เหตุใดจึงไม่ถามเป้าหมายของนางบ้าง? นางอยากให้หลิวชิวเซียงกับหลิวชุนเซียงถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นคุณนายเศรษฐีผู้สูงส่ง ใช้ชีวิตที่เพียงยื่นมือมาก็มีคนช่วยสวมใส่เสื้อผ้าให้ พอจะอ้าปากก็มีคนป้อนข้าว เรียกเด็กรับใช้ปุ๊บก็มาปั๊บ ไม่ใช่การขายตนเองเพื่อไปเป็นเด็กรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่น
พูดตามตรงก็คือ หลิวเต้าเซียงอยากจะกลายเป็นเศรษฐีที่มีเด็กรับใช้ ส่วนหลิวชิวเซียงยังคงคิดจะเป็นเด็กรับใช้เพื่อเลี้ยงดูน้องๆ
“พี่ใหญ่ ความคิดของพี่ก็ดี แต่เราไม่ได้รีบร้อน ฮ่าๆ น้องสามยังเด็กอยู่ แม้ว่าการไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิจะจบลงแล้ว แต่แม่ก็ยังต้องให้นมน้องสาวตัวน้อย แต่ต้องช่วยเราทําสิ่งต่างๆ ด้วย ข้าเลี้ยงเด็กไม่เป็น ต้องพึ่งพาพี่ อีกอย่างข้าอายุยังน้อย แอบออกไปไหนย่าก็ยังไม่สงสัย หากพี่ไปทำงานที่บ้านอื่น เงินจะมีทางตกถึงมือท่านแม่อย่างนั้นหรือ?”
หลิวฉีซื่อผู้กวาดทุกสิ่งที่ดีงามไปหมด คงไม่มีทางเหลือไว้แม้แต่แดงเดียวแน่ ถึงตอนนั้น เหอะๆ ตระกูลนี้ก็มีแค่คนที่หาเงินเพิ่มมาหนึ่งคน แถมยังเป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋าของหลิวฉีซื่ออย่างเสียแรงเปล่า
หลิวชิวเซียงยักไหล่น้อยๆ เหตุใดนางถึงคิดได้แค่นี้นะ
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ย “ย่าก็มีนิสัยเช่นนั้น”
หลิวเต้าเซียงเบ้ปาก นั่นไม่ใช่นิสัย?!
“พี่ใหญ่ ที่จริงข้าอยากปล่อยให้ครอบครัวของเรา ไม่ใช่สิ ข้าอยากทําให้ชีวิตของเราในบ้านนี้ดีขึ้น มันก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง” นางกำลังคิดว่าไหนๆ หลิวชิวเซียงก็พูดขึ้นมาแล้วจึงใช้โอกาสนี้เสียหน่อย
“น้องรอง เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือ” หลิวชิวเซียงเบิกตากลมโตเป็นประกาย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่นางรู้สึกว่าการฟังคำของน้องรองจะมีเนื้อให้กิน ยิ่งฟังมากขึ้นก็มีข้าวกิน พอเชื่อฟังน้องรองก็มีเงินใช้ ฟังคำน้องรอง…
หลิวเต้าเซียงมองไปรอบๆ ทั้งสองยืนอยู่ถัดจากสวนผักซึ่งเป็นพื้นที่ว่างระหว่างบ้านเรือนสองหลัง นางแอบหยิบห่อใบบัวที่ห่อพุทราจีนออกมา เปิดออกแล้วหยิบพุทราจีนหลายเม็ดยื่นให้หลิวชิวเซียง “พี่ใหญ่ พี่ลองชิมรสชาติพุทราจีนดู”
“น้องรอง เราแบ่งกินคนละเม็ดเถอะ ที่เหลือเก็บไว้ให้ท่านแม่ต้มน้ำตาลแดงดื่ม” หลิวชิวเซียงผลักมือของหลิวเต้าเซียงออกอย่างเสียดาย เพียงแค่หยิบหนึ่งเม็ดขึ้นจากมือของนางแล้วแลบลิ้นออกมาเลียก็พบว่าไม่มีรสชาติ พลันขมวดคิ้ว “ว่ากันว่าพุทราจีนหวานมากไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงดูแล้วอัดอั้น เด็กคนนี้คงไม่เคยกินเลยสินะ!
“พี่ใหญ่ พี่ต้องเอาใส่ปากแล้วเคี้ยวมัน มันหวานและมีกลิ่นหอมมาก” พุทราไม่เพียงแค่รสชาติดี แต่ยังช่วยเรื่องบำรุงเลือด จริงอยู่ที่หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหากอยู่ภายใต้สายตาของหลิวฉีซื่อก็คงเคลื่อนไหวยาก แต่ถ้าจะให้แอบซ่อนพุทราจีนบ้าง ดื่มน้ำต้มน้ำตาลแดงบ้างก็ยังพอทำได้ อีกอย่างนางก็ไม่อยากเห็นพี่น้องตนเองโตมารูปร่างเล็กจ้อย กลายเป็นพวกแคระแกร็น
เมื่อถึงตอนนั้นหลิวชิวเซียงคงจะมีงานอดิเรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือ เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็คว้าพุทราจีนมาสักสองเม็ดแล้วเคี้ยวเล่น อันที่จริง สิ่งที่นางเคี้ยวไม่ใช่พุทราจีน หากแต่เป็นความหวัง ความกระตือรือร้นที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
หลิวเต้าเซียงหลับตาลงเพื่อลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ดีที่สุดในโลก แต่รู้สึกว่ามีบางอย่างถูกวางไว้ในฝ่ามือของตนเอง และเมื่อนางมองลงไปก็เห็นพุทราจีนหลายเม็ด
“น้องรอง รับไปสิ เจ้าก็กินด้วย” หลิวชิวเซียงต้องการยกพุทราจีนในมือให้กับหลิวเต้าเซียง
“ข้าไม่กิน ตอนที่ข้าซื้อมันในเมืองก่อนหน้านี้ ด้วยความตะกละ ข้ากินไปไม่น้อย ถึงตอนนี้ยังรู้สึกว่าปากเลี่ยนอยู่เลย” หลิวเต้าเซียงห้ามปราม นางที่เกิดมาในยุคปัจจุบันย่อมไม่ได้อยากกินพุทราจีนใจจะขาด อันที่จริงนางอยากกินหม่าล่าเส้นมากกว่า
“พี่ใหญ่ ในอนาคตข้าจะรับผิดชอบเรื่องการแอบหาเงิน และพี่จะต้องรับผิดชอบในการดูแลน้องสามให้ดี และให้แม่ช่วยปิดบังให้เรา”
“ท่านแม่? แม่จะเห็นด้วยหรือ?” เมื่อนึกถึงใบหน้าของหลิวฉีซื่อ หลิวชิวเซียงก็ถึงกับไม่สบายใจ
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นตบหน้าอกเล็กๆ ของตัวเองดังตุบ “พี่ วางใจได้”
มนุษย์ตัวจิ๋วในหัวใจกำลังยิ้มชั่วร้าย มีนางที่คอยพูดจาเติมไฟอยู่เรื่อยๆ จางกุ้ยฮัวที่ซื่อตรงมาตลอดจะไม่ถูกกล่อมจนเอนเอียงได้หรือ
อารมณ์ของหลิวชิวเซียงในวันนี้ช่างผ่อนคลาย ในปากก็เคี้ยวพุทราจีนที่รู้สึกว่าอร่อยที่สุดในปฐพี รองเท้าผ้าที่ขาดก็มิอาจหยุดยั้งความสุขของนางได้
อารมณ์ของหลิวเต้าเซียงผ่อนคลายมากเช่นกัน มาถึงราชวงศ์โจวได้ราวครึ่งเดือน ความอัดอั้นในใจตลอดมานั้นในที่สุดก็ได้เห็นแสงรำไรของชีวิตขึ้นมาบ้าง
ไม่ว่าครอบครัวนี้จะแยกออกมาเมื่อใด นางจะต้องทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดี มีความสดใส ต้องไม่ใช่ผักในช่วงเดือนแปดที่ห่อเหี่ยวน่าสลด
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าบ้านก็ทําความสะอาดตัวเองให้เรียบร้อย ไม่ให้เหลือร่องรอยไว้ เพราะจมูกของหลิวฉีซื่อนั้นดมกลิ่นได้ดีกว่าสุนัขเสียอีก
“เจ้าเด็กเหลือขอสองคน ไปตายที่ไหนมา ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามา แต่ละคนล้วนขี้คร้านตัวเป็นขน ยังไม่รีบไสหัวมานี่อีก”
ที่แท้เป็นเพราะหลิวฉีซื่อไม่ได้เห็นหลิวเต้าเซียงตั้งแต่เช้า นึกว่านางไปเที่ยวเล่น อีกทั้งรู้อยู่แล้วว่านางมีนิสัยเสเพล ไม่เชื่อฟัง นางจึงคิดว่าไม่อาจให้หลิวเต้าเซียงพาหลิวชิวเซียงเสียคนไปด้วยอีก แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่หันกลับเข้าห้องไปหยิบด้ายกับเข็ม หลิวชิวเซียงก็แอบหนีออกจากบ้านไปแล้ว
หลิวฉีซื่อที่โมโหจึงเรียกหลิวซุนซื่อให้มาทำกับข้าวเที่ยง ส่วนตนเองก็เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู รอเจ้าเด็กสองคนนี้กลับมาแล้วจัดการลงโทษอย่างหนัก
“โอ๊ย!” หลิวชิวเซียงที่จูงมือน้องรองไว้ทางด้านซ้าย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่หลังมือ เมื่อก้มมองจึงเห็นว่าหลิวฉีซื่อที่โหดร้ายใช้เข็มที่ถืออยู่ทิ่มลงไปบนหลังมือของนาง
หลิวเต้าเซียงรู้ตัวก็รีบดึงตัวหลิวชิวเซียงให้ถอยหลัง แล้วปะทะกับสายตาเยือกเย็นดุจงูพิษที่เพิ่งออกมาในฤดูร้อน นี่ต้องมีความแค้นมากมายเพียงใดถึงกล้าลงมือเช่นนี้กับเด็กสาวตัวเล็กๆ?
“ย่า ทำอะไรน่ะ? เหตุใดย่าถึงโหดร้ายเช่นนี้ พ่อข้าไม่ใช่ลูกท่านหรือ?”
หลิวฉีซื่อจ้องมองนางอย่างโหดเหี้ยม เงื้อมือขึ้นกำลังจะฟาดลงมาทางพวกนาง
“มาออกันอยู่ตรงประตูทำอะไรกัน!” หลิวต้าฟู่กับหลิวซานกุ้ยทำนาเสร็จแล้วกลับมาช่วงเที่ยงพอดี เห็นหลิวฉีซื่อกำลังจะตีเด็กสองคนนี้ ไม่รู้ด้วยเรื่องอันใด
หลิวเต้าเซียงมีไหวพริบจึงรีบร้องไห้ออกมา พร้อมกับแอบหยิกตนเองหนึ่งที เพื่อบีบให้มีน้ำตาออกมาสองหยด
“ปู่จ๋า พ่อจ๋า ข้ากับพี่สาวเพิ่งจะไปหาเห็ดมาบนหลังเขา ปรากฏว่าหาไม่เจอจึงได้แต่มือเปล่ากลับมา ใครจะรู้ว่าพอเข้าบ้าน ย่าก็ใช้เข็มทิ่มแทงพี่สาวโดยไม่พูดอะไร พวกท่านดูสิ หลังมือของพี่ใหญ่มีเลือดซึมออกมาด้วย”
ขณะพูด นางก็ยื่นมือของหลิวชิวเซียงออกมาต่อหน้าคนทั้งสองเพื่อเป็นหลักฐาน แล้วเอ่ยเสริมอีกว่า “ปู่จ๋า พวกเราไม่ได้โดนของคุณไสยเสียหน่อย? ไยย่าจึงไม่พูดอะไรก็เอาเข็มทิ่มแทงได้ ปู่ ท่านว่าพวกเรายังใช่ลูกหลานของย่าอยู่หรือไม่?”
หลิวต้าฟู่เห็นหยดเลือดบนหลังมือของหลิวชิวเซียงก็นึกสงสารจับใจ และได้ยินคำพูดที่มีเหตุผลของหลิวเต้าเซียง แต่จะให้เขาตอบเยี่ยงไรดี? อันที่จริงนางก็แค่เด็กที่ซื่อตรง พูดอะไรโดยไม่ได้คิด!
“นางตัวดี มาพล่ามอะไรแถวนี้ เจ้าน่ะสิโดนของ” เมื่อเผชิญกับการด่าทอของหลิวฉีซื่อ หลิวเต้าเซียงยังคงหน้าด้านยืนมองอยู่ตรงนั้น ใช้สายตาบ่งบอกว่าต่อให้หลิวฉีซื่อต่อว่าอย่างไร นางก็ไม่ได้ถูกกดดัน
หลิวต้าฟู่ขมวดคิ้วและขัดจังหวะคําพูดของหลิวฉีซื่อว่า “หรุ่ยเอ๋อร์ พวกข้าเหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว เข้าไปจัดโต๊ะทานอาหารกันเถอะ”
“หรุ่ยเอ๋อร์” อีกแล้ว ทุกครั้งที่ได้ยิน หลิวเต้าเซียงแทบอยากจะอาเจียนสักที
หลิวฉีซื่อส่งเสียงฮืมในลำคอ แล้วสะบัดมือเดินไปทางห้องครัว
แน่นอนว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้คาดหวังว่าหลิวต้าฟู่จะรักและเอ็นดูพวกนางได้เช่นเดียวกับปู่ในโลกยุคปัจจุบัน อืม แต่ก็พอจะเห็นอยู่บ้าง เขาถือจอบเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วเอ่ย “ชิวเซียง ตกกลางคืนให้ย่าเจ้าเอาไข่ออกมาผัดกินกัน ตอนนี้เป็นช่วงดำนาฤดูใบไม้ผลิ ใช้แรงงานถ้ากินไม่อิ่ม เดี๋ยวจะไม่มีแรงทำงาน”
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วน้ำตาคลอเบ้า นางคิดถึงปู่ในยุคปัจจุบันอย่างมาก
หลังอาหารกลางวัน สองพี่น้องประพฤติตัวเรียบร้อยมาก เก็บจานและตะเกียบ พร้อมกับกวาดพื้น ถึงอย่างไรในสายตาของหลิวต้าฟู่กับหลิวซานกุ้ย ผู้หญิงในบ้านนี้ ก็มีนางสองคนที่ขยันมากที่สุด
หลิวต้าฟู่ที่ปกติมักจะไม่พูดก็พยักหน้าอย่างพอใจ…แต่ก็แค่พยักหน้า
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงทํางานบ้านเสร็จแล้ว ก็อาศัยจังหวะที่ผู้ใหญ่ไม่เห็น มุดเข้าไปในเรือนหญ้าฟางด้านหลังบ้านแล้วปิดประตูไว้ จากนั้นค่อยหายตัวเข้าไปในห้วงมิติ
“เฮ้อ เจ้าคนไม่เอาไหน ยังไม่รีบเข้ามาให้เร็วอีก ดูสิ ผ่านไปจนเที่ยงแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าหนึ่งวันหนึ่งคืน เทียบเท่ากับสิบวัน ยุ่งครู่เดียวก็เสียเวลาไปหลายวันเลย”
เมื่อเผชิญกับหลิวเต้าเซียงที่ ‘คำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน’ ศูนย์ศูนย์เจ็ดถึงกับพูดไม่ออก
นางเปิดคลังเก็บของแล้วรีบปลุกลูกไก่สามตัวที่หลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้น ลูกไก่ที่เมื่อครู่นอนเหมือนเป็นศพ เมื่อถูกวางไว้ที่เขตเพาะเลี้ยงก็ฟืนคืนชีพอย่างเต็มที่
ภารกิจหลักของหลิวเต้าเซียงคือการให้อาหาร ใส่ใจกับถังน้ำดื่มเพื่อให้มีน้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา และทําความสะอาดมูลไก่ รวมถึงหมั่นสังเกตว่าไก่จะป่วยหรือไม่
ลูกไก่เพิ่งฟักออกจากเปลือกมาได้ไม่กี่วันและโปรดิวเซอร์ให้อาหารที่เป็นแป้งข้าวโพดมา หลังจากนั้นประมาณสิบวัน นั่นคือหนึ่งวันหนึ่งคืนของโลกด้านนอก นางจะต้องเข้ามาเปลี่ยนให้เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่ง
เมื่อมองดูไก่ทั้งสามตัวนี้วิ่งไปทั่ว ดวงตาของหลิวเต้าเซียงก็มีเงินทองแดงสั่นไหวอยู่กลางอากาศ
“สัตว์ปีศาจตัวน้อย” ทันทีที่หลิวเต้าเซียงอ้าปาก ศูนย์ศูนย์เจ็ดก็พูดทันทีว่า “โฮสต์ครับ ได้โปรดเรียกกระผมว่าสัตว์ปีศาจ!”
“รู้แล้วน่า ฉันทำแค่นี้ก็พอแล้วใช่ไหม?” ตอนนี้นางเติมน้ำให้เต็มถังน้ำดื่ม และเติมอาหารให้เต็มเช่นกัน
“จะให้พวกลูกไก่ทั้งหลายอดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายเอา ทุกครึ่งวัน จำไว้ว่าต้องเข้ามาเติมน้ำหนึ่งครั้ง และเติมอาหารอีกหนึ่งรอบ”
หลิวเต้าเซียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรนางก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร ครึ่งวันเข้ามาหนึ่งรอบก็น่าจะได้
“แต่ว่า ต่อไปหากเลี้ยงเยอะขึ้น คุณคงอู้งานไม่ได้แล้วนะครับ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดย้ำเตือนอีกครั้ง
“ช่างมันเถอะ นั่นเป็นเรื่องอีกตั้งหนึ่งปีให้หลัง”
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองถั่วงอกเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง นายคงไม่ได้กำลังเล่นเกมถามเองตอบเองใช่ไหม?
หากมีลู่ทางก็เป็นเรื่องที่ดี
เมื่อหลิวเต้าเซียงออกมาจากกระท่อม มุมปากของนางแทบจะฉีกถึงใบหู
แม้แต่หลิวฉีซื่อเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติของนาง เริ่มจากใช้สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูให้แน่ใจว่านางไม่ได้ผีเข้า จากนั้นก็ดึงเอาความน่าเกรงขามของตนเองออกมาใช้อีกครั้ง
“ชิวเซียง ไปต้มอาหารหมู เต้าเซียง มาก่อไฟเดี๋ยวนี้”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าหลิวต้าฟู่ได้พาหลิวซานกุ้ยออกไปที่นาแล้ว จึงกล้าจิกหัวใช้สองพี่น้องตามเดิม
หลิวเต้าเซียงกําลังคิดจะหลบไป แต่ก็พบว่าหลิวฉีซื่อถือวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ
แม่ไก่ตัวใหญ่ นางจำได้ว่าแม่ไก่ตัวนี้เป็นตัวที่หลิวฉีซื่อเลี้ยงไว้นานที่สุด น่าจะสามปีกว่า เพราะว่าเป็นแม่ไก่แก่ หลิวฉีซื่อจึงยังทำใจกินไม่ได้ วันนี้พระอาทิตย์คงขึ้นจากทิศตะวันตกหรือ?
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือนางสามารถแอบตักมาสักชามเพื่อให้แม่ของตนกิน
ดังนั้นในตอนที่หลิวฉีซื่อกำลังตกตะลึง หลิวเต้าเซียงก็เดินมาด้วยท่าทีมีความสุข ยิ้มแย้มแล้วเอ่ย “ย่า ข้าจะไปก่อไฟ ย่า นั่งก่อน เดี๋ยวข้าตักน้ำให้เอง”
ไก่ตัวใหญ่มาก น่าจะต้มน้ำแกงได้เยอะ นางตั้งใจว่าจะรอให้น้ำแกงเดือดได้ที่แล้วรีบตักไปให้แม่ จากนั้นค่อยเติมน้ำแล้วต้มต่อ อืม วิธีขโมยพระอาทิตย์นี้ใช้ได้ไม่เลว
——