สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 9 ลูกพี่ลูกน้องผู้เอาเรื่อง

บทที่ 9 ลูกพี่ลูกน้องผู้เอาเรื่อง

บทที่ 9 ลูกพี่ลูกน้องผู้เอาเรื่อง

ดูเหมือนว่าลู่ฉาวอวี่จะขายหน้า เด็กชายมองมู่ซืออวี่ด้วยความโกรธแค้น “ข้าไม่ทำหรอก!”

มู่ซืออวี่ถือช้อนไม้เคาะเตา ใบหน้าอ้วนกลมฉายชัดถึงความไม่ไว้วางใจ “เท้าของเจ้าเจ็บเช่นนี้ ออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้แย่ลง พ่อของเจ้าจะไม่ฆ่าข้ารึ เจ้าเด็กขี้โกหก แค่อยากจะทำร้ายข้าล่ะสิ”

“ท่านพี่ อย่าไปนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นเกาะแขนลู่ฉาวอวี่ไม่ยอมปล่อย พลางเงยใบหน้าน่ารักหวานเชื่อมขึ้นมา ดวงตาที่งดงามราวกับอัญมณีเต็มไปด้วยความกังวล “ข้าไม่อยากให้ท่านพี่กลายเป็นคนขาเป๋ มีหวังเอ้อร์ซูกลายเป็นคนขาเป๋ไปแล้ว ทุกคนจะหัวเราะลับหลังท่านเอานะ”

“อย่ากลัวเลย ถึงแม้ข้าไม่ออกไปก็เป็นอยู่แล้ว” หลังจากนั้นลู่ฉาวอวี่ก็ปลอบใจลู่จื่ออวิ๋น แล้วหันไปมองมู่ซืออวี่ก่อนจะพูดว่า “ข้าออกไปข้างนอกเพราะจะออกไปหาของกิน เมื่อวานน้องข้าหิวมากแล้วมิใช่หรือถึงต้องไปถอนต้นกล้าผักของหวังชุนเหม่ยมากิน หากท่านไม่ให้ข้าออกไปก็หาอะไรให้พวกข้ากินสิ”

“นี่เจ้า! เผยกรงเล็บให้ข้าเห็นแล้วรึ!” มู่ซืออวี่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ชั่วขณะ นางยื่นมืออ้วน ๆ ออกมาบีบแก้มของลู่ฉาวอวี่ “วางใจเถิด ขอเพียงแค่พวกเจ้าเชื่อฟังคำพูดข้า ต่อจากนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหิวอีกแล้ว”

มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ได้อีกนานแค่ไหน ตราบใดที่นางยังอยู่ที่นี่แม้แต่หนึ่งวัน นางก็ต้องการดูแลวายร้ายตัวน้อยทั้งสองให้ดี

“ปล่อยข้า อย่าแตะต้องตัวข้า!” ลู่ฉาวอวี่ตีฝ่ามือของนางทันที

“นับวันยิ่งเหิมเกริม หรือเป็นเพราะข้าไม่กล้าทำอะไรกับพวกเจ้า” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นหมดความอดทน “จะกินโจ๊กหรือไม่?”

“เหตุใดจะไม่กินเล่า” ลู่ฉาวอวี่ตักโจ๊กขึ้นมา “น้องข้า เจ้าไปนั่งด้านนั้นเถิด ข้าจะตักไปให้เจ้า”

หลังจากที่กินโจ๊กหนึ่งชามลงท้องไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็รู้สึกว่าในท้องยังว่างอยู่ นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าครอบครัวที่ยากจนเช่นนี้เติบโตมาได้อย่างไรกัน

จากความทรงจำ แม้มู่ซืออวี่จะอ้วนก่อนแต่งงาน แต่ก็ไม่ได้อ้วนถึงเพียงนี้ ไขมันส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่แต่งงานแล้ว

จะว่าไปแล้วตัวร้ายนั่นก็เป็นคนที่ดูแปลกมาก ๆ คนหนึ่ง เมื่อตอนที่ท่านพ่อท่านแม่ของลู่อี้ยังอยู่ ชีวิตเขาก็สุขสบายดี ทั้งยังได้ร่ำเรียนหนังสือ ในเวลานั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเขาจะกลายเป็นเสาหลักได้ ทุกคนจึงยกย่องเขาอยู่บ่อย ๆ ยิ่งโตมามีใบหน้าที่งดงามราวกับหยกประดับกวน ไม่ต้องพูดถึงสตรีวัยขบเผาะในหมู่บ้าน แม้แต่ในรัศมีกว่าสิบลี้ ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักความทรงเสน่ห์ของเขา

อย่างไรก็ตาม ตัวร้ายทุกคนต่างต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา ปีนั้นตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าหนาว มีนักโทษประหารหนีออกจากคุก ทางการ ติดตามหาเบาะแสมาจนถึงหมู่บ้านของเขา ในครานั้นเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านลู่อี้พอดี ท่านพ่อและท่านแม่ของลู่อี้ถูกฆ่า อีกทั้งยังโดนลากไปเป็นแพะรับบาป ลู่เซวียนถูกแรงอัดกระแทกหน้าอก หลังจากนั้นเป็นต้นมาร่างกายของลู่เซวียนก็อ่อนแรงเหมือนกระดาษปลิว เขาต้องกินยาติดกันทั้งปี

คนร้ายทุกคนต่างไม่มีที่พึ่งพิง อีกทั้งยังต้องดูแลลู่เซวียนตั้งแต่ยังเล็ก ลู่อี้จึงไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ในปีนั้นเกิดไฟไหม้ที่บ้าน พอเข้าไปช่วยลู่เซวียน ใบหน้าของเขาก็ถูกไฟแผดเผา ในที่สุดก็เปลี่ยนจากพานอันกลายเป็นอู๋เหยียน*[1]

ต่อมาลู่อี้ก็ออกมากับเจ้าของร่างเดิมบนภูเขา ถูกชาวบ้านคิดว่าเล่นชู้กัน ลู่อี้ไม่ได้ปฏิเสธ เขาแต่งงานกับเจ้าของร่างเดิม ในเวลาไม่ถึงปี เจ้าของร่างเดิมก็ให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิง

เหตุผลที่เจ้าของร่างเดิมมักจะชวนทะเลาะคงเป็นเพราะลู่อี้เสียโฉม เขาไม่ใช่คนที่หล่อเหลาเหมือนในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว ประกอบกับความยากจนของครอบครัวและความไม่แยแสของลู่อี้ นางจึงไม่มีความสุขเมื่ออยู่ที่นี่ ตราบใดที่ลู่อี้ยังเป็นผู้ชายรูปงามในตอนนั้น การได้แต่งงานกับผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดฝันมาก่อน แล้วนางจะมาปฏิบัติกับลูก ๆ ของนางอย่างโหดร้ายทารุณได้อย่างไร

เจ้าของร่างเดิมดูถูกลู่อี้ ทำให้เขาและลู่เซวียนอับอายด้วยวิธีการต่าง ๆ และต่อมาก็ปฏิบัติต่อเด็กทั้งสองอย่างเลวร้าย ลู่อี้เป็นคนนิ่งเงียบ ภายนอกเขาปฏิบัติต่อนางด้วยความอดทน ทว่าในงานเขียนต้นฉบับ ไม่ถึงสองปีต่อมานางก็ป่วยตาย

ป่วยตายจริง ๆ หรือ?

ในงานเขียนต้นฉบับไม่ได้ระบุรายละเอียดไว้ มีเพียงการบรรยายสภาพครอบครัวเท่านั้น

“ขมมาก!” ลู่จื่ออวิ๋นดื่มยาแล้วก็แลบลิ้นอ้วกออกมาทันที

“กินนี่ดับรสยาซะ” มู่ซืออวี่หั่นเสร็จแล้วก็ส่งให้ลู่จื่ออวิ๋น เจ้าตัวเล็กมองนางด้วยสายตางุนงง นางจึงต้องย้ำอีกรอบ “รับไป!”

ลู่จื่ออวิ๋นรับมากัด มู่ซืออวี่ตัดส่วนเน่าเสียออก ถึงจะยังมีกลิ่นแปลก ๆ อยู่ แต่ลู่จื่ออวิ๋นก็ยังรู้สึกว่านี่คือรสชาติที่หวานที่สุดเท่าที่นางเคยกินมา

มู่ซืออวี่เข้าไปอุ้มลู่ฉาวอวี่ที่เพิ่งจะรดน้ำต้นไม้ในสวนจนเสร็จ

ลู่ฉาวอวี่สะดุ้งตกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นนางก็ดิ้นเร่า “ปล่อยข้าลง! คิดจะทำอะไร”

“รับยาไป” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “เมื่อวานข้าไปขอยาจากท่านหมอจู รอพ่อของเจ้ากลับมาแล้วค่อยไปจ่ายเงิน”

“ท่านพ่อพาท่านอาไปหาท่านหมอ ในบ้านไม่มีเงินแล้ว ท่านอย่าทำอะไรที่ต้องใช้จ่ายเงินเลย เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินแล้วไม่มีจ่ายจะทำอย่างไร?”

ดูพูดเข้า นี่คือสิ่งที่เด็กชายอายุห้าหนาวคิดหรือ? ในยุคปัจจุบัน เด็กวัยนี้ยังคงขอขนมจากครูในโรงเรียนอนุบาลอยู่เลยไม่ใช่หรือ?

“ตอนนี้เจ้าไม่กลัวข้าแล้วรึ?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วขึ้นพลางยิ้มหยัน “ในเวลานี้เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะจับเจ้าโยน แต่กังวลเรื่องเงินแทนงั้นรึ?”

ลู่ฉาวอวี่ตัวแข็งทื่อขึ้นมา

ใช่แล้ว เหตุใดเขาถึงไม่กลัวนางแล้ว

ที่ผ่านมานั้น ในสายตาของเขา มู่ซืออวี่น่ากลัวยิ่งกว่าเสือบนภูเขา ตราบใดที่ท่านพ่อและท่านอาไม่อยู่ พวกเขาสองพี่น้องจะซ่อนตัวให้ไกลที่สุด พยายามไม่ให้นางเข้าใกล้ เพราะทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ พวกเขาจะต้องเจ็บตัว

แต่ในตอนนี้พอถูกนางกอดไว้ในอ้อมแขน เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

มู่ซืออวี่วางลู่ฉาวอวี่ลงบนเตียง เปิดยาที่เตรียมไว้แล้วเริ่มหายาให้เขา

“เจ้าแอบกินสินะ” เสียงแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากข้างนอก

“ข้าไม่… ไม่…” ลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “อย่าตีข้าเลย ท่านพี่ช่วยด้วย อย่า…”

มู่ซืออวี่และลู่ฉาวอวี่ต่างตกใจ ก่อนที่ลู่ฉาวอวี่จะวิ่งออกไป มู่ซืออวี่ก็รีบวิ่งไปเสียก่อน ลู่ฉาวอวี่ผู้ช้าไปหนึ่งก้าวเดินกะเผลก ๆ ตามไปทันที

“มู่ซือเจียว นั่นคิดจะทำอันใด” ทันทีที่มู่ซืออวี่ออกไป นางก็เห็นลูกพี่ลูกน้องของนางยืนอยู่ตรงหน้าลู่จื่ออวิ๋น

มู่ซือเจียวเป็นคนคิ้วหนา ตาโต บนเรือนร่างสวมชุดสีส้มที่งามสง่า มัดปลายผมสีเดียวกับดอกไม้ พวงแก้มแดงปลั่ง อีกทั้งยังสะโพกผาย แลดูมีเสน่ห์เหลือล้น แต่กลับมีความอาฆาตแค้น นางผลักเด็กน้อยอย่างลู่จื่ออวิ๋นลงไปกองกับพื้น

“มู่ซืออวี่ นับวันเจ้ายิ่งสอนเด็กพวกนี้ได้แย่ลงทุกวัน เด็กผู้หญิงคนนี้แอบกินมันเทศ” มู่ซือเจียวชี้ไปที่ลู่จื่ออวิ๋นแล้วพูดว่า “ท่านป้าของข้าเห็นเข้าพอดี เห็นทีจะต้องช่วยสั่งสอนเสียหน่อย”

“ใครอยากให้เจ้าสั่งสอน! นางเป็นลูกสาวข้า หาใช่หน้าที่ที่เจ้าจะต้องมาสั่งสอน” มู่ซืออวี่กอดปลอบโยนลู่จื่ออวิ๋นที่โศกเศร้าไว้ในอ้อมอก “มู่ซือเจียว นี่มันบ้านของข้า เหตุใดต้องบุกมาบ้านข้าเพื่อสั่งสอนลูกของข้า บ้าไปแล้วรึ!”

ลู่ฉาวอวี่มองไปที่มู่ซืออวี่ด้วยความสับสน

นางใช่มู่ซืออวี่ตัวจริงหรือ?

แต่ไหนแต่ไรมา ลู่ฉาวอวี่ไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากมู่ซืออวี่เลย เมื่อก่อนนี้ที่มู่ซือเจียวรังแกพวกเขา นางก็ยังคงคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ เหตุใดวันนี้ถึงปกป้องพวกเขาเล่า?

เห็นได้ชัดว่ามู่ซือเจียวไม่ได้คาดหวังว่ามู่ซืออวี่จะปกป้องเจ้าตัวร้ายทั้งสองคนนี้ นางชี้ไปที่มู่ซืออวี่แล้วตะโกนเสียงสั่น “เจ้าดุข้ารึ! มู่ซืออวี่ เจ้ากล้าดุข้าได้อย่างไร ข้าอยากจะฟ้องท่านย่า!”

[1] พานอันกลายเป็นอู๋เหยียน หมายถึง เปลี่ยนจากชายรูปงามสง่าเป็นชายอัปลักษณ์

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset