บทที่ 250 เจ้าไปดีกว่า
รถม้าขับเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลหวง ผู้คนมากมายสงสัยว่าใครกันที่มีญาติร่ำรวยเพียงนี้ พวกเขาตามรถม้ามา จนกระทั่งมาถึงบ้านอันซอมซ่อยากจนที่สุดของหวงเฉิงเฟิง ณ หมู่บ้านตระกูลหวง
เมื่อรถม้าหยุดลง มู่ซืออวี่ก็ไปเคาะประตู
“ผู้ใด?”
ประตูแง้มเปิดออก ใบหน้าซีดเซียวของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
“เจ้าเป็นใคร?” คนผู้นั้นมองมู่ซืออวี่ด้วยสายตาพินิจ
“ข้ามาหาป้าข้า” มู่ซืออวี่กล่าว “ป้าข้าแซ่หู”
“หูโม่ลี่?” หญิงผู้นั้นแผดเสียงแหลม “หูโม่ลี่จะมีญาติเช่นเจ้าได้อย่างไร? ไม่เห็นคุ้นหน้ามาก่อน”
“ข้าก็ไม่ทราบมาก่อน แต่ยามนี้ทราบแล้ว ป้าข้าอยู่ที่นี่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
ก่อนจะมา ถงซื่อเล่าเรื่องในครอบครัวของนางให้ฟังแล้ว
คนตรงหน้ามู่ซืออวี่ผู้นี้น่าจะเป็นน้องสะใภ้ของหูซื่อ หรือก็คือฮัวซื่อ สะใภ้รองตระกูลหวง
ตระกูลหวงมีบุตรชายทั้งหมดสองคน หูซื่อแต่งงานกับหวงเฉิงเฟิงผู้เป็นบุตรคนโต ขณะนั้นตระกูลหูตั้งความหวังกับลูกคนโตไว้สูง ใครจะทราบว่าหลังจากสอบต่อเนื่องหลายต่อหลายหนกลับไม่ผ่านซิ่วไฉ ภายหลังยังมาล้มป่วยจากโรคร้าย ตระกูลหวงจึงทิ้งความหวังต่อบุตรผู้นี้โดยสิ้นเชิง คิดว่าเขาจะผลาญเงินตระกูลหวงไปเปล่า ๆ กอปรกับในสองปีที่หวงเฉิงเฟิงไปเข้าเรียน น้องชายของเขาหรือหวงฉี่เฟิงก็แต่งภรรยาปากหวานผู้หนึ่งและให้กำเนิดบุตรชายสองคนติด ๆ กัน
เทียบกันแล้ว หูซื่อให้กำเนิดเพียงบุตรสาวสองคน หัวใจของผู้อาวุโสตระกูลหวงทั้งสองจึงเอนเอียงฟังทุกสิ่งจากปากบุตรคนรอง ยิ่งสะใภ้รองยุแยง ผู้อาวุโสตระกูลหวงทั้งสองจึงยิ่งดูถูกภรรยาของบุตรคนโตขึ้นเรื่อย ๆ
“พี่สะใภ้! พี่สะใภ้!” ฮัวซื่อตะโกนเข้าไปในบ้าน “มีคนมาหา”
หูโม่ลี่กำลังเช็ดตัวให้สามีของนางในบ้าน ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “มาแล้ว”
หวงเฉิงเฟิงมองภรรยาที่มีสภาพดูไม่ได้ ก่อนจะกล่าวว่า “ภรรยา ปล่อยข้าไว้เถอะ”
“เหตุใดจึงได้พูดโง่เง่าเช่นนั้น?” ดวงตาของหูโม่ลี่แดงก่ำ
“ผู้มาน่าจะเป็นครอบครัวของเจ้า” หวงเฉิงเฟิงกล่าว “เจ้าไปกับพวกเขาเถิด หากทำได้ พาลูกไปกับเจ้าด้วยนะ”
หวงเฉิงเฟิงรู้สึกผิดต่อลูกเมียนัก ยามที่เขายังสุขภาพดี ครอบครัวของเขาไม่ได้หยาบคายใส่เช่นนี้ แม้หูซื่อจะไม่ได้ให้กำเนิดบุตรชาย ผู้อาวุโสทั้งสองก็กล้าเพียงเร่งเร้า ไม่กล้าดุด่าตำหนิทั้งวันเช่นนี้ ทว่าทันทีที่เขาล้มป่วย ทั้งบิดามารดา น้องชาย และน้องสะใภ้ต่างก็เปลี่ยนท่าที กระทั่งหลานชายทั้งสองยังไม่อยากเห็นลุงง่อย ๆ ผู้นี้ในสายตา
ที่ผ่านมา เขารู้ว่าลูกและภรรยาของตนต้องประสบเรื่องราวรันทดใจมากมาย เขาเองก็เกลี้ยกล่อมนางให้ไปเสีย แต่นอกจากที่นี่ พวกนางจะไปที่ใดได้อีก?
ทว่าเวลานี้แตกต่างออกไป เพราะนางมีที่ไปแล้ว
“ข้าจะไปดูก่อนนะ” หูโม่ลี่ก้มหน้าลง เดินสองสามก้าวก่อนจะชะงัก และกล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก “อย่าพูดคำเช่นนี้อีก ข้าไม่สบายใจนะ”
ฮัวซื่อเห็นหูโม่ลี่ชักช้ายืดยาด สายตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่เพราะมีคนนอกอยู่ด้วย ไม่สามารถดุด่าออกไปง่าย ๆ ได้ นางจึงทำได้เพียงแค่นเสียงเย็น ๆ แล้วเดินไปยังลานบ้านประหนึ่งรอชมเรื่องสนุก
“พี่สาว ไฉนจึงมาที่นี่เล่า?” เมื่อหูโม่ลี่เห็นถงซื่อ นางก็ทั้งประหลาดใจและยินดี
นางไม่ได้พบพี่สาวของนางมาหลายปีแล้ว
ไม่ใช่เพราะไม่อยากพบ เพียงแค่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมาเป็นห่วงตน
ชีวิตของถงซื่อลำพังก็อดสูพอแล้ว ไฉนจึงต้องมาพะวงเรื่องของนางอีก?
“ข้าได้ยินลูกอวี่บอกว่าเจ้ามาหา ข้าจึงมาหาเจ้า” ถงซื่อกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ข้าน่าจะมาหาเจ้านานแล้ว”
“อย่าพูดเช่นนี้สิ เข้ามาเถอะนะ” หูโม่ลี่เชื้อชวนเข้าบ้าน
“รถม้า…” มู่ซืออวี่มองเข้าไป และคิดว่าไม่น่าจะจอดได้ “ข้าจะจอดไว้ข้างนอกแล้วกัน”
ฮัวซื่อจิ๊ปาก “มีรถม้าได้นี่มันดีจริงเชียว!”
ทั้งหูโม่ลี่และถงซื่อแสร้งทำหูทวนลม
ถงซื่อมองเข้าไปแล้วถามว่า “พ่อแม่สามีเจ้าไม่อยู่หรือ?”
“มีคนในหมู่บ้านแต่งสะใภ้ พวกเขาจึงไปแสดงความยินดี” หูโม่ลี่กล่าว “ข้าจะไปยกม้านั่งมาให้นะ”
“ไม่นั่งหรอก เรามาเพื่อพาเจ้าไป” ถงซื่อเหลือบมองมู่ซื่ออวี่ ก่อนจะกล่าวตามแผนเดิม
หูโม่ลี่ประหลาดใจ “พาข้าไป?”
“ใช่ พาเข้าไป” ถงซื่อกล่าว “ข้าคิดถึงเจ้า จะพาเจ้าไปอยู่ด้วยสักพัก”
“สักพักที่ว่านี้นานเพียงไร?” ฮัวซื่อถาม “ทุกสิ่งในบ้านนี้ พี่สะใภ้ต้องเป็นผู้ดูแล พี่ใหญ่ก็ขาดนางไม่ได้ หากพานางไปแล้วใครจะดูแลเรื่องที่นี่”
“ท่านเป็นเครื่องประดับหรือไร? ไฉนจึงไม่ทำเอง?” มู่ซืออวี่กล่าว “ส่วนท่านลุงข้า ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้แยกบ้าน ไฉนจึงช่วยดูแลไม่ได้? ท่านป้าข้าทำงานหนักมาหลายปีแล้ว ควรจะได้พักบ้าง”
“ก็นั่นสามีนาง นางก็ต้องดูแลสิ” เสียงชราดังมาจากหน้าประตู
จากนั้น สองอาวุโสหน้าตาใจดีก็เดินตามกันมา
พวกเขาคือบิดามารดาฝั่งสามีของหูซื่อ นามว่าจั๋วซื่อและหวงต้าจง ส่วนผู้ที่กล่าวเมื่อครู่นี้คือจั๋วซื่อ
หลังจากจั๋วซื่อเดินเข้ามาเห็นมู่ซืออวี่และถงซื่อแต่งตัวดี ก็ลดเสียงลงถามฮัวซื่อว่า “พวกเขามีของกำนัลหรือไม่?”
ฮัวซื่อตั้งท่าแง่งอน “มีสิ มือซ้ายกำวายุ มือขวากำดินทราย”
เห็นได้ชัดว่าเป็นการประชดประชันที่พวกนางมาเยือนโดยไร้ของกำนัล
จั๋วซื่อจะไม่เข้าใจความหายได้อย่างไร สีหน้าของนางยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่
“พวกเจ้าแต่งตัวออกจะดี แต่ไม่เข้าใจมารยาทการมาเยือนบ้านคนอื่นเลย อาภรณ์คงยืมเขามา รถม้าข้างนอกนั่นก็คงเช่ามากระมัง ลวงหลอกกันไปเพื่ออะไร บ้านเราไม่มีเงินทองให้หยิบยืมหรอก”
มู่ซืออวี่กล่าวเนิบ ๆ “เมื่อวานมีผู้มาหาบุตรชายเจ้าใช่ไหม? หมอท่านนั้นข้าเชิญมาเอง ทั้งรถม้าที่มารับส่ง กระทั่งเงินค่าหมอ ข้าก็เป็นคนจ่าย”
จั๋วซื่อหน้าถอดสี “ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้เชิญหมอมาหาเจ้าผีป่วยนั่น ข้าขอบอกเจ้าก่อนนะว่าไม่มีเงินให้ เจ้าเชิญเขามาเอง ข้าไม่เกี่ยว”
หวงต้าจงไม่อาจทนฟังสตรีเหล่านี้โต้เถียงกัน เขาหนีเข้าไปในบ้านทันที
หูซื่อกล่าวอย่างโมโห “ท่านแม่สามี นั่นลูกท่านนะ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?”
“ลูกข้า ข้าจะด่าอย่างไรก็ได้ หากไม่อยากให้ข้าด่าก็อย่าป่วยสิ! หญิงเฒ่าผู้นี้เลี้ยงดูเขามาตั้งหลายปี ให้ร่ำเรียนรู้หนังสือ แต่กลับไม่ทำคุณแม้สักวัน จะด่ายังไม่ให้ด่าอีกหรือ?” จั๋วซื่อแค่นยิ้ม
“เอาเถอะ เราไม่ได้มาเพื่อฟังท่านด่าลั่นไปทั่วถนน” มู่ซืออวี่กล่าว “เรามาเพื่อพาป้าของเราไปอยู่ด้วยสักระยะ ท่านป้าไปเก็บของเถอะ”
“ข้า…” หูซื่ออยากจะปฏิเสธ ทว่าถงซื่อดึงแขนนางไป
หูซื่อมองถงซื่ออย่างสงสัย เห็นว่าอีกฝ่ายขยิบตาให้นางราวกับจะบอกบางสิ่ง
“ไม่” จั๋วซื่อแค่นยิ้ม “นางไปไหนไม่ได้”
“ไฉนจึงไปไม่ได้?” มู่ซืออวี่ถาม “นางเป็นสะใภ้ ไม่ได้ถูกขายเป็นทาสเรือน จะไปเยี่ยมเยือนบ้านญาติยังไปไม่ได้หรือ?”
เรื่องพวกนี้ต้องขึ้นอยู่กับหูซื่อ คนพวกนี้จะมาสั่งการไม่ได้
“หากข้าบอกไม่ก็คือไม่” จั๋วซื่อแค่นยิ้ม “อยากจะพาไปเยี่ยมบ้านกันก็ได้ แต่พาผีป่วยนั่นไปด้วย”
จั๋วซื่ออยากไล่บุตรคนโตออกจากบ้านนานแล้ว แต่ทางจารีตไม่อาจทำเช่นนั้น พวกนางจะถูกมองว่าไร้เมตตาหากไล่บุตรป่วยหนักออกจากบ้าน สุดท้ายก็จะไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้ใด
มีคนมาหาสองคนนี้ทั้งที จั๋วซื่อคิดว่าโยนเผือกร้อน*[1] ออกไปเสียยามนี้ได้ก็คงดี
[1] เผือกร้อน หมายถึง ปัญหายาก ๆ เปรียบเป็นเผือกร้อนที่หากถือเอาไว้ก็ลวกมือตัวเองเสียเปล่า ๆ