บทที่ 135 แล้วเจ้ามีลูกชายกี่คนเล่า
เฟิงเจิงเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
“เหตุใดจึงอารมณ์ดีถึงเพียงนั้น?” มู่ซืออวี่แกล้งถามเขา
“ฮึฮึ” เฟิงเจิงเดินเข้ามาใกล้อย่างลึกลับ “น้องสะใภ้ ลองเดาดูเถิดว่าเมื่อครู่ข้าได้ยินสิ่งใดมา?”
“ข้าไม่เดา ไม่ต้องให้ข้าคาดเดาอะไรทั้งนั้น” มู่ซืออวี่ยังคงยุ่งอยู่กับงานในมือ
“ข้าได้ยินมาว่าผู้จัดการร้านภัตตาคารหมายเลขหนึ่งถูกจับกุมแล้ว” เฟิงเจิงกล่าวด้วยความดีใจ “พวกเขาทำให้เราต้องทนทุกข์ ตอนนี้ถึงคราวของพวกเขาที่จะต้องทนทุกข์แล้ว สวรรค์ช่างมีตา”
มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งเดินผ่านภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง เห็นว่ากิจการของพวกเขาดำเนินไปได้ด้วยดี” อดีตพนักงานจากภัตตาคารเจียงซื่อกล่าวขึ้น
“เอ๊ะ แล้วพวกเขาถูกจับด้วยเหตุผลใด?” บุคคลผู้หนึ่งเดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเขา
“ข้าไม่รู้ก็เลยยังไม่ได้บอกต่อผู้ใด” เฟิงเจิงกล่าว “ข้าพบกับพี่สะใภ้หวัง นางบอกข้ามาน่ะ”
“ไปทำงานได้แล้ว” มู่ซืออวี่เร่งรัดพวกเขา “พวกเจ้าทุกคนกลับไปทำงานเถอะ เรื่องของภัตตาคารหมายเลขหนึ่งเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าอย่างไร? ต่อให้พวกเขาถูกจับ แล้วพวกเจ้าได้จ่ายหนี้น้อยลงหรือ? อย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเลย”
ทุกคนหัวเราะลั่นในทันที
มู่ซืออวี่นั่งรถม้าเข้าไปในเมือง ก่อนจะหยุดลงหน้าศาลาว่าการ เมื่อเห็นนักการเกา นางก็ยิ้มทักทาย “พี่ใหญ่เกา”
ทุกครั้งที่นักการเกาเห็นมู่ซืออวี่ เขาจะรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของหญิงผู้นี้ช่างอ่อนโยนและเข้าถึงได้ง่าย นางไม่ได้รังเกียจเขาที่เป็นคนหยาบกระด้าง ในแววตานางฉายความเมตตาชัดเจน
“สะใภ้ลู่ ลู่อี้กำลังยุ่งอยู่กับงาน อีกไม่นานคงออกมา เหตุใดจึงไม่เข้าไปรอเขาเล่า?” นักการเกากล่าว
“คงจะเป็นการดีกว่าหากไม่รบกวนเขา” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่”
แม้นักการเกาจะพยายามเกลี้ยกล่อมนาง แต่ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากตามใจนาง เขากลับเข้าไปยังที่ว่าการอำเภอ บอกลู่อี้ไม่ให้ทำงานจนลืมเวลา ภรรยาจะได้ไม่รออยู่ข้างนอกนานนัก
เมื่อลู่อี้เดินออกมา เขาก็หันมองโดยรอบ ก่อนจะพบรถม้าในตรอกตรงข้าม เมื่อเปิดเข้าไปดูก็พบหญิงสาวร่างเล็กกำลังหลับสนิท
ดูท่าว่านางคงหมดแรง
ช่างโง่เขลาเสียจริง เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่กลับก่อน?
นางเอนกายนอนราบกับพื้นรถม้า ถอดเสื้อคลุมทั้งหมดออก ผูกเชือกรถม้าไว้กับเสาทางด้านข้าง ลู่อี้จึงแก้มัดเชือกนั้นออกแล้วขับรถม้าไป
มู่ซืออวี่ถูกปลุกให้ตื่นเพราะรถม้าสั่นสะเทือน
“ผู้ใดกัน?”
นางสะดุ้งตื่นแล้วเปิดผ้าม่าน จึงมองเห็นชายร่างกำยำกำลังขับรถม้าอยู่
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงไม่ปลุกข้า? ข้ากลัวแทบแย่”
ลู่อี้หันไปมองนาง “เรากำลังเดินทางออกจากเมือง เจ้านอนพักผ่อนเถิด”
“ไม่นอนแล้ว” มู่ซืออวี่หาว
“จากนี้ไปเจ้ารอข้าที่ร้านของคุณหนูเจิ้ง หลังจากเสร็จงานข้าจะไปหาเจ้าเอง แต่หากวันใดที่ข้าต้องกลับดึก ข้าจะส่งคนไปบอกเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องรอโดยเปล่าประโยชน์”
“แบบนั้นก็ดี”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่งเคียงข้างเขา
“ออกมาทำอะไร? ข้างนอกลมแรง” ลู่อี้กล่าว
มู่ซืออวี่ห่อตัวเองด้วยเสื้อผ้าของลู่อี้ “อยู่ด้านในคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ข้าอยากออกมาคุยกับเจ้า”
ลู่อี้มองคนข้างกาย ดวงตาของนางปรือปรอยราวกับคนง่วงนอน ดูเหมือนหญิงที่เพิ่งตื่นจากฝันอันยิ่งใหญ่ น่าเอ็นดูไม่น้อย
“เจ้าคิดถึงลูกชายบ้างหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
“ฉาวอวี่หรือ?”
“แล้วเจ้ามีลูกชายกี่คนเล่า?”
ลู่อี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ หากบอกว่าไม่ นางจะโกรธหรือไม่?
เด็กคนนั้นไม่เคยทำให้เขาเป็นกังวล ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอยู่ในสำนักศึกษา เพราะแม้ว่าเด็กคนนั้นจะไปยังแดนที่ไกลกว่านี้ก็คงไม่ทำให้ผู้เป็นพ่อกังวล
“เขาจะกลับมาในอีกสามวันใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง “เขาไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่หานเอ๋อร์นั้นพื้นฐานอ่อนแอ ไม่รู้เลยว่าจะทนความยากลำบากและความกดดันได้หรือไม่”
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เราจะรู้หลังจากที่พวกเขากลับมา” ลู่อี้กล่าว
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้บ้านของถงซื่อ ประตูพลันเปิดออกในทันใด ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งออกมาทักทายพวกเขา “ท่านพ่อท่านแม่กลับมาแล้ว”
ทันทีที่รถม้าหยุดลง มู่ซืออวี่ก็กระโดดลงจากรถม้า โอบกอดลู่จื่ออวิ๋นไว้ก่อนจะเดินเข้าไปรับประทานอาหารด้วยกัน
“ภรรยาของลู่อี้แตกต่างไปจากเดิมราวกับคนละคน ดูเถิดว่าตอนนี้นางห่วงใยลูกมากเพียงใด ผู้ใดจะคาดคิดว่านางที่เอาแต่ทุบตีทุกครั้งที่ลูกเข้าใกล้และไม่เคยคิดแยแสพวกเขาจะกลับกลายเป็นเช่นนี้”
“นั่นเป็นอดีตไปแล้ว อย่าเก็บมาคิดเลย ตอนนี้นางเรียนรู้วิธีที่จะรักและห่วงใยลูกของตนแล้ว เปลี่ยนแปลงตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป! อวิ๋นเอ๋อร์เองก็ดูรักใคร่นางไม่น้อย”
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างซุบซิบนินทา
ถงซื่อดึงเชือกเข้ามาแล้วผูกม้าไว้บนก้อนหินไม่ไกล
ขณะที่มู่ซืออวี่เดินเข้าประตูมาพร้อมกับบุตรสาวในอ้อมแขน ลู่เซวียนก็วางหนังสือลงตรงหน้านางพลางกล่าวว่า “นี่เล่มที่สอง”
“เหตุใดถึงรวดเร็วเช่นนี้?” มู่ซืออวี่มองลู่เซวียนพลางหยิบงานเขียนขึ้นมาดู “เจ้าเอาแต่เขียนหนังสือจนไม่หยุดพักเลยใช่หรือไม่?”
“คิดว่าข้าเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร?” ลู่เซวียนกล่าวอย่างโกรธเคือง “แม้ข้าจะเอาแต่เขียนหนังสือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนออกมาอย่างราบรื่น บางครั้งจิตใจของข้าก็ราวกับถูกผูกมัด ต้องใช้เวลาในการจัดการปม”
“แล้วเจ้าคิดอย่างไรถ้าได้เห็นตนเองซูบผอมราวกับถูกผีสาวกลืนกินวิญญาณ ข้าขอบอกให้เจ้าได้รู้ไว้นะ ข้ารับงานนี้เพราะอยากให้เจ้ามีอะไรทำ จะได้ไม่ดูเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา แต่หากเจ้าไม่รู้จักถนอมร่างกาย ข้าก็จะไม่อนุญาตให้เจ้าทำงานนี้อีก เจ้าเองไม่จำเป็นต้องใช้เงินขนาดนั้น หากเจ้าทำงานจนตายขึ้นมา พี่ชายเจ้าจะไม่สังหารข้าหรือ?”
ลู่เซวียนล้อเลียนชายด้านหลังมู่ซืออวี่ “พี่ชายของข้าดุร้ายในสายสายตาเจ้ามากเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่แปลกใจที่เมื่อหลายวันก่อนเจ้าเอาแต่วุ่นวายกับการแยกห้องนอน หรือเหตุผลของการแยกห้องนอนก็คือ… เจ้ากลัวถูกพี่ชายของข้าสังหาร?”
มู่ซืออวี่รู้สึกผิดทันที น้ำเสียงของนางอ่อนลง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบเขียนเล่มที่สาม ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกผู้ตรวจหนังสือฟางว่าเราทำผิดสัญญา แล้วเราต้องจ่ายเงินค่าปรับให้กับพวกเขา”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? หากทำเช่นนั้นครอบครัวของเราก็จะขาดเงิน ไม่มีจ่ายให้คนงาน จะให้ข้าหยุดพักเป็นเวลาสามวันใช่หรือไม่?” ลู่เซวียนถามอย่างเป็นกังวล
“ห้าวัน” ลู่อี้ซึ่งอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น “เขาจะถูกริบจตุรสมบัติในห้องหนังสือเป็นเวลาห้าวัน ห้ามเติมน้ำมันตะเกียงเช่นกัน”
“พวกเจ้าสองสามีภรรยารังแกข้า ได้ไม่มีผู้ใดอยากช่วยเหลือข้าสักคน!” ลู่เซวียนทำหน้าบูด
“ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่น้องเขยต้องแต่งงานแล้ว หากจะให้พูดให้ถูก พรุ่งนี้ข้าจะเลือกผู้หญิงดี ๆ ให้เจ้า”
“ผู้ใดบอกว่าข้าต้องการภรรยา? ข้าไม่เคยต้องการ” ลู่เซวียนมีใบหน้าแดงก่ำ เดินเข้าห้องไปด้วยความโกรธ
มู่ซืออวี่กะพริบตา ก่อนจะหันไปมองลู่อี้ “ดูเถิด เขาคงไม่รู้ว่าตนเองกำลังเขินอาย”
ลู่อี้ลูบศีรษะของนาง “เจ้าเหนื่อยหรือไม่? ข้าจะนำน้ำร้อนมาให้เจ้าได้อาบ เผื่อจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น”
เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยฝุ่น เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร? แม้จะเห็นว่านางพูดจาอย่างสนุกสนาน แต่ก็เป็นเพราะนางทำเพื่อไม่ให้ผู้อื่นห่วงใย
ความรู้สึกที่ฉายชัดในแววตานั้นไม่อาจหลบซ่อนได้แต่อย่างใด
มู่ซืออวี่อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวเมื่อเห็นลู่อี้ทำดีต่อตน เขาไม่เพียงเตรียมน้ำร้อน แต่ยังยกอ่างน้ำมาให้นางด้วย
“ลูกเขยช่างเป็นคนดี ตอนที่พวกเจ้าแต่งงานกัน แม่ยังคงเป็นห่วงมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่ซือเจียวจะทำดีแล้วสิ” ถงซื่อกล่าว
“ท่านแม่ มู่ซือเจียวทำลายชื่อเสียงลูกสาวของท่าน นั่นถือเป็นการกระทำที่ดีหรือ? ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างข้าและพ่อของลูก เราก็เคยเป็นคู่สมรสที่ขมขื่น มู่ซือเจียวทำให้เราตายทั้งเป็น อย่าชื่นชมนางเลย”
“ข้ารู้แล้ว” ถงซื่อกล่าวอย่างผิดหวัง “ไป รีบไปอาบน้ำเถิด ลูกเขยเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว”
มู่ซืออวี่มองลู่อี้ที่ยืนอยู่หน้าประตู แน่นอนว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ทั้งหมด