มู่ซืออวี่เดินเข้ามา เห็นเย่อิงเกอร้องไห้อย่างเศร้าใจก็ถามลู่เซวียนว่า “ตอนนี้จะทำอย่างไร?”
นางแค่อยากสั่งสอนบทเรียนให้โหยวจิ้นจง แม้บาดแผลของเขาจะดูร้ายแรง ทว่าในความเป็นจริงเป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาเอง
“อิงเกอ เจ้าจะกลับไปไม่ได้ หากกลับไปอยู่ข้างกายเขาอีก เจ้าถูกเขาทุบตีจนตายแน่” ลู่เซวียนกล่าว “โหยวจิ้นจงทั้งเห็นแก่ตัวทั้งน่ารังเกียจ เจ้าเห็นเขาสภาพนี้แล้ว เขาจะไม่ลงไม้ลงมือได้อย่างไร?”
“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
พูดอยู่นานกลับไม่ได้ใจความสำคัญเลยแม้แต่คำเดียว
เย่อิงเกอรู้ดีว่าคนผู้นี้น่ารังเกียจเพียงใด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่โกรธเช่นนี้
“อิงเกอ ข้าจะไปส่งเจ้า หนีไปจากที่นี่เถอะ หนีไปจากเขา ยิ่งไกลยิ่งดี” ลู่เซวียนกล่าว
เย่อิงเกอส่ายหัวเบา ๆ “ไม่มีประโยชน์ พี่เซวียน ข้าเป็นอนุของเขา อนุต่ำต้อยยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ หากข้าไปแล้ว ขอแค่เพียงเขาแจ้งแก่ทางการ ข้าจะถูกออกหมายจับทันที”
“เจ้ากลับไปไม่ได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเจ้ารักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่ ใช่แล้ว ไปคิดหาหนทางกับพี่ชายข้าเถิด เขาฉลาดขนาดนั้น จะต้องคิดหนทางออกมาได้แน่ ๆ” ลู่เซวียนกล่าว
“เช่นนั้นคนผู้นี้…” มู่ซืออวี่เหลือบมองชายที่นอนอยู่บนพื้น
“จะสนใจเขาไปไย?” ลู่เซวียนเหลือบมองโหยวจิ้นจงด้วยความรังเกียจ “คนเลวไร้ยางอายพรรค์นี้ ตายอยู่ที่นี่เสียก็ดี”
หลังจากล่าช้ามานาน เมื่อกลับมาหาลู่อี้ เขาก็ยืนรออยู่ที่ประตูศาลาว่าการแล้ว
ครั้นลู่อี้เห็นเย่อิงเกอ จึงมองไปยังลู่เซวียนด้วยสายตาสับสน
ลู่เซวียนดึงลู่อี้เข้ามากระซิบข้าง ๆ หลังจากเล่าเรื่องราวอย่างสั้น ๆ แล้ว เขาก็อธิบายสถานการณ์ของเย่อิงเกอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านพี่ พี่ชายของอิงเกอเป็นสหายร่วมเรียนกับเรา มีความสัมพันธ์อันดีกับเรามาโดยตลอด เมื่อไม่กี่ปีก่อนถูกม้าเตะโดยไม่คาดคิด ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากมารักษา โหยวจิ้นจงใช้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนอว่าเขาจะรับอิงเกอเป็นอนุของเขา ตระกูลเย่จึงส่งอิงเกอไปให้เจ้าสารเลวโหยวจิ้นจง ทว่าต่อมาพี่ชายอิงเกอก็เสียชีวิต อิงเกอกลายเป็นหุ่นเชิด หากพี่ชายที่อยู่ในปรโลกรับรู้เข้าคงตายตาไม่หลับแน่ ๆ”
“เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?” ลู่อี้ถาม
“แน่นอน ท่านเป็นพี่แท้ ๆ ของข้า บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดดีกับข้าเท่าท่านแล้ว” ลู่เซวียนรู้สึกว่าลู่อี้กำลังพูดอะไรโง่ ๆ
“เช่นนั้นก็ทำตามแผนของข้า” ลู่อี้กล่าว ก่อนจะเดินกลับไปหาเย่อิงเกอ “อิงเกอ เจ้าต้องกลับไป กลับไปอยู่ข้างกายของโหยวจิ้นจง”
เย่อิงเกอสั่นสะท้านไปทั้งตัว
มู่ซืออวี่พยุงเย่อิงเกอเอาไว้ ไม่ให้ถลาล้มลงบนพื้น
“เดินไปคุยที่อื่นเถอะ” ลู่อี้เอ่ยกับเย่อิงเกอ
เย่อิงเกอก้มหัวของนางลง เดินตามหลังลู่อี้ไปจนถึงมุมหนึ่งไม่ไกลจากตรงนั้น
มู่ซืออวี่มองตามไปทางนั้นพลางบ่นพึมพำ “ยังมีเรื่องอะไรที่ข้าฟังไม่ได้อีก ลึกลับซับซ้อนจริงเชียว”
“กินน้ำส้มสายชู*[1] หรือ?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม
“เฮอะ เจ้ายังไม่กินน้ำส้มสายชู แล้วข้าจะกินน้ำส้มสายชูได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่จ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ ข้ากับอิงเกอไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่เจ้าคิด” ลู่เซวียนเอ่ย “ข้าและท่านพี่เป็นสหายร่วมเรียนกับพี่ชายของอิงเกอ ตอนนั้นพวกเรามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อิงเกอมักจะมาส่งของให้พี่ชายของนาง พวกเราจึงรู้จักกัน อันที่จริงข้ามองนางเป็นน้องสาวมาเสมอ พี่ชายของนางไม่อยู่แล้ว ครั้นมาเห็นนางตกอยู่ในเงื้อมมือของโหยวจิ้นจงแบบนี้ ข้าย่อมปวดใจมาก”
“เป็นเพียงน้องสาวจริง ๆ หรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
สมองของนางคิดถึงละครฉากใหญ่ นึกว่ารักแรกถูกแย่งชิงไปเสียอีก สุดท้ายเขากลับมองนางเป็นแค่น้องสาว
อารมณ์กำลังได้ที่ เตรียมผ้าไว้ซับน้ำตาเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมเสียนี่
ลู่อี้และเย่อิงเกอกลับมาแล้ว
เย่อิงเกอเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องกลับไปแล้ว”
“เจ้าจะต้องกลับไปจริง ๆ หรือ?” มู่ซืออวี่ถามเย่อิงเกอ “แต่ว่าคนผู้นั้น…”
“คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ในหนึ่งเดือนนี้คงสงบเสงี่ยมรักษาแผล เขาทำอะไรนางไม่ได้แน่นอน” ลู่อี้กล่าว “ตอนนี้ยังแก้ปัญหาเรื่องสถานะอนุของนางไม่ได้ รีบเร่งหนีไปมีแต่จะทำร้ายนาง”
มู่ซืออวี่มีสีหน้างงงวย
บาดแผลร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
เขาไม่ทันได้เห็นคน จะรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลสาหัสหรือไม่?
ครั้นมู่ซืออวี่มองเย่อิงเกอ จึงพบว่าสายตาของนางเปลี่ยนไปแล้ว หากเอ่ยว่าเมื่อครู่นี้โกรธแทบตาย ตอนนี้คงเต็มไปด้วยความหวัง
ลู่อี้พูดอะไรกับนางกันแน่ ถึงได้ทำให้อารมณ์ของเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้?
“แล้วหลังจากหนึ่งเดือนเล่า?” ลู่เซวียนถาม “เจ้าสารเลวคนนั้นก็หายดีแล้วสิ”
“หากถึงหนึ่งเดือนแล้ว ข้ามีแผนอื่น” ลู่อี้เอ่ยกับเย่อิงเกอ “พ้นหนึ่งเดือนนี้ไป ตราบใดที่เจ้ายืนหยัดได้ ในวันหน้าเจ้าจะสามารถหลุดจากการควบคุมของคนผู้นั้นได้ อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ทำได้หรือไม่?”
“หลายปีมานี้ข้าล้วนผ่านมันมาได้ แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น มีอะไรไม่ได้? นอกจากนี้เขาบาดเจ็บขนาดนั้น อย่างน้อยในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ทุบตีข้าไม่ได้ ข้าเชื่อท่าน พี่ใหญ่ลู่” เย่อิงเกอกล่าวจบก็หันมาพูดกับมู่ซืออวี่ “ต้องขอบคุณท่านมาก พี่สะใภ้ลู่”
“เมื่อครู่นี้พวกข้าโยนโหยวจิ้นจงไว้ในตรอกแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไร เขาไม่ฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนั้น หากตอนนี้เขาไม่อยู่ที่เดิมก็หมายความว่ามีคนพาไปส่งโรงหมอแล้ว ข้าคุ้นเคยกับโรงหมอละแวกนี้ หาเขาไม่ยากหรอก”
โหยวจิ้นจงยังอยู่ที่เดิม
ตอนที่พวกเขาเดินไปอยู่ในท่าใด ตอนนี้ก็ยังอยู่ในท่านั้น ไม่มีผู้ใดพาเขาไป
ลู่อี้แบกโหยวจิ้นจงขึ้นรถม้า แล้วส่งไปยังโรงหมอทันที ส่วนเย่อิงเกอ นางตัดสินใจอยู่คอยดูแล
“ท่านหมอ รบกวนช่วยตรวจดูสามีข้าด้วย” เย่อิงเกอร้องห่มร้องไห้ เปราะบางราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน
มู่ซืออวี่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้อย่างน่าสงสารแต่ยังงดงามเช่นนี้ จึงอดมองหลาย ๆ รอบอย่างช่วยไม่ได้
ดูสิ การแสดงล้ำเลิศขนาดนี้ เทียบกันแล้ว การแสดงของนางช่างห่วยแตกสิ้นดี
หลังจากออกจากโรงหมอ ลู่อี้เป็นคนบังคับรถม้า ส่วนลู่เซวียนและมู่ซืออวี่นั่งอยู่ภายในรถม้า
“จะปล่อยนางไว้คนเดียวเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
“พี่ชายข้าบอกว่ามีวิธีก็ย่อมมีวิธีแน่ ๆ จะว่าไปแล้ว ชายผู้นั้นขยับไม่ได้ ยังจะทำอะไรอิงเกอได้อีก”
ณ สำนักเหวินชาง ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ลาน เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามา ความยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ ทว่ากลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งปลาที่โผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมา อารมณ์ยินดีของมู่เจิ้งหานกลับชัดเจนกว่า เขาโบกไม้โบกมือให้พวกเขา ทั้งยังกระโดดโลดเต้นไปมา ดูเหมือนจิตใจจะหนักแน่นไม่เท่าลู่ฉาวอวี่
“ใต้เท้าลู่ ฮูหยินลู่ พวกท่านมาแล้ว ท่านนี้คือ…” เหวินอวี่เซวียนทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น
“นี่คือน้องรองของข้า” ลู่อี้กล่าว
“ที่แท้ก็เป็นนายท่านรองลู่” เหวินอวี่เซวียนพยักหน้าไปทางลู่เซวียน
“น้องเซวียน นี่เป็นท่านอาจารย์ของฉาวอวี่และเจิ้งหาน เจ้าเรียกเขาว่าอาจารย์เหวินก็ได้” ลู่อี้แนะนำ
“อาจารย์เหวิน” ลู่เซวียนคำนับ
เหวินอวี่เซวียนคำนับกลับ
“ท่านอาจารย์ น้องชายและลูกชายของข้าคุ้นเคยกับสำนักศึกษาแล้วหรือยัง? ไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้ท่านใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ทนกับความมากพิธีเหล่านี้ไม่ไหว จึงขัดความเป็นสุภาพชนของพวกเขาเข้ากลางคัน
“ฮูหยินโปรดวางใจ น้องชายและบุตรชายของท่านอยู่กับข้าเรียบร้อยดี สองคนนี้น่าตกตะลึงมาก โดยเฉพาะน้องชายของท่าน ทุกวันนี้ผู้ที่พากเพียรที่สุดก็คือเขา อายุยังน้อย แต่กลับมีวิริยะอุตสาหะ ข้าจะตั้งตารอดูอีกครึ่งปีนับจากนี้” เหวินอวี่เซวียนไม่ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อมู่เจิ้งหานแต่อย่างใด
ผู้มากพรสวรรค์ที่ชาญฉลาดหายากก็จริง แต่สิ่งที่หายากกว่าคือคนธรรมดาที่มีความขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว เป็นเช่นนี้น่ายกย่องชมเชยมากกว่า
[1] กินน้ำส้มสายชู หมายถึง การหึงหวง