บทที่ 94 มู่ซือเจียวกลับมาที่หมู่บ้าน
บทที่ 94 มู่ซือเจียวกลับมาที่หมู่บ้าน
ปั้ก! ปั้ก! ปั้กปั้กปั้กปั้ก!
ค้อนไม้ถูกทุบลงไปบนผ้าจนน้ำสาดกระเซ็น น้ำข้าง ๆ เจือไปด้วยฟองที่หลงเหลือจากสบู่ซักล้างจำนวนมาก
“แม่ฉาวอวี่ เจ้าก็มาซักผ้าหรือ?”
หญิงออกเรือนแล้วคนหนึ่งวางถังลงข้างนางพลางนั่งยอง ๆ ห่างจากนางไม่กี่ก้าว
“ใช่แล้ว! อาถัง” มู่ซืออวี่ปาดเหงื่อแล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ารู้จักข้ารึ?” ถังซื่อประหลาดใจ
“คราวก่อนพี่ต้าจู้แต่งภรรยา อาถังก็ไปช่วยไม่ใช่หรือ? ท่านมือไม้คล่องแคล่ว ทำสิ่งใดก็รวดเร็ว ข้ายังมองแล้วมองอีก อยากจะครูพักลักจำมาสักหน่อย”
มู่ซืออวี่พูดอย่างมีอารมณ์ขัน ทำเอาถังซื่อหัวเราะคิกคักออกมา
สะใภ้คนอื่น ๆ เห็นบรรยากาศอันกลมเกลียวนี้ก็ทยอยเข้ามาร่วมด้วยคนแล้วคนเล่า
หากมู่ซืออวี่อยากผูกมิตรกับผู้ใด ย่อมมีวิธีเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากคนอื่น ๆ ถึงจะพบกันแค่ตอนซักเสื้อผ้าเท่านั้น ความประทับของคนอื่นที่มีต่อนางก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“เมื่อครู่ข้าผ่านบ้านของย่าเจ้า เห็นมู่ซือเจียวกลับมาแล้ว ทั้งยังมีรถม้ามาส่งเสียดิบดี โอ้โฮ ท่าทางโอ้อวดเชียวล่ะ คนไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นบุตรสาวจากสกุลผู้ดีสกุลไหนซะอีก”
“งั้นรึ นางอยู่ในสกุลหลี่คงมีชีวิตที่ดี” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ
“สาวน้อยคนนั้นเดิมทีก็หน้าตาสะสวย ก่อนหน้านี้ก็มีคนไม่น้อยมาทาบทามสู่ขอ แต่ท่านป้าเจียงคนนั้นก็ไม่ดีคนนี้ก็ไม่ชอบ ตั้งตารอให้นางปีนป่ายขึ้นสู่กิ่งไม้สูงใหญ่ ตอนนี้ดูแล้วยังพอมีโอกาส”
“แม่ฉาวอวี่ น้ำหนักเจ้าลดลงตั้งมาก สวยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”
“อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ทันได้สังเกตเลย” มู่ซืออวี่ ‘แสร้ง’ ทำเป็นถ่อมตัว
ไม่ได้สังเกต? แล้วที่วิ่งครึ่งชั่วโมงในตอนเช้าตรู่ทุกวี่ทุกวันคือฆ่าเวลางั้นรึ? ถ้าทำขนาดนี้แล้วยังไม่ผอม เช่นนั้นก็ควรร้องไห้แล้ว!
“ได้ยินมู่ซือเจียวพูดบ่อย ๆ ว่าสกุลหลี่ร่ำรวย ท่านรู้หรือไม่ว่าสกุลหลี่เป็นเช่นไร? ทุกเมื่อเชื่อวันข้าอยู่แต่ในหมู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก” มู่ซืออวี่เปลี่ยนเรื่อง
“สกุลหลี่น่ะหรือ…”
ครั้นซักผ้าเสร็จแล้ว มู่ซืออวี่ก็โบกมือลาทุกคน ก่อนจะกลับบ้านไปตากเสื้อผ้า
ทว่ายังไม่ถึงบ้าน ด้านหน้าก็มีแม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามา แม่นางน้อยคนนั้นมองเห็นนางก็ร้องเรียกตั้งแต่ไกล “อาสะใภ้มู่ อวิ๋นเอ๋อร์ถูกรังแกแล้ว!”
“เอ้อร์หนิว พูดให้ชัด ๆ ใครรังแกอวิ๋นเอ๋อร์?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
“มู่ซือเจียว” เอ้อร์หนิวชี้ไปข้างหน้า “อวิ๋นเอ๋อร์กับข้าไปเก็บไข่ไก่ป่าตรงตีนเขา กำลังจะกลับบ้านแต่พบมู่ซือเจียวระหว่างทาง นางยืนกรานว่าอวิ๋นเอ๋อร์ทำให้เสื้อผ้าของนางเปื้อน”
“นังมู่ซือเจียวคนนี้ เพิ่งกลับมาก็สร้างปัญหาให้มารดาผู้นี้แล้ว ข้าดูรังแกง่ายหรืออย่างไร”
มู่ซืออวี่โมโห วางถังผ้าลงบนพื้น มือก็ถกแขนเสื้อขึ้นบึ่งไปทางที่เอ้อร์หนิวบอก
เอ้อร์หนิวมองถังไม้บนพื้น แล้วมองเงาร่างของมู่ซืออวี่อีกครั้ง นางอยากจะย้ายมัน แต่กลับย้ายไม่ไหว ทำได้แค่ดึงถังไม้ไปซ่อนในพุ่มไม้ใกล้ ๆ อย่างทุลักทุเล จากนั้นจึงวิ่งกระหืดกระหอบตามไป
“ข้าไม่ได้ทำ! แม่ข้าพูดไว้แล้ว เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ท่านอย่ามาปรักปรำข้า!”
ลู่จื่ออวิ๋นถูกมู่ซือเจียวหยิกและกำลังพยายามหลบหลีก แต่นางยังเล็ก ส่วนมู่ซือเจียวเป็นผู้ใหญ่ เด็กน้อยจึงไม่มีทางหลบกรงเล็บพ้นตั้งแต่แรก
บนตัวของเด็กหญิงมีรอยหยิกมากมาย เจ็บจนทนไม่ไหว ทำแข็งใจไม่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา น้ำตากลับไหลพราก หากเป็นคนปกติก็คงจะต้องทำใจลงไม้ลงมือกับเด็กไร้เดียงสาเช่นนี้ไม่ลง
แต่คนอย่างมู่ซือเจียวจะเป็นคนปกติได้อย่างไร?
มู่ซือเจียวมองลู่จื่ออวิ๋นที่ยิ่งโตก็ยิ่งมีน้ำมีนวล ดวงตาของนางฉายแววริษยา
ใช่! นางอิจฉาเด็กคนนี้
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิด เพราะตอนนั้นลู่จื่ออวิ๋นผอมกะหร่อง ขี้กลัวหัวหด พูดจาละล่ำละลัก ทว่ากลับพบว่าเด็กคนนี้ยิ่งโตขึ้นยิ่งน่ามอง โดยเฉพาะรอยยิ้มในแววตาที่ซ่อนไว้ไม่มิด
ไม่ใช่ว่าอยากจะโตมาเป็นสตรีมีเสน่ห์เย้ายวนหรอกนะ?
“มู่ซือเจียว นังหญิงสารเลว!”
พลั่ก!
มู่ซือเจียวโดนเท้าหนัก ๆ ถีบออกไปหนึ่งที
“โอ๊ย!” มู่ซือเจียวได้ยินเพียงเสียงตะโกนสะท้อนมา ครั้นหันกลับมามองก็โดนถีบบั้นท้ายเข้าเต็ม ๆ จนล้มลงบนที่นาด้านข้าง
นางลุกขึ้นมา เขม่นตามองมู่ซืออวี่ที่กางแขนปกป้องลูกตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว
“นังอ้วนมู่…” ดวงตาของมู่ซือเจียวเบิกกว้าง “เหตุใดเจ้าถึงผอมลง?”
“มารดาคนนี้จะผอมลงหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า มู่ซือเจียว เหตุใดเจ้าไม่เป็นสตรีต่ำตมต่อไป ถ่อมารังแกลูกของข้าทำไม? เจ้าไม่ได้กลับมาเสียนาน ข้าแนะนำให้เจ้าไปสอบถามดู คนที่รังแกคนในบ้านข้าไม่นานมานี้มีสักกี่คนที่มีจุดจบที่ดี” มู่ซืออวี่นั่งลงพลางสำรวจร่างกายของลู่จื่ออวิ๋นอย่างเจ็บปวด “นางตีเจ้ารึ หรือหยิกเจ้า เจ็บตรงไหนบ้าง?”
“ท่านแม่ เจ็บเหลือเกิน นางหยิกตั้งหลายที่” ลู่จื่ออวิ๋นพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “อวิ๋นเอ๋อร์กับเอ้อร์หนิวกำลังจะกลับบ้าน อยู่ ๆ นางก็มาขวางทางเรา ยังจะมาเอาไข่ไก่ป่าของพวกเราไปอีก พวกเราไม่ให้ นางก็บอกว่าพวกเราทำเสื้อผ้าของนางเลอะ อวิ๋นเอ๋อร์ไม่เข้าใจ เสื้อผ้าของนางยังอยู่ดี ไร้รอยเปื้อน อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้แตะนางเลยนะ”
“เจ้าไม่ผิด คนที่ผิดเป็นนาง นางตาถั่ว เห็นไข่ไก่ของพวกเจ้าก็อยากขโมย กุเรื่องขึ้นมาโดยไร้เหตุผล แบบนี้เรียกว่า ‘อยากจะเล่นงานใครย่อมหาเหตุผลได้เสมอ’”
หลังจากที่นางพูดจบก็ลุกขึ้น หักข้อนิ้วมือดังกรอบแกรบ เดินถมึงทึงเข้าไปหามู่ซือเจียว
มู่ซือเจียวเพิ่งลุกขึ้นมาได้ ครั้นเห็นสีหน้าราวกับภูตผีก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ แทบอยากจะเผ่นไปเสียเดี๋ยวนั้น
แต่ยังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว มู่ซืออวี่ก็พุ่งเข้ามาชนจนล้มลงบนพื้น
“เสื้อผ้าสกปรกนักใช่ไหม?”
พลั่ก!
“เสื้อผ้าของข้า…”
“เสื้อผ้าที่เจ้าหวงแหนตอนนี้ก็สกปรกแล้ว!”
“มู่ซืออวี่ นังหญิงชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า โอ๊ย!”
“ปากช่างเหม็นโฉ่ซะจริง บ้วนด้วยโคลนเป็นอย่างไร? ทุกสิ่งใต้หล้านี้ล้วนมีพลังวิญญาณ เจ้ารับเอาพลังวิญญาณไปเสียบ้าง”
“แหวะ”
เอ้อร์หนิวปรี่เข้ามาก็พบเข้ากับฉากนี้ ดวงตาแทบจะถลนออกมา
ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาปริบ ๆ “ปกติแม่ข้าไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องกลัว แม่ข้าตีแต่คนไม่ดี!”
“อาสะใภ้มู่ช่างยอดเยี่ยม” เอ้อร์หนิวเอ่ยด้วยความนับถือ “ไม่แปลกใจว่าทำไมคนในหมู่บ้านล้วนกลัวนาง”
ลู่จื่ออวิ๋นเอียงหัวด้วยความสงสัย “แต่ท่านแม่ข้าอ่อนโยนมาก ไม่ดุข้าเลยแม้แต่น้อย”
เอ้อร์หนิวเมียงมองดูมู่ซืออวี่ที่ราวกับถูกผีร้ายเข้าสิง จากนั้นก็เหลียวมองลู่จื่ออวิ๋นที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าควรเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยิน
มู่ซือเจียวร้องไห้โฮออกมา
“ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นจากตัวมู่ซือเจียว ปัดเศษโคลนออกจากร่างกายแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เพิ่งจะซักผ้า ตอนนี้ยังต้องซักใหม่อีก”
ผมของมู่ซือเจียวถูกดึงทึ้งออกไปจำนวนมาก เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออก โคลนตมที่อยู่บนพื้นถูกยัดใส่ปาก และโคลนตมนั้นยังมีนาข้าวที่เพิ่งหว่านลงไปไม่นาน
“มู่ซือเจียว เจ้าได้ยินหรือไม่ บ้านพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับบ้านพวกเรา เจ้าอย่าได้มากวนพวกเรา ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะข่วนหน้าเจ้า ทำให้เจ้าเป็นอนุคนโปรดไม่ได้ไปชั่วชีวิต”
มู่ซือเจียวมองมู่ซืออวี่ที่ดึงเด็กน้อยสองคนกลับไปด้วยสายตาโกรธแค้น
นังบ้านั่น! ข้าจะไม่ปล่อยนางไปแน่
“เอ้อร์หนิว เจ้าฉลาดจริง ๆ” มู่ซืออวี่ย้ายถังไม้ออกมาจากพุ่มหญ้า “ต้องขอบใจเจ้าแล้ว”
เอ้อร์หนิวก้มหัวลงอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เมื่อครู่ต้องขอบใจเจ้า ไม่เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์จะต้องเสียเปรียบมากแน่” มู่ซืออวี่ชมเชย “วันนี้ไปกินข้าวที่บ้านเราเถอะ! ข้าอยากจะขอบคุณเจ้า”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ไม่ต้อง” เอ้อร์หนิวปฏิเสธทันที
“ไปเถอะ! เอ้อร์หนิว” ลู่จื่ออวิ๋นชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าอยากกินข้าวเย็นกับเจ้า”
“เช่นนั้น… ก็ได้ ขอบคุณเจ้าค่ะ”