื่นคงต้องถามแน่ ว่านี่คือคุณหนูตระกูลไหน? ข้ามองดูน้องเล็กของเราแล้ว ช่างเกิดมามีหน้าตาสวยงามราวกับผู้ดีเหลือเกิน!”
“คนที่ดูดวงก็บอกเช่นนี้ บอกว่าน้องเล็กเจ้าจะมั่งมีจนแก่เฒ่า ยิ่งเติบโตยิ่งร่ำรวย” หลิวฉีซื่อดีใจจนปากหุบไม่ลง
หลิวชิวเซียงที่กำลังดูไฟนึกเป็นห่วงน้องสาวตนเองอย่างมาก เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อดีใจเช่นนี้จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ย่า เก็บไว้ให้น้องรองสักหน่อยได้หรือไม่?”
“ไปไกลๆ ไป โง่จะตายชัก แค่เห็นก็อัปมงคลแล้ว” คำพูดนี้ออกมาจากปากหลิวซุนซื่อ
หลิวฉีซื่อมองอย่างไม่รู้สึกอะไรแล้วเอ่ยเสริม “ตายอยู่ข้างนอกยิ่งดี จะได้ประหยัดเสบียงในบ้าน จะได้เหลือไว้เลี้ยงหมูเยอะขึ้น”
หลิวชิวเซียงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในใจ อีกฝ่ายใช้สายตาอำมหิตจ้องจนนางต้องก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟัง
นางนึกถึงคำพูดของน้องรอง ในใจยิ่งเกิดความไม่ยุติธรรม รู้สึกว่าย่าไม่รักและเอ็นดูน้องรองเลยแม้แต่น้อย
นางเหลือบมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพียงแต่ว่าคนในครัวเอาแต่พูดเรื่องชีวิตมีบุญของหลิวเสี่ยวหลัน ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นนาง
นึกย้อนไปในวันนี้ตอนที่ฟ้าเพิ่งสาง หลิวเต้าเซียงกำลังเขย่าหลิวชิวเซียงจนตื่น
“พี่ ข้าจะบอกพี่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร?”
“ข้าอยากไปในตำบล”
“เต้าเซียง เจ้าไปไม่ได้ มันไกลเกินไป เจ้ายังเด็กมาก พ่อแม่ไม่มีทางตกลงเป็นแน่”
“พี่ วันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัด ข้าอยากไปดูในตำบล ไม่แน่ว่าหากได้รับความชื่นชอบจากคนรวย อาจจะได้งานมาทำบ้าง”
“เจ้าเพิ่งเจ็ดขวบ”
“ชุ่ยฮัว บ้านข้างๆ ก็เจ็ดขวบ ยังสามารถไปขายดอกไม้ในตำบลคนเดียวได้เลย”
หลิวชิวเซียงนิ่งเงียบชั่วครู่ นางรู้ว่าให้น้องสาวไปคนเดียวคงไม่ดี แต่นางก็คิดหาเหตุผลมาห้ามปรามน้องสาวไม่ได้
สุดท้ายแล้วหลิวเต้าเซียงก็ไปเองคนเดียว แต่ก่อนจะออกไปนางบอกกับหลิวชิวเซียงอีกว่า ตนเก็บผักป่าได้และซ่อนไว้ข้างนอกบ้าน ตั้งใจว่าจะเอาไปแลกเป็นเหรียญทองแดง แล้วซื้อน้ำตาลแดงกลับมาให้แม่สักหน่อย
ให้กินน้ำตาลแดงช่วงอยู่เดือน หลิวเต้าเซียงได้ยินมาจากป้าคนหนึ่งตอนที่ไปเล่นข้างนอก ตอนนั้นป้ายังมองดูนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ บอกว่าแม่ของนางจางกุ้ยฮัวนั้นช่างมีชีวิตที่น่าเศร้าเสียจริง!
หลิวเต้าเซียงจดจำเรื่องนี้ไว้ ตั้งใจว่าหลังจากขายฟืนได้ทองแดงมาแล้วจะซื้อน้ำตาลแดงกลับมาด้วย
ห่างจากหมู่บ้านสามสิบลี้ไปสิบลี้ มีตำบลหนึ่งชื่อว่า ตำบลเหลียนซาน
เมื่อฟ้าค่อยๆ สว่าง หลิวเต้าเซียงปีนขึ้นรถเข็นวัวพร้อมกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะนางปากหวานพูดเก่ง ออกตัวเรียกลุงป้าน้าอา จนได้ใจเหล่าหวังซึ่งเป็นลุงคนขับรถกับป้าๆ บนรถเข็นวัว พวกเขาต่างพากันหัวเราะกันอย่างเริงร่า จึงไม่มีใครเก็บเงินค่ารถกับนาง
“เอ๋ เต้าเซียง มือเจ้าเป็นอะไรไป? เมื่อวานไม่เห็นเจ้ามาตัดฟืนด้วย?”
หลิวเต้าเซียงหันไปมอง นี่คือเพื่อนข้างบ้านที่หวีผมเก็บเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้ากลมมน ดูมีเมตตา ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าหนาสีน้ำตาล คนเรียกนางว่า ป้าหลี่ซานเสิ่น มีบุตรสาววัยเดียวกับหลิวเต้าเซียง ซึ่งก็คือคนที่เอาดอกไม้ไปขายในตำบล ชื่อหลี่ชุ่ยฮัว
“ป้าหลี่ นี่คือแผลที่ได้จากการผ่าฟืนแล้วไม่ทันระวังน่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าว่านะ เต้าเซียง บ้านเจ้ามีคนมากมาย ไม่เห็นต้องให้เจ้ามาออกแรงทำงานเช่นนี้ มีเวลาก็แวะเวียนไปบ้านป้า ชุ่ยฮัวของเราเอาแต่บ่นตลอดว่าหลายวันมานี้เจ้าไม่ไปเที่ยวเล่นหานาง”
ขณะพูดก็หยิบเอาไข่สุกอุ่นๆ หนึ่งฟองจากอ้อมอกมาไว้ในมือของเต้าเซียง แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “กินเถอะ กินอิ่มจะได้มีแรงเที่ยวเล่นในเมือง”
“ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ”
หลิวเต้าเซียงที่กำลังหิวนั้นรีบเอาใจ กระทั่งคำเรียกก็มีความสนิทสนมขึ้นไม่น้อย
—–