บทที่ 226 มู่ตงหยวนบาดเจ็บสาหัส
มู่ซืออวี่เพิ่งหมักผักดองเสร็จก็เห็นถงซื่อนั่งถอนหายใจเฮือก ๆ ไม่หยุด นางจึงเอ่ยถามผู้เป็นแม่
“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ?”
“ท่านอาของเจ้าถูกคนตีจนพิการแล้ว รักษาขาไว้ไม่ได้ทั้งสองข้าง ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
แววตาของถงซื่อวูบไหว นางรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย “ไปฟังมากจากชาวบ้านน่ะ”
“มู่ตงหยวนทำงานเป็นผู้ติดตามของคุณชายตระกูลหวัง คุณชายตระกูลหวังผู้นั้นอยู่ในเมืองมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ที่เขาลงเอยเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
ยามนั้นที่ถงซื่อแต่งเข้าครอบครัวมู่ ถึงแม้มู่ตงหยวนจะอ่อนแอไปบ้าง แต่เนื้อแท้ของเขาไม่ใช่คนเลวร้าย ผ่านมาสองสามปี ความมั่งคั่งของตระกูลผู้ดีล่อตาล่อใจเขา ทำให้เขากลายเป็นคนเห็นแก่เงินเช่นนี้ ทุกครั้งที่กลับบ้านก็เชิดหน้าชูคอ ราวกับตนสูงส่งเหนือกว่าผู้ใด
“ข้าจะไปส่งอาหารให้พี่ใหญ่เซี่ยแล้ว”
ระยะนี้ยังมีสินค้าอีกไม่น้อย อีกทั้งยังไม่มีคำสั่งซื้อใหญ่ ๆ เข้ามา มู่ซื่อวี่จึงปล่อยให้เฟิงเจิงเป็นคนจัดการเรื่องในร้าน นางเพียงคอยแวะเวียนไปดูบ่อย ๆ เท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่ออยู่ที่บ้านนางก็ไม่ได้อยู่อย่างเกียจคร้าน ในลานบ้านมีเครื่องเรือนไม้จำนวนมาก ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่นางทำอยู่ที่บ้านจนเสร็จ เข้าเมืองเมื่อใดก็เพียงแค่ขนไปขายที่ร้าน
มู่ซืออวี่ถือตะกร้าเดินออกไป
เดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังตามมา นางจึงเลี้ยวตรงมุมหนึ่งกะทันหันแล้วหาที่ซ่อนตัว
ชายรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งก้าวออกมา สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังหานาง
“ไปไหนแล้วเล่า?”
“เจ้าหาข้าหรือ?” มู่ซื่ออวี่ควานหาผงยาในแขนเสื้อของนางออกมา เพียงแค่ชายคนนั้นก่อเรื่องนางก็จะสาดมันออกไปทันที นี่เป็นยาที่ท่านหมอจูจัดให้
หลินต้าจ้วงเห็นมู่ซืออวี่ก็หัวเราะฝืด ๆ ออกมา “แม่ฉาวอวี่ เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนในหมู่บ้านนี้ ชื่อหลินต้าจ้วง ไม่ใช่คนร้าย”
“อืม ข้ารู้จักท่าน” นางเห็นเขาอยู่ในละแวกนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ครั้นเอ่ยถามแล้วจึงได้ความว่าเป็นคนในหมู่บ้าน
“เช่นนั้นก็ดี” หลินต้าจ้วงลูบกระหม่อมตัวเองเบา ๆ “เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้ามีเรื่องบางอย่างจะบอกเจ้า”
“ท่านว่ามาสิ” มู่ซืออวี่ยังไม่คลายความหวาดระแวง นางถูถุงบรรจุยาผงอยู่ตลอดเวลา
“ข้าอยากแต่งงานกับแม่ของเจ้า เจ้าช่วยโน้มน้าวนางให้แต่งงานกับข้าได้หรือไม่?” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหลินต้าจ้วงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
มู่ซืออวี่ “….”
นางพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ทุกทาง แต่ไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะมาขอแม่ของนางแต่งงาน
“เหตุใดท่านจึงมาบอกข้าเรื่องพวกนี้? ในเมื่อท่านอยากแต่งงานกับแม่ข้า เช่นนั้นก็ไปขอให้แม่ข้าพยักหน้าตกลงสิ”
“นางไม่ยินยอมน่ะสิ!”
“นางไม่ยินยอมก็หมายความว่านางไม่สนใจท่าน เช่นนั้นท่านก็ยอมแพ้เสียเถอะ”
หากเป็นนางเอง นางก็ไม่ชมชอบเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะคนผู้นี้อัปลักษณ์ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้สกปรกมอมแมมเกินไป
ถึงจะจนก็ไม่เกี่ยวข้องกับความสกปรก
หลินต้าจ้วงเห็นมู่ซืออวี่จะเดินจากไปแล้ว ก็ร้อนรนหยุดนางเอาไว้ “แม่เจ้าอายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ทั้งยังไม่มีคนอื่นอยากแต่งงานกับนาง มาอยู่กับข้าผิดตรงไหน?”
“อยู่กับท่านมีอะไรดี? ท่านบอกข้อดีในการใช้ชีวิตกับท่านมาสักสิบอย่าง หากบอกออกมาได้ ข้าจะช่วยท่านเกลี้ยกล่อมนาง” มู่ซืออวี่แทบจะหลุดขำ
ชายธรรมดาผู้นี้จะมั่นใจเกินไปหรือไม่?
เห็นเขามั่นอกมั่นใจเพียงนี้ นางก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ
“หากที่บ้านมีบุรุษ งานหนักอะไรก็มีคนทำ”
“ตอนนี้นางก็ไม่ได้ทำ ทั้งหมดนั้นผู้ติดตามข้าทำแล้ว”
“หากนางอยู่กับข้า ภายหน้าแก่เฒ่าไปก็มีคนคอยดูแล”
“นางไม่ต้องดูแลบุรุษก็ดีแล้ว ยังจะต้องหาบุรุษมาดูแลนางอีกหรือ?”
มู่ซืออวี่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้ผิดปกติ ทุกสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาราวกับเขาไม่มีสมองเสียอย่างนั้น
หลินต้าจ้วงยังคงพยายามคิดอย่างหนัก แต่มู่ซืออวี่ไม่อยากฟังเขาอีกต่อไปแล้ว
นางจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “แม่ข้าปฏิเสธท่าน นั่นก็หมายความว่านางคิดได้กระจ่างแล้วว่าท่านไม่เหมาะสม ท่านไปหาคนอื่นเถอะ! หมู่บ้านใกล้เคียงนี้มีแม่ม่ายอีกไม่น้อยทีเดียว”
หลินต้าจ้วงมองตามหลังมู่ซืออวี่ที่เดินจากไปด้วยสายตาโกรธแค้น
แม่ม่ายเหล่านั้นจะเทียบกับถงซื่อได้อย่างไร?
ถงซื่อมีลูกสาวและลูกเขยที่มีความสามารถมากมายเพียงนี้ แม่ม่ายคนอื่นมีที่ไหนกัน
…
เซี่ยคุนทำงานอยู่ในแปลงผัก ครั้นมู่ซืออวี่มาส่งอาหารให้เขาแล้วก็กลับไป
ยังไม่ทันจะถึงบ้าน จู่ ๆ ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา
มู่ซืออวี่คิดว่าเป็นหลินต้าจ้วงผู้นั้น จึงคิดจะสาดผงยาใส่เขา ทว่าหยุดมือเอาไว้ได้ทันเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย
“นังหนูอวี่” แม่เฒ่าเจียงร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาเต็มใบหน้า
มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา
“เจ้าช่วยอาของเจ้าหน่อยเถอะ! ข้าขอร้องเจ้าล่ะ”
มู่ซืออวี่ “….”
ป่วยหรือไร?
“ท่านมาหาผิดคนแล้ว ท่านควรไปหามู่ซือเจียว นางมีเงินนี่”
เหตุใดต้องมาหานาง? นางติดค้างพวกเขาหรือ? และถึงแม้จะติดค้าง ทว่าแม่เฒ่าเจียงก็ติดค้างถงซื่อมากกว่า เรื่องนั้นค่อย ๆ ตอบแทนบุญคุณได้ แต่แม่เฒ่าเจียงไม่เคยติดค้างคนอื่น ๆ ในครอบครัวมู่
“ข้าไปแล้ว แต่นางไม่ออกมาพบข้า” แม่เฒ่าเจียงร้องไห้น้ำตาไหลพราก “ขาของท่านอาเจ้าต้องไปรักษากับท่านหมอลี่ที่เมืองซูโจว มิเช่นนั้นแม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้ ลุงและป้าสะใภ้ของเจ้ากลัวว่าข้าจะใช้เงิน พวกเขาจึงหอบเงินทั้งหมดภายในบ้านไปแล้ว แม้กระทั่งในกล่องของข้าก็ฉกฉวยเอาไป ข้าทำได้แค่มาขอร้องเจ้า”
“เช่นนั้นท่านบอกข้า เหตุใดข้าต้องช่วยท่าน?” มู่ซืออวี่มองแม่เฒ่าเจียงอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นคนในครอบครัวมู่นะ! นั่นเป็นท่านอาของเจ้า เจ้าจะมองคนตายไปโดยไม่ช่วยจริง ๆ หรือ?”
“ข้าเป็นคนครอบครัวมู่รึ? ตอนนี้ท่านถึงยอมรับหรือว่าข้ามาจากครอบครัวมู่! พวกเราตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว ท่านลืมแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น
“ถึงแม้ข้าจะให้ท่านยืม แต่ท่านกับมู่ตงหยวนผู้ใดสามารถใช้เงินคืนข้าได้บ้าง? ไม่มีสักคนใช่หรือไม่? อย่าว่าแต่ข้าจะให้ท่านเลย แม้แต่ยืม ข้าก็ไม่ให้ยืม ถ้าท่านนำที่ดินใหม่ของมู่ต้าไห่มาขายให้ข้า อาจจะมีเงินพาเขาไปรักษาขาที่เมืองซูโจวก็ได้”
“นั่นเป็นที่ดินที่ลุงของเจ้าซื้อมา…” เดิมทีแม่เฒ่าเจียงเห็นมู่ซืออวี่ใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ก็อยากจะด่าทอระบายโทสะใส่ นึกไม่ถึงว่าจะยังพอมีหนทาง
หญิงเฒ่าปากคอเราะรายเช่นนี้ ตอนนี้เพื่อลูกชายคนเล็กที่นอนซมอยู่บนเตียง นางถึงกับมาวิงวอนขอความเมตตาจากคนที่นางเกลียดชังที่สุด ทั้งน่ารังเกียจและน่าสงสารในคราวเดียวกัน
แต่มู่ซืออวี่ไม่ใช่แม่พระมาโปรด นางไม่ช่วยคนที่น่ารำคาญเช่นนี้เด็ดขาด
“ท่านกลับไปคิดดูเอาเอง”
มู่ซืออวี่เดินออกไปจากตรงนั้นทันที
แม่เฒ่าเจียงสาปแช่งไล่หลังมู่ซืออวี่ “ใจจืดใจดำเช่นนี้ มีเงินมากมายเพียงนั้นยังไม่คิดจะช่วยตงหยวนอีก! เหตุใดสวรรค์ไม่ให้นังสารเลวนี่ตาย ๆ ไปเสีย?”
“ท่านป้าเจียง ข้ามีวิธี” คนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเดินออกมา
“ตาเถร!” แม่เฒ่าเจียงสะดุ้งโหยง
“ชู่ว! ข้าเอง ท่านป้าเจียง” คนผู้นั้นหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีวิธีช่วยตงหยวน”
อีกด้านหนึ่ง มู่ซืออวี่กลับไปหาถงซื่อแล้วเล่าทั้งสองเรื่องให้ถงซื่อฟัง
ถงซื่อฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดและอับอาย “คนผู้นี้เป็นอย่างไรกัน? ถึงได้มาหาเจ้าแล้วเล่าเรื่องไร้สาระเช่นนี้ให้เจ้าฟัง”
“หมู่นี้เขามาวุ่นวายกับท่านใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม “เช่นนั้นท่านมาอยู่ที่บ้านพวกเราเถอะ หากท่านอยู่เพียงลำพังข้าไม่วางใจ”
“คงไม่เป็นไรกระมัง หลินต้าจ้วงผู้นั้นจะทำอะไรได้” ถงซื่อไม่เห็นด้วย “แต่ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยินดีช่วยย่าของเจ้า”
“ข้าบอกหรือว่าจะช่วยนาง?”
“เจ้าบอกว่าจะซื้อที่ดินของพวกเขา นี่นับว่าเป็นการช่วยเหลือแล้ว!” ถงซื่อไม่เข้าใจ
“ข้าเพียงแต่จงใจพูดให้แม่เฒ่าเจียงเข้าใจว่าตนเองยังมีทางออก ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องร้องขอความช่วยเหลือ นางร้องไห้น้ำตาน้ำมูกไหล แต่บางทีในใจอาจจะกำลังนึกสาปแช่งข้า ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้า ‘เอารัดเอาเปรียบ’ ถึงแม้จะขายที่ดิน ก็คงจะขายให้คนอื่นอยู่ดี ไม่มีทางขายให้ข้าหรอก”
ความคิดของแม่เฒ่าเจียงนั้น นางมองออกทั้งหมดแล้ว