ตกกลางคืนหลิวเต้าเซียงบอกจางกุ้ยฮัวเรื่องที่พรุ่งนี้จะไปตลาด
จางกุ้ยฮัวรอจนนางนอนหลับไป เมื่อได้ยินเสียงหายใจที่มั่นคงจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเงียบๆ
“กุ้ยฮัว เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
หลิวซานกุ้ยเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ ตั้งแต่จางกุ้ยฮัวแต่งงานกับเขา เขาก็ตัดสินใจว่านางจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิต
จางกุ้ยฮัวหันไปด้านข้าง ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้นางมองเห็นเพียงร่างสีดําเท่านั้น ความอบอุ่นจากลมหายใจที่พ่นใส่หน้า และกลิ่นอายที่คุ้นเคยจนไม่บอกก็รู้ว่าเป็นกลิ่นของสามีตนเอง
“ท่านพี่เคยคิดไหมว่า ชิวเซียงกำลังจะครบสิบขวบหลังจากปีนี้”
“สิบขวบก็สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว” ทันทีที่หลิวซานกุ้ยคิดว่าบุตรสาวกำลังจะได้แต่งงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาก็รู้สึกทำใจไม่ได้
จางกุ้ยฮัวได้ไตร่ตรองถึงคําพูดของหลิวเต้าเซียง สุดท้ายแล้วก็คิดได้ว่าสิ่งที่บุตรสาวคนรองพูดมานั้นเป็นความจริง นางไม่อาจใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปได้
“แต่ครอบครัวของเรายากจน จนเราไม่สามารถควักเงินออกมาได้แม้แต่แดงเดียว” นางเอ่ยขึ้น
“หรือไม่อย่างนั้น ให้ชิวเซียงตามแม่ไปเรียนรู้งานปัก และเมื่อนางแต่งงานในอนาคต นางก็สามารถส่งเสริมครอบครัวได้” หลิวซานกุ้ยไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้สึกว่าวิธีนี้เป็นไปได้และมันก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมากนัก นอกจากนี้หลังจากที่หลิวชิวเซียงเรียนรู้ นางยังสามารถเลือกครอบครัวที่ดีกว่าได้อีกด้วย
แต่จางกุ้ยฮัวกลับรู้สึกเฉื่อยชาในใจและกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่มีทางตกลงแน่ ก่อนหน้านี้ตอนที่ชิวเซียงยังเด็ก นางสอนน้องเล็ก แต่หาได้เคยสอนชิวเซียงไม่”
ไม่เพียงแต่ชิวเซียงเท่านั้น แต่แม้แต่บุตรสาวของหลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ย นางก็ไม่เต็มใจที่จะสอน
หลิวซานกุ้ยฟังน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคงของนาง จึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ข้าจะคุยกับท่านแม่วันรุ่งขึ้น”
“ถ้านางไม่เห็นด้วย เจ้าจะทําอะไรได้ ข้าจางกุ้ยฮัวรู้ว่าครอบครัวของตนนั้นยากจน หลังจากแต่งงานกับครอบครัวของเจ้า ข้าไม่เคยบ่นแม้แต่ครึ่งคํา แม่บอกให้ข้าทําในสิ่งใด ข้าไม่เคยขัด ข้าอยู่ในบ้านเจ้ามาเก้าปีแล้ว เจ้าเห็นไหมว่าวันนี้สภาพความเป็นอยู่ของเราเป็นเช่นไร ลูกๆ แต่ละคนต้องหิวโซ เสื้อผ้าถูกเย็บและปะติดปะต่อสวมใส่เป็นเวลาสามปี พลิกด้านออกมาและเย็บใหม่เพื่อสวมใส่อีกเป็นเวลาสามปี แต่น้องเล็กเจ้า ไหนเลยจะเหมือนสาวชาวนา นิ้วทั้งสิบไม่เคยได้สัมผัสน้ำ ท่านพ่อท่านแม่เอ็นดูเพราะนางเป็นลูกคนสุดท้อง ข้าก็เข้าใจ เรื่องที่นางร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ข้ายอมรับได้ ทำงานมากกว่าหน่อย ขยันกว่าหน่อยไม่ทำให้คนตายได้ แต่เจ้าดูผ้าฝ้ายละเอียดที่นางสวมใส่สิ ทุกๆ ปีแม่ของเจ้าประเคนให้นางกี่ชุด ชุดแบบนี้ราคาสูงถึงหนึ่งร้อยอีแปะเป็นอย่างต่ำ ส่วนชิวเซียงกับเต้าเซียงเล่า? ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้สวมเสื้อใหม่เลยสักครา”
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ จางกุ้ยฮัวมีความสามารถเรื่องงานฝีมือ จัดการแกะเสื้อของหลิวซานกุ้ยแล้วมาเย็บเป็นชุดให้หลิวชิวเซียง ส่วนหลิวเต้าเซียงก็สวมตัวที่หลิวชิวเซียงใส่ไม่ได้ ส่วนตัวที่หลิวเต้าเซียงใส่ไม่ได้ ก็ปะเป็นรอยมากมาย เตรียมเก็บไว้ให้ชุนเซียงเจ้าแมวน้อยใส่ในอนาคต
หลิวซานกุ้ยถึงกับจุกอยู่ในอก เขาเองก็คิดอยากให้ภรรยาและลูกๆ ได้มีชีวิตที่ดี เพียงแต่นอกจากการทำนาใช้แรงงาน เขาเองก็หาได้มีความสามารถอื่นไม่
“แต่เงินครอบครัวเราอยู่ในมือของท่านแม่ แล้วไหนจะน้องสี่ที่ต้องร่ำเรียน แต่งงาน น้องเล็กก็ต้องออกเรือนอีก”
คํานี้ทําให้จางกุ้ยฮัวไม่พอใจ ในความคิดของนางมีเพียงคำพูดของหลิวเต้าเซียงที่วนเวียนอยู่ ตนเองก็แต่งเข้าบ้านนี้มาหลายปี แต่หลิวซานกุ้ยล้วนยกเรื่องความกตัญญูมาก่อนสิ่งอื่นใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยปฏิเสธคำขอของหลิวฉีซื่อ
“หลิวซานกุ้ย ในใจเจ้ายังมีพวกข้าที่เป็นเมียและลูกๆ ของเจ้าอยู่บ้างหรือไม่?
ความไม่พอใจเมื่อสั่งสมมานานจนถึงระดับหนึ่งจึงถูกปลดปล่อยออกมา จางกุ้ยฮัวอดทนเป็นเวลาหลายปี ไม่ได้มีความคิดอื่นนอกจากการที่ตนเองขยันให้มาก เอาใจแม่สามี แล้วจะทำให้ลูกๆ ของตนนั้นอยู่ดีมีสุขกว่านี้
แต่ตอนนี้นางพบว่ามันผิด และมันผิดตั้งแต่แรกเริ่ม
หลิวฉีซื่อเป็นคนเห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยมมาก ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตนเองเพียงเพราะความขยันของบุตรชายและสะใภ้อย่างแน่นอน ตรงกันข้าม นางเห็นว่าทุกอย่างที่หลิวซานกุ้ยทำเป็นเรื่องถูกต้อง และสมควรใช้เป็นแรงงาน
“เจ้ากําลังพูดถึงอะไร เหตุใดข้าจะไม่ให้ความสําคัญกับพวกเจ้า เจ้ากับเต้าเซียงได้รับความลำบาก ข้าก็ไปอ้อนวอนขอข้าวสารกับท่านแม่ไม่ใช่หรือ?”
“ฮึ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เจ้ากับข้าลำบากเพื่อบ้านหลังนี้มาหลายปีเช่นนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ? หากเปลี่ยนเป็นไปทำงานกับบ้านคนรวย เราคงเลี้ยงดูลูกๆ เราได้ดีกว่านี้”
“อย่าพูดเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือ แม่ของเราไม่ชอบพวกเศรษฐีในเมืองยิ่งนัก บอกว่าพวกเขาไม่เคยเห็นความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่แบบนั้นมาก่อน”
จางกุ้ยฮัวโกรธมาก จนนางยกกําปั้นขึ้นทุบเขาที่หน้าอกแล้วร้องไห้ “แล้วเจ้าบอกมาสิว่าจะทําเยี่ยงไร แม้เราจะทํางานหนักเพื่อครอบครัวนี้ตลอดชีวิต ก็อย่าหวังว่าจะสามารถจัดสินสอดทองหมั้นดีๆ ให้ชิวเซียงและน้องสาวได้เลย หรือว่าเจ้าอยากให้ลูกสาวเราต้องมาทนทุกข์ใช้ชีวิตตรากตรำเหมือนกับเราทั้งคู่”
ถ้าตอนนั้นนางมีสินสอดทองหมั้นมากพอ ก็คงจะยืดอกภูมิใจเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่สามีและพี่สะใภ้ทั้งสองได้มากกว่านี้
นางคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วและไม่ต้องการให้ลูกๆ ต้องมาเผชิญกับเรื่องเลวร้ายเช่นเดียวกับตนเจอ
“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ารู้สึกเช่นไร แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่มีทางเห็นด้วยกับการแยกบ้านหรอก” หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าในปากของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น และความขมนั้นรุนแรงกว่าหวงเหลียน [1] ถึงสามเท่า
“งั้นเจ้าบอกมาสิ เหตุใดพี่ใหญ่กับพี่รองจึงมีชีวิตที่อยู่ดีกินดีได้ปานนั้น? ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่พวกเขาหามา เหตุใดจึงไม่เคยส่งกลับมาที่บ้าน? ไม่เพียงเท่านั้น พี่ใหญ่ยังส่งคนมาเอาข้าวสารในบ้านกลับไปถึงหนึ่งคันรถ หรือว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูลูกเมียได้เลยหรือ? แล้วยังพี่รองอีก ส่วนเงินที่ส่งเสียน้องสี่ร่ำเรียน มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ได้มาจากการทำนา? พี่รองเคยออกแม้แต่แดงเดียวหรือไม่?
“พี่ใหญ่และพี่รองก็ให้ของขวัญกับท่านพ่อท่านแม่ทุกวันปีใหม่ไม่ใช่หรือ?” หลิวซานกุ้ยไม่รู้ว่าเหตุใดครั้งนี้จางกุ้ยฮัวถึงได้โมโหนัก
จางกุ้ยฮัวก่นด่าอย่างโกรธแค้นว่า “ไร้สาระ ของที่มอบให้ก็เป็นของที่พวกเขาเองยังไม่เหลียวแล มีเพียงแค่ท่านพ่อท่านแม่ที่มองเห็นว่ามันล้ำค่า อีกอย่าง ที่นาเหล่านี้ก็ล้วนเป็นข้ากับเจ้าที่เฝ้าดูแลจนงอกเงย แล้วเพราะเหตุใด ไยลูกสาวเราจึงไม่ได้กินดีอยู่ดี”
คําพูดก่อนหน้านี้ของหลิวเต้าเซียงปลุกให้จางกุ้ยฮัวมีสติแจ่มแจ้ง แม้คนเป็นแม่จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ล้วนเป็นลูกเหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงมีแค่นางที่ลำบากแทบตายในบ้านนี้ แต่ท้ายสุดแล้วตนเองกับลูกสาวกลับไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ออกแรงไป?
“พวกเขามีให้อันใดอีก นอกจากแบ่งผ้าสองผืนในแต่ละครั้งและส่งขนมสองห่อกลับมา น้องสี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอกลับมาก็เห็นแต่ขอเงินจากท่านพ่อท่านแม่”
หลิวซานกุ้ยเองก็ระอา ใครใช้ให้ตัวเขาเป็นคนไม่เอาไหน ให้กำเนิดแต่บุตรสาว แต่ก่อนเขาเคยไปถามหลิวฉีซื่อ แต่หลิวฉีซื่อกลอกตามองบนใส่ บอกว่าบุตรสาวน่ะมีแต่เป็นพวกล้างผลาญ ให้พวกนางได้เกิดมาใช้ชีวิตก็ถือว่าเมตตามากแล้ว ยังจะหวังให้ใช้เงินไปกับพวกนางอีกอย่างนั้นหรือ?
นางบอกหลิวซานกุ้ยว่า ที่ประหยัดเช่นนี้ก็ไม่สามารถนำติดตัวเข้าโลงศพได้ ต่อไปก็ต้องเก็บไว้ให้พวกเขาซึ่งเป็นพี่น้อง เก็บไว้ให้ลูกหลานตระกูลหลิว วันนี้ขยันหมั่นเพียรหน่อยก็เพื่อความสุขสบายของคนในตระกูล
แต่หลิวซานกุ้ยไม่มีคําพูดจะแย้ง ไม่ใช่สิ เขานั้นไร้ความสามารถที่จะแย้งหลิวฉีซื่อได้ต่างหาก
“เจ้าก็รู้ ข้าโตมากับท่านปู่ท่านย่า พ่อกับแม่จึงสนิทสนมใกล้ชิดกับพี่ใหญ่และพี่รองมากกว่า”
คําพูดของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจและความปรารถนาที่จะได้รับความรักจากบิดามารดา แต่หลิวฉีซื่อไม่เคยถือว่าเขาเป็นลูกชาย เพียงแต่เขาไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้ จึงได้แต่พยายามทำงาน หวังว่าหลิวฉีซื่อจะเห็นในสักวันว่าตัวเขาคือบุตรชายที่กตัญญูที่สุด
“เจ้าก้มหน้าก้มตากตัญญูมานานเพียงใดแล้ว? สิบปี ยี่สิบปี? น่าจะใกล้ถึงแล้วสินะ? แล้วเป็นเยี่ยงไร ท่านแม่เจ้าเคยเห็นว่าเจ้ากตัญญูหรือไม่? ท่านพ่อเคยเห็นว่าเจ้าเติบโตหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อไปหากลูกสาวเราสามารถหาเงินมาได้ หากเจ้ากล้าคิดจะแตะต้องเงินของพวกนาง ฮึ ข้าจะแยกทางกับเจ้า แล้วพาลูกสาวเรากลับบ้านแม่ แล้วอย่ามาบอกกับข้าว่าทำใจไม่ได้ เพราะหากเจ้าทำใจไม่ได้จริง คนทั้งครอบครัวท่านแม่ยังไม่เคยตักน้ำให้เท่ากันได้ ส่วนผู้ที่เป็นพ่ออย่างเจ้ากลับไม่เคยคิดเพื่อลูกสาวเรา แล้วพวกข้ายังจะคาดหวังอะไรจากเจ้าได้อีก? อย่าลืมเสียล่ะ เจ้าไม่เพียงแค่เป็นลูกชายของพ่อแม่เจ้า แต่เจ้ายังเป็นพ่อของลูกสาวเราด้วย พ่อแท้ๆ ของลูกสาวเรามีเพียงหนึ่งเดียว แต่ลูกชายของพวกเขาไม่ได้มีแค่เจ้าผู้เดียว”
จางกุ้ยฮัวเป็นกังวลอย่างมาก คำพูดเหล่านี้ออกมาด้วยความร้อนใจและได้เกริ่นเรื่องความคิดแยกทางออกมาเสร็จสรรพ หลังจากพูดจบนางเองแม้จะเสียใจ แต่พอคิดดู หลิวซานกุ้ยควรเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อเมียและลูกๆ ได้แล้ว และไม่ควรมองเพียงเรื่องที่เป็นคนกตัญญูรู้คุณจนละเลยสิ่งอื่น
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คำพูดที่พูดอย่างไม่คิดของหลิวเต้าเซียงกลับเป็นแรงผลักดันให้จางกุ้ยฮัวได้จริงๆ
“แยกทางกัน? กุ้ยฮัว เจ้าพูดอะไร อย่าได้คิดเช่นนั้น”
“ไม่แยกทางกัน แล้วจะทำเยี่ยงไรได้? รอให้เงินที่เด็กๆ เพียรพยายามหามาด้วยความยากลำบากต้องยกให้แม่เจ้า และให้นางเอาไปให้น้องเล็ก และอาเล็กซื้อเสื้อผ้าสวมใส่ ซื้อของกินดีๆ อย่างนั้นหรือ? มีเหตุผลอันใด? นี่คือเงินที่ลูกสาวเราหามาได้”
อย่าเห็นว่าปกติที่จางกุ้ยฮัวไม่กล้าปริปากบ่นแล้วจะไม่คิดอะไร อันที่จริงในใจนางก็มีความคิดบางอย่าง เพียงแต่หลายปีมานี้นางถูกหลิวฉีซื่อกดขี่อยู่ตลอด บวกกับตนเองยังไม่สามารถยืดอกผายไหล่ผึ่งได้เต็มที่ จึงได้แต่อดทนไม่ปริปากบ่น แต่ท่าทีของหลิวเต้าเซียงในช่วงนี้ช่างออกนอกกรอบเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยโหมไฟในใจให้ลุกโชนขึ้น
ยิ่งช่วงสองวันนี้หลิวฉีซื่อใช้งานหลิวเต้าเซียงจนหัวหมุน ส่วนหลิวเสี่ยวหลันถ้าไม่ใช่ทำงานเย็บปักถักร้อยก็ออกไปเที่ยวเล่น ยิ่งทำให้ทุกอย่างประจักษ์อยู่ในสายตาของจางกุ้ยฮัว
เมื่อเห็นหลิวซานกุ้ยเงียบไม่พูดไม่จา จึงเอ่ยต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าลองมองดูสิ ว่าที่แห่งนี้เหมือนเป็นบ้านเราเสียที่ไหน? มีลูกสาวบ้านใดที่ไม่ควักเงินซื้อเครื่องประดับให้ตนเองบ้าง? หากเจ้ากล้าคิดแตะต้องเงินของลูกสาวเรา ข้าจะไม่พูดอะไรอีก และจะไปยื่นเรื่องหย่าที่ศาล พาลูกกลับบ้านแม่ จะได้ไม่ต้องเปลืองข้าวของตระกูลหลิวจนเป็นหนี้บุญคุณใหญ่หลวงอีกต่อไป”
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจางกุ้ยฮัวกับหลิวฉีซื่อนั้นอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานับสิบปี นางจึงมองออกถึงนิสัยจอมปลอมของหลิวฉีซื่อมานานแล้ว
“เจ้าอย่าโกรธไปเลย เรามีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ ข้าจะไม่มีทางแยกทางกับเจ้า เจ้าอย่าเพิ่งคิดเรื่องหย่า เงินที่ลูกสาวเราหามาได้ ข้าจะทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ได้ เจ้าอย่าพูดออกมาและอย่าให้ท่านแม่เห็นก็พอ”
เขาไม่เข้าใจว่าช่วงกลางวันภรรยาของตนก็ยังดีๆ อยู่ แต่เหตุใดตกกลางคืนนางถึงเกิดความคิดมุทะลุเช่นนี้ แถมวันนี้เขาก็ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน อ่อนล้าเต็มที จึงปลอบโยนจางกุ้ยฮัวไม่กี่คำ จากนั้นก็ส่งเสียงกรนออกมา
จางกุ้ยฮัวมองเขาจากด้านข้างพลางถอนหายใจ นางพลิกตัวกลับไปและยกผ้านวมที่แข็งหยาบและดำคล้ำด้านล่างขึ้นมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปสัมผัสฟางใต้ผ้าห่มสักพัก และในที่สุดก็หยิบถุงเล็กๆ ห่อด้วยใบบัวซึ่งเป็นน้ำตาลแดงที่หลิวเต้าเซียงแอบซื้อมาจากเมืองในวันนั้น
น้ำตาลแดงเป็นส่วนเสริมบำรุงสําหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย กําจัดสิ่งไม่ดี ช่วยให้มีน้ำนม แต่เรื่องเหล่านี้หลิวเต้าเซียงไม่มีทางบอกจางกุ้ยฮัวได้ตรงๆ จึงอ้างว่ามีป้าตรงปากทางหมู่บ้านเป็นคนบอกกล่าวมา
จางกุ้ยฮัวดื่มน้ำตาลแดงอย่างเงียบๆ เป็นเวลาสองวันติดต่อกัน รู้สึกว่าสภาพจิตใจและสติสัมปชัญญะดีขึ้นไม่น้อย อีกทั้งเลือดที่ขับออกมาก็ไหลลื่นมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ ในที่สุดบุตรสาวคนที่สามก็ได้มีน้ำนมดื่มเสียที
——
เชิงอรรถ
[1] หวงเหลียน หรืออึ่งโน้ย ในสำเนียงจีนแต้จิ๋ว เป็นสมุนไพรจีน มีคุณสมบัติ รสขม ฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจ ลำไส้ใหญ่ ตับ กระเพาะอาหาร (ถุงน้ำดี, ม้าม)