สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 241 เจ้าจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณีของข้า

บทที่ 241 เจ้าจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณีของข้า

“พี่อี้ ท่านเร็ว ๆ หน่อย พี่เซี่ยที่ไปรับพวกน้าถงใกล้จะมาถึงแล้ว” เสียงของเฟิงเจิงดังมาจากข้างนอก “รอพิธีเสร็จแล้วค่อยมองเถ้าแก่เนี้ยก็ยังไม่สาย ฮ่า ๆๆ”

“เจ้าเรียกแม่ข้ามาด้วยหรือ?” มู่ซืออวี่รู้สึกโมโห

“ไม่เพียงแต่แม่ยายเท่านั้น ยังมีพวกป้าเหยาด้วย ในเมื่อจะเข้าพิธีแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดิน แน่นอนว่าจะมีแค่เราสองคนไม่ได้ ข้าเลยเชิญครอบครัวกับสหายของเรามาด้วย”

“ท่านไม่กลัวพวกเขาขบขันหรือไร ลูกของพวกเราล้วนโตกันหมดแล้ว ตอนนี้ยังจะมาเข้าพิธีแต่งงานกราบไว้ฟ้าดินอีก เด็ก ๆ จะไม่คิดว่าเราแปลกพิกลหรือ?”

“ไม่” ลู่อี้กล่าว “ในห้องมีชุดแต่งงาน เจ้าเข้าไปเปลี่ยนเสีย ข้าจะไปรับพวกเขาที่หน้าประตู”

“ก็ได้”

จิตใจของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความเบิกบาน แน่นอนว่านางก็อยากมีงานแต่งของตนเอง

เจ้าของร่างเดิมแต่งงานกับลู่อี้ คนหนึ่งไม่ได้รัก ส่วนอีกคนไม่เต็มใจ งานแต่งนั้นราวกับงานศพ ชาวบ้านที่มาร่วมงานทานอาหารแล้วก็กลับไป ต่างคนต่างไม่อยากอยู่นาน

ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว งานแต่งครั้งนี้ลู่อี้จัดให้นางอย่างเต็มใจ นางเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานกับเขา งานแต่งนี้ย่อมเป็นงานแต่งที่ได้รับการอวยพรจากทุกคน

มู่ซืออวี่เปลี่ยนไปสวมชุดแต่งงานแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะแต่งหน้า เมื่อเห็นเครื่องประทินโฉมมากมายหลายชนิดวางอยู่ แววตาของนางพลันสว่างสดใสขึ้นมา

“เตรียมของเหล่านี้ให้ด้วยหรือ? เขาเอาใจใส่ขนาดนี้เชียว?”

นางพบสมบัติล้ำค่าเข้าแล้วใช่หรือไม่?

นึกว่าตนจะได้แต่งงานกับบุรุษผู้เย็นชา ที่แท้เป็นบุรุษผู้อบอุ่นหรอกหรือ

“พี่สะใภ้อี้” ลู่เจินเจินผลักประตูเปิดออกมาแล้วตะโกนคุยกับนาง “ว้าว พี่สะใภ้อี้ ท่านโชคดีจริง ๆ ที่ได้อยู่ในบ้านที่ดีเพียงนี้”

บ้าน?

ใช่แล้ว! บ้านหลังนี้เป็นของใคร?

“บ้านหลังนี้…” มู่ซืออวี่อยากเอ่ยบางอย่าง แต่นางเองก็ยังไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของผู้ใด ได้แต่ฟังลู่เจินเจินพูดจาเจื้อยแจ้วอยู่อย่างนั้น

“ท่านไม่ต้องปิดข้าแล้ว ข้าไปถามเฟิงเจิงมาแล้ว เขาบอกว่าพี่อี้ซื้อบ้านหลังนี้ให้ท่าน พี่สะใภ้อี้ ท่านโชคดีเกินไปแล้ว!”

มู่ซืออวี่หัวเราะฝืด ๆ

จะบอกได้หรือว่า ตนที่เป็นเจ้าของบ้านคนนี้เป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้?

ความจริงแล้วเรื่องที่นางจะแต่งงาน ในฐานะเจ้าสาวนั้น นางก็เป็นคนสุดท้ายที่รู้เช่นกัน

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดระยะนี้ลู่อี้จึงมีท่าทีแปลก ๆ ราวกับว่าเขากำลังวางแผนบางอย่างโดยไม่บอกให้นางรู้ ที่แท้ก็เป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้

“พี่สะใภ้ของเจ้ามาหรือไม่?”

“มาแล้ว ๆ พี่ชายและหลานของข้าก็มากันหมดแล้ว ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในเมือง ขอแค่พี่อี้เอ่ยสักคำสองคำ พวกเราย่อมตามมาร่วมวงทันที”

ลู่เจินเจินอยู่พูดคุยกับมู่ซืออวี่ ไม่นานแขกคนอื่น ๆ ก็มาถึงคนแล้วคนเล่า

คนอื่น ๆ ไม่ได้เข้ามาในบ้านหลังใหม่ ถงซื่อเดินมาดูเที่ยวหนึ่ง เห็นลูกสาวกำลังพูดคุยกับน้องสาวคนสนิทจึงไม่อยู่นานนัก นางหันหลัง เดินออกไปพร้อมน้ำตาที่รื้นขอบตา

ลู่เหม่ยฉินลากแขนอันอวี้เข้ามา

“อันอวี้ อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว วันนี้ก็ถือเสียว่าทำความคุ้นเคย” ลู่เหม่ยฉินยิ้ม

ตอนนี้ลู่เจินเจินไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว นางไม่คุ้นเคยกับอันอวี้นัก แต่บ้านที่อันอวี้มาอาศัยอยู่ตอนนี้เคยเป็นของครอบครัวลู่เจินเจิน พวกนางย่อมเข้ากันได้เป็นอย่างดี

“พี่ชายเจ้าก็มาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ถามอันอวี้

“จ้ะ มาแล้ว” อันอวี้พยักหน้าอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

“คงมีแค่คนจากหมู่บ้านของพวกเราใช่หรือไม่? หากมีคนนอกด้วยข้าคงอายเกินกว่าจะออกไป” มู่ซืออวี่ถามขณะที่นางกำลังแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมลงบนใบหน้าของตน

“ยังมีเจ้าสำนักจากสำนักบัณฑิตเขาเขียว” ลู่เจินเจินตอบ “แล้วก็คนงานร้านของท่าน พี่ต้าหนิวและพี่เอ้อร์หนิวก็มาแล้วเช่นกัน”

“พี่สะใภ้อี้ ก่อนหน้านี้พี่ต้าหนิวกับพี่เอ้อร์หนิวก็ทำงานอยู่ที่ร้านของท่านไม่ใช่หรือ? เหตุใดต่อมาจึงไม่ทำแล้วเล่า?” ลู่เหม่ยฉินเอ่ยถามขึ้นมา

“ตอนแรกข้าให้พวกเขาลองทำคำสั่งซื้อสองสามรายการ พวกเขาขยันขันแข็งมาก แต่การทำเครื่องเรือนไม่เพียงแต่อาศัยความขยันเท่านั้น ยังต้องสิ้นเปลืองสมองเช่นกัน ไม่นานมานี้ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวไปส่งของที่ศาลาว่าการ นักการเกาถูกใจพวกเขา ภายหลังบอกข้าว่ากำลังต้องการคน ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดูไม่เลว จึงให้พวกเขาไปน่ะ”

“เยี่ยมไปเลย! ชีวิตของทุกคนกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้พวกเราต้องขอบคุณเจ้าสาวคนสวยคนนี้เสียแล้ว”

บิดามารดาของลู่อี้ไม่อยู่แล้ว เขาจึงขอให้ท่านอาจารย์ไป๋เหวยคังที่เขาเคารพนับถือที่สุดนั่งตำแหน่งผู้อาวุโสและนั่งอยู่ด้านข้างถงซื่อ เพื่อรับการคำนับของพวกเขาแทนบิดา

ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนพลางมองดูพิธีการ

ลู่จื่ออวิ๋นรู้จักแค่เพียงสนุกสนาน ไม่รู้ว่าการที่พ่อแม่ของนางเข้าพิธีแต่งงานอีกครั้งนั้นแปลกตรงไหน

ทว่าลู่ฉาวอวี่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี แต่แล้วอย่างไรเล่า? พ่อแม่ของเขามีความสัมพันธ์ที่ดี พวกเขาในฐานะลูกสาวลูกชายย่อมมีความสุข

ไป๋เหวยคังมองลูกศิษย์คนนี้ด้วยความรู้สึกโล่งใจ

ถึงแม้ลู่อี้จะไม่ได้เข้าร่วมการสอบขุนนาง ทว่าด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมต้องมีอนาคตที่รุ่งโรจน์อย่างแน่นอน บัดนี้เจ้าตัวรักใคร่ลึกซึ้งกับภรรยา เช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีกแล้ว

ศิษย์ผู้นี้เพียบพร้อมไร้ที่ติอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นความเฉลียวฉลาดหรือพรสวรรค์ สิ่งที่บุรุษมักไม่ให้ความสำคัญอย่างรูปลักษณ์ เขาก็ไม่น้อยหน้าใคร สิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้คืออีกฝ่ายมีนิสัยที่เยือกเย็นเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ยืดหยุ่นให้ตนเอง ตอนนี้เห็นแววตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนก็รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังกังวลย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว

เมื่อบุรุษผู้หนึ่งมีความรักในหัวใจ มีที่ให้ยึดติดบนโลกใบนี้แล้ว จะทำสิ่งใดย่อมมีขอบเขต

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน” ผู้อาวุโสอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้น

มู่ซืออวี่สวมชุดแต่งงานราคาแพง บนศีรษะประดับกวานหงส์ คลุมด้วยผ้าคลุมหน้า นางค่อย ๆ ค้อมหัวลงคำนับ ลู่อี้ที่ถือผ้าแดงคำนับพร้อมกันกับนาง

“ตอนที่ข้าแต่งงาน หากได้แบบนี้คงจะดีไม่น้อย” ลู่เจินเจินพึมพำกับตนเอง

พี่สะใภ้เฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าชุดแต่งงานชุดนี้ราคาแพงเพียงใด 15 ตำลึงเชียวนะ ยังมีกวานหงส์นั่น…”

พี่ชายของลู่เจินเจินกล่าวพลางหัวเราะ “พวกเราต้องขยันหาเงินแล้วล่ะ หากถึงเวลาแต่งงานของเจินเจินแล้วจะได้จัดให้หรูหราใหญ่โต”

ทุกคนล้วนหัวเราะเฮฮา มีเพียงอันอี้หางเท่านั้นที่มองภาพนี้แล้วรู้สึกแปลกไป

ลูกโตถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดพวกเขาต้องจัดงานใหญ่โตเช่นนี้? เมื่อก่อนไม่มีเงินจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ก็จริง แต่ก็ผ่านมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดอีกครั้งกระมัง?

“สองคำนับบิดามารดา”

ลู่อี้พามู่ซืออวี่หมุนตัวกลับไป ก่อนจะค้อมคำนับไป๋เหวยคังและถงซื่อ

ไป๋เหวยคังลูบเคราตนเองพลางแย้มยิ้มบาง ๆ “ดี ๆ”

ดวงตาของถงซื่อรื้นน้ำขึ้นมา

คราวนั้นที่มู่ซืออวี่แต่งงาน ถงซื่อกุมมือบุตรสาวไว้ทั้งยังร้องไห้อย่างหนัก

มู่ซือเจียวใช้เล่ห์เหลี่ยม ลู่อี้จึงต้องแต่งกับมู่ซืออวี่ ทุกคนในครอบครัวมู่ไม่มีแม้กระทั่งคำพูดดี ๆ จะกล่าว ถงซื่อเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เกลียดชังบุตรสาว ตอนนั้นถงซื่อรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่งานแต่งเพียงครั้งเดียวในชีวิตของสตรีเสร็จสิ้นไปเช่นนั้น

ทว่าตอนนี้บริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ไม่มีอันใดให้ต้องเสียดายอีก

“คำนับกันและกัน”

หลังจากคำนับครั้งสุดท้าย พิธีก็เสร็จสิ้น

ลู่อี้ส่งมู่ซืออวี่ไปที่ห้องหอ

ครั้นส่งเข้าห้องหอ จึงได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก

ผู้คนที่มาวันนี้ล้วนเป็นคนกันเอง อายุไม่มากไม่น้อยกว่าลู่อี้เท่าใดนัก ต่างคนต่างห้อมล้อม ส่งเสียงอื้ออึงจะดูตัวเจ้าสาว

เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นมา ทุกคนล้วนตกตะลึง

มู่ซืออวี่ที่ไม่เคยประโคมเครื่องประทินโฉมหนัก ๆ และแต่งตัวเช่นวันนี้มาก่อน ภายใต้แสงเทียนสลัวนั้นดูงดงามราวกับเทพธิดาในภาพวาด

แววตาคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับดุจอัญมณีล้ำค่า ล่อลวงให้ผู้คนอยากเก็บมันขึ้นมา

“ดูพอแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่ทั้งโกรธทั้งอาย “ยังต้องออกไปดื่มสุราไม่ใช่หรือ?”

“ดื่มสิ ต้องดื่มสักสองสามจอก”

มู่ซืออวี่มองลู่อี้ “ท่านก็ดื่มน้อย ๆ หน่อย”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้” ต้าหนิวหัวเราะขึ้นมา “วันนี้พี่อี้จะดื่มน้อยไม่ได้เด็ดขาด”

“ใช่แล้ว” ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน

“แต่พี่สะใภ้อี้โปรดวางใจ ไม่กระทบคืนร่วมหอแน่นอน”

มู่ซืออวี่หยิบหมอนข้าง ๆ ปาใส่เอ้อร์หนิวที่เป็นคนเอ่ยออกมารอบหนึ่ง

ทุกคนต่างหัวเราะร่วนแล้วเดินออกไป

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset