บทที่ 127 ไม่ยอมให้นางแต่งงานกับคนเลว
บทที่ 127 ไม่ยอมให้นางแต่งงานกับคนเลว
ณ สวนหลังบ้าน มู่ซืออวี่ก้มลงถอนวัชพืชในแปลงผัก
นางทำงานมาเป็นเวลานานจนรู้สึกปวดหลัง ทว่ากลับยังคงไม่หยุดพักจนกระทั่งได้ยินเสียงของบุคคลหนึ่งร้องเรียก
“พี่สะใภ้อวี่ มีแขกมาหา”
จางโม่หลาน ลูกสะใภ้ของเหยาซื่อกล่าวทักทายนาง
จางโม่หลานถูกทำลายชื่อเสียงในวันแต่งงานจนทำให้เกิดเรื่องซุบซิบนินทามากมายในหมู่บ้าน นางรู้สึกหดหู่ใจและรู้สึกผิดมาตลอด แต่เมื่อเหยาซื่อบอกสิ่งที่มู่ซืออวี่เคยพูดไว้ อาการซึมเศร้าของนางก็จางหายไป ในที่สุดนางก็เลิกขังตัวเองไว้ในบ้าน
เหตุการณ์นี้ทำให้นางรู้สึกขอบคุณมู่ซืออวี่ ดังนั้นเมื่อมีใครก็ตามพูดจาให้ร้ายมู่ซืออวี่ นางก็จะโต้เถียงด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน เรียกได้ว่านางคลั่งไคล้มู่ซืออวี่มากทีเดียว
“อย่างนั้นหรือ ขอบใจมาก” มู่ซืออวี่ยืนขึ้นพลางเอื้อมมือไปตบหลังของอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้ากระท่อม
ต้าหนิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวแนะนำ แต่ชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่เอ่ยสิ่งใดเลย
“ท่านลุง ดื่มน้ำก่อนเถิด” ลู่จื่ออวิ๋นรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ชายวัยกลางคน
เมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเด็กหญิงตัวเล็ก ชายวัยกลางคนก็มองนาง ก่อนจะยกมือขึ้นรับไว้ด้วยความยากลำบากพลางกล่าวว่า “ขอบใจ”
“แม่ของข้าบอกเสมอว่าเราควรชงชาให้แขกผู้มาเยือน แต่ใบชาวางอยู่ในที่สูงเกินไป ข้าไม่อาจเอื้อมจับได้ถึง ดังนั้นจึงเอาน้ำมาให้ก่อน รอให้แม่ข้ากลับมา แล้วจะชงชามาให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
“อวิ๋นเอ๋อร์ แล้วลุงล่ะ?” ต้าหนิวจงใจแกล้งหยอกลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงคมชัด “ลุงต้าหนิว โปรดรอคอยอย่างอดทน ข้าจะนำน้ำมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอก ลุงเพียงล้อเจ้าเล่นก็เท่านั้น” ต้าหนิวหัวเราะ
เอี๊ยด…
เสียงผลักประตูดังขึ้นจากด้านนอก
มู่ซืออวี่เดินเข้ามาพร้อมตระกร้าหนึ่งใบที่แบกไว้บนหลัง
ต้าหนิวจึงเดินเข้าไปทักทายนาง “น้องสะใภ้อวี่ ข้าจะช่วยแบกเอง”
“ขอบคุณท่านมาก” มู่ซืออวี่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงาน เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยโคลน หลังจากวางตะกร้าลง นางก็จ้องมองไปยังชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้าม “นี่คือนายช่างที่พี่ต้าหนิวกล่าวถึงใช่หรือไม่?”
“ข้านามสกุลเหลียง เจ้าจะเรียกข้าว่านายช่างเหลียงก็ได้” นายช่างเหลียงกล่าวอย่างแผ่วเบา “ผู้ใดเป็นคนวาดแบบภาพหรือ?”
“ข้าวาดเอง” มู่ซืออวี่กล่าวขอโทษ “ข้าต้องขออภัย โปรดรอสักครู่ ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน”
ลู่จื่ออวิ๋นลากเก้าอี้มา “ท่านลุง นั่งลงก่อนเถิด”
ต้าหนิวลากเก้าอี้มานั่งด้วยตนเอง “ข้าหยอกเล่น ข้าขยับเก้าอี้เองได้”
ลู่จื่ออวิ๋นเผยรอยยิ้มก่อนจะอุ้มเสี่ยวเฮยเดินเข้าไปด้านใน
เสียงชื่นชมอันแสนหวานดังขึ้นจากด้านใน ลู่จื่ออวิ๋นอธิบายต่อผู้เป็นแม่ว่า นางไม่อาจนำใบชาลงมาได้ด้วยตนเอง จึงทำได้เพียงนำน้ำเปล่าไปให้แขกก่อน มู่ซืออวี่กล่าวชื่นชมลู่จื่ออวิ๋นว่าเก่งมาก พร้อมแนะนำให้ระมัดระวังในการต้มน้ำ
สีหน้าเคร่งเครียดแต่เดิมของนายช่างเหลียงผ่อนคลายลง
ช่างเป็นครอบครัวที่น่ารัก ดูเหมือนว่าลูกสาวของเจ้าบ้านจะได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะสอนให้ลูกสาวต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้ดีเช่นนี้
“นายช่าง ท่านคือผู้มีพระคุณของข้าและเอ้อร์หนิว ข้าไม่โกหกท่านแน่นอน น้องสะใภ้อวี่เป็นคนใจดี จิตใจกว้างขวางมากเลยล่ะ” ต้าหนิวกล่าว
นายช่างเหลียงพยักหน้า
มู่ซืออวี่นำโต๊ะเตี้ยมากาง วางถ้วยชาสองถ้วยลงตรงหน้าพวกเขา จากนั้นจึงวางของว่างซึ่งเป็นผลไม้แห้งและเมล็ดแตงโม
“ต้องขออภัยที่ปล่อยให้พวกท่านรอ” มู่ซืออวี่ขยับเก้าอี้เข้ามา “ข้าเพิ่งไปทำสวนมา เนื้อตัวจึงเต็มไปด้วยโคลน เกรงว่าพวกท่านอาจหัวเราะเยาะเอาได้”
“เราทุกคนก็ต่างเป็นชาวนา จะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไร?” นายช่างเหลียงกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าได้ยินจากต้าหนิวว่าฮูหยินต้องการสร้างบ้านใหม่ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” นางกล่าวว่า “นายช่างเห็นแบบภาพของข้าแล้วใช่หรือไม่? ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
“มีบางสิ่งที่ข้ายังคงไม่ค่อยเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจสิ่งใดหรือ?”
“คือว่า…” นายช่างเหลียงหยิบแบบภาพออกมา “ตรงนี้…”
มู่ซืออวี่อดทนรอฟังคำพูดของเขา
หลังจากนายช่างเหลียงกล่าวจบ นางจึงเอ่ยขึ้น “เพราะคำขอของข้ามีมากเกินไปจึงอาจเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับนายช่าง หากท่านมีคำถามใดก็จงถามข้า หากข้อตกลงของเราดำเนินต่อไม่ได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่เราได้พบและรู้จักกันในวันนี้”
“ความต้องการบางอย่างของเจ้าแปลกประหลาดมาก แต่ข้าก็เข้าใจทันทีหลังจากที่ได้ฟังจากปากเจ้า ดังนั้นข้ายินดีรับงานของเจ้า ว่าแต่เจ้าวางแผนจะใช้เงินเท่าไหร่ในการสร้างบ้านหลังนี้?”
“จากประสบการณ์ของท่าน ข้าสมควรเตรียมเงินไว้สักเท่าไหร่หรือ?”
“อย่างน้อย 80 ตำลึง” นายช่างเหลียงกล่าวพลางชูนิ้วขึ้นแปดนิ้ว
ต้าหนิวเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้มีครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านต้องการสร้างบ้าน แต่ไม่ได้จริงจังกับการหานายช่างที่มีประสบการณ์ เพียงว่าจ้างคนงานในหมู่บ้านและสร้างพอให้แล้วเสร็จ มุงหลังคาและปูพื้นกระเบื้องขนาดใหญ่สามหลัง จึงใช้เงินเพียงสิบตำลึงกว่าเท่านั้น แต่การสร้างบ้านตามแบบภาพนี้จำเป็นต้องใช้เงินหลายสิบตำลึง
“ใกล้เคียงกับที่ข้าคำนวณไว้ นอกจากสร้างบ้านใหม่แล้ว ข้ายังต้องการสร้างห้องใต้ดินและขุดบ่อน้ำ เกรงว่าอาจต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง แต่อย่ากังวลเลย ข้าหามาจ่ายให้นายช่างได้แน่นอน ท่านลงมือได้เลย”
เป็นเรื่องโชคดีที่หลังจากสร้างบ้านเสร็จ นางไม่จำเป็นต้องว่าจ้างนายช่างผู้ใดมาตกแต่งภายใน เพราะนางสามารถทำเองได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินไปได้มาก
นายช่างเหลียงและมู่ซืออวี่พูดคุยรายละเอียดกันต่อ จากนั้นก็ลงนามในสัญญาความร่วมมือซึ่งระบุว่า จะต้องมีการมัดจำเป็นเงินจำนวน 15 ตำลึงก่อน ส่วนที่เหลือจะชำระเมื่อส่งมอบบ้านแล้วเสร็จ มีการเขียนรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับข้อกำหนดของแบบบ้านและข้อกำหนดสำหรับวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง
“น้องเขย ออกมาดูหน่อยเถิด!” มู่ซืออวี่ตะโกนเข้าไปด้านใน
ลู่เซวียนกำลังหมกมุ่นอยู่กับงานเขียน หากเปรียบเทียบกับคนในยุคปัจจุบัน เขาเปรียบดังนักเขียนที่ไม่สามารถปลดปล่อยตนเองได้ เขาเขียนโครงเรื่องสำหรับตัวเอกอย่างบ้าคลั่งตลอดทั้งวัน เขาและมู่ซืออวี่พูดคุยกันเพียงวันละไม่กี่คำเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ ความรวดเร็วในการเขียนของเขาว่องไวยิ่งกว่าการพิมพ์ดีด หนังสือสองเล่มจึงถูกเขียนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ลู่เซวียนเดินออกมาพลางจ้องมองชายสองคนที่นั่งอยู่ในบ้านด้วยแววตาแดงก่ำ
ต้าหนิวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
“เขาเอาแต่เขียนหนังสือทั้งคืนน่ะสิ” มู่ซืออวี่ไม่รู้จะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับลู่เซวียนอย่างไร จึงทำได้เพียงใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้าง “น้องเขย มาช่วยข้าดูสัญญานี้หน่อยเถิด”
ลู่เซวียนหยิบหนังสือสัญญาขึ้นมาอ่านพลางกล่าวว่า “สัญญานี้ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าจะรับผิดชอบอย่างไรหากไม่ได้รับบ้านตามข้อกำหนดข้างต้น”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้สำคัญมาก” มู่ซืออวี่กล่าว “เราต้องเขียนลงไป”
หลังจากเพิ่มข้อตกลงแล้ว ทั้งสองก็ประทับรอยนิ้วมือลงบนสัญญา
หลังจากส่งนายช่างเหลียงกลับไป มู่ซืออวี่ก็เดินเข้ามาในบ้าน
ลู่เซวียนหยิบผลไม้แห้งใส่ปากพลางเอ่ยถาม “การก่อสร้างจะเริ่มต้นเมื่อใด?”
“พรุ่งนี้เขาจะพาคนงานมา”
“แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ใด?”
“เราจะหารือกันเรื่องนี้หลังจากที่พี่ชายของเจ้ากลับมา ที่บ้านแม่ข้ายังมีห้องว่างเหลืออยู่สองห้อง แม้จะแออัดและเบียดเสียดกัน แต่เราก็อาศัยอยู่เพียงไม่กี่เดือน อีกทั้งน้องชายของข้ายังอยู่ที่สำนักศึกษา แม่ข้าอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อต้องอยู่คนเดียว ข้าจึงคิดว่าเราควรไปอยู่กับนาง”
ลู่เซวียนไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เขาเดินกลับไปยังห้องของตนทันทีหลังจากเอ่ยถามเพียงสองสามข้อ
มู่ซืออวี่เริ่มเก็บข้าวของที่นำออกมาต้อนรับแขก ส่วนลู่จื่ออวิ๋นคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างนาง
มู่ซืออวี่หันมองลูกสาวตัวน้อยที่สวมเสื้อคลุมบุนวมด้วยความห่วงใย เมื่อคิดว่าลูกสาวนางจะต้องแต่งงานกับชายคดโกงในอนาคต นางก็รู้สึกไม่ชื่นชอบตัวละครนั้นแม้จะไม่เคยได้พบมาก่อน
หากนางยังอยู่ที่นี่ ลูกสาวของนางจะไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับชายผู้นั้น