บทที่ 305 ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องนาง
บทที่ 305 ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องนาง
ฉู่หนิงจูดึงแขนเสื้อของลู่เซวียน “พี่หญิงมู่เขียนบทกวีได้หรือ?”
ลู่เซวียนปรายตามองนาง “ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องนาง จะรู้รึว่านางเขียนได้หรือไม่?”
“หากนางเขียนไม่ได้ ข้าจะเขียนให้นาง”
“เจ้าโง่หรือไร สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือทำให้พี่สะใภ้ของข้าอับอายขายหน้า หากเจ้าช่วยเขียนให้นาง ยังไม่สู้บอกคนเหล่านั้นว่านางเขียนบทกวีไม่เป็นดีกว่า อย่างน้อยนางก็ยังยอมรับออกมาอย่างผ่าเผย”
ลู่อี้อยากออกมาช่วยมู่ซืออวี่ ทว่าเมื่อเห็นนางส่งสัญญาณให้ เขาก็รู้ว่านางชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสียแล้ว เขาจึงไม่ก้าวออกไป
แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าต้องเขียนบทกวีเช่นไร ถึงแม้นางจะเขียนบทกวีได้ ก็คงทำได้เพียงในระดับ ‘เอ๋ เหตุใดสมองของเจ้าจึงมีแต่น้ำเช่นนี้’
ทว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อีกทั้งนางไม่อาจทนโดนดูถูกได้
นางไม่รู้วิธีเขียนบทกวี แต่ท่องบทกวีสักสองสามบทคงไม่มีปัญหากระมัง? หลังจากผ่านการศึกษาภาคบังคับมาหลายปี จะท่อง ‘ฉับพลันในสายลมวสันตฤดูหนึ่งราตรี ต้นไม้นับพันหลีฮวา*[1] นับหมื่นชูช่อบานสะพรั่ง’ อะไรเทือก ๆ นั้นไม่ได้เชียวหรือ?
คราวนี้เหลือแค่ทักษะพู่กัน…
มู่ซืออวี่หยิบพู่กันขึ้นมา จรดปลายพู่กันลงไปด้วยความมั่นใจ
“ตัวอักษรนี้ของฮูหยินลู่…” คนที่อยู่ข้าง ๆ นางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เจิ้งซินเยว่และเฉินซือจวินมองหน้ากัน
เป็นดังคาด!
หญิงชนบทจะเขียนตัวอักษรความหมายดี ๆ ได้อย่างไร?
ขายหน้าต่อผู้คนมากมายเช่นนี้ ถึงแม้ลู่อี้จะรักใคร่ภรรยาดี แต่ในใจของเขาย่อมนึกตำหนิ อย่างไรเสียสถานะปัจจุบันของเขาก็แตกต่างจากเมื่อก่อน สตรีที่ออกหน้าออกตาไม่ได้จะยืนเคียงคู่เขาได้อย่างไร?
ทว่าหากถามเพื่อนร่วมชั้นของมู่ซืออวี่ว่าจุดแข็งของนางคือสิ่งใด พวกเขาย่อมตอบอย่างแน่นอนว่า ‘ขยันหมั่นเพียร ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้’
ความสำเร็จของมู่ซืออวี่ได้มาเพราะความสามารถของตนเอง ความอุตสาหะของคนประเภทนี้ย่อมน่าหวาดกลัว นางชัดเจนกับตนเองว่าเป้าหมายคืออะไร และต้องการสิ่งใด
ในตอนที่มู่ซืออวี่มาโลกนี้เป็นครั้งแรก นางเขียนอักษรไม่สวย หากนางเป็นหญิงท่องเวลาคนอื่น ๆ เรื่องเขียนไม่สวยคงไม่ใช่ปัญหา ไม่จำเป็นต้องฝึกพู่กัน ใช้แค่ถ่านก็ยังได้
ทว่ามู่ซืออวี่ไม่เป็นเช่นนั้น นางฝึกฝนเขียนด้วยพู่กันทุกวัน
ไม่ว่านางจะเหนื่อยล้าหรือยุ่งเพียงใด นางก็จะฝึกเขียนอักษรขนาดใหญ่สักสองสามแผ่นเสมอ
ฉะนั้น ตอนนี้…
“ตัวอักษรของฮูหยินลู่ช่างโดดเด่นและทรงพลัง ไม่เหมือนที่เราเคยพบเห็นมาก่อน” คนที่อยู่ข้าง ๆ นางเอ่ยขึ้น “นี่เป็นสิ่งที่ฮูหยินลู่คิดค้นขึ้นเองหรือ?”
“ตัวอักษรช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูสิ ‘หอมหมื่นลี้ร่วงหล่นยามไร้ผู้ใด ราตรีนี้เงียบสงัด หุบเขายามวสันต์เหลือเพียงความว่างเปล่า พระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า นกป่าต่างตื่น ส่งเสียงร้องรับธารน้ำใส ปลุกพงไพรยามวสันต์’ ช่างเป็นบทกลอนที่ยอดเยี่ยม!”
เจิ้งซินเยว่และเฉินซือจวินไม่เชื่อในสิ่งที่คนเหล่านั้นยกยอปอปั้นมู่ซืออวี่
อย่าว่าแต่บทกวีเลย หญิงชนบทเช่นนั้นจะเขียนตัวอักษรดี ๆ ออกมาได้อย่างไร
ทว่าเมื่อเห็นงานของมู่ซืออวี่ที่เสร็จสิ้นแล้ว ใบหน้าพวกนางก็พลันเปลี่ยนสีทันที
ตัวอักษรโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีความอ่อนโยนของสตรี ทั้งยังมีความเป็นเอกลักษณ์และความรั้นนิด ๆ แฝงอยู่ ราวกับอัจฉริยะผู้ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ เขียนได้น่านับถือมากทีเดียว
หญิงชนบทผู้หนึ่งจะเขียนตัวอักษรเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
“ฮูหยินมักจะมอบความประหลาดใจให้เราเสมอ ทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ
“ใต้เท้าลู่โชคดีจริง ๆ! ถึงแม้ฮูหยินจะไม่ใช่เซียนสวรรค์ ทว่าก็เก่งรอบด้านเลยทีเดียว”
“ไม่ว่านางจะเป็นฮูหยินเช่นไร ถึงแม้นางจะไม่รู้ตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว นางก็เป็นฮูหยินที่ข้าลู่อี้ผู้นี้แต่งออกหน้าออกตา” ลู่อี้กล่าว
ฉู่หนิงจูปรบมือ แย้มยิ้มอย่างปลื้มปีติ “พี่หญิงมู่ร้ายกาจจริง ๆ”
ลู่เซวียนปรามนางว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นบุรุษ เจ้าหยุดทำท่าทีราวกับเด็กได้หรือไม่”
“อ้อ” ฉู่หนิงจูลดมือลง “พี่หญิงมู่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ข้าต้องไปขอคำชี้แนะจากนางหน่อยแล้ว ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นคนยอดเยี่ยมเช่นนาง”
“เจ้า? เหมือนกับนาง? ชั่วชีวิตนี้คงเป็นไปไม่ได้” ลู่เซวียนเยาะเย้ย “ทว่าทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตน เหตุใดเจ้าต้องเป็นเหมือนนางด้วย เป็นตัวเองไม่ดีหรือ?”
ในคราแรกฉู่หนิงจูเริ่มขัดเคืองอยู่บ้าง ทว่าประโยคสุดท้ายทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
นางมองลู่เซวียนด้วยความชื่นชม “ลู่เซวียน เจ้าฉลาดจริง ๆ”
ลู่เซวียน “…”
บ้าไปแล้วหรือ? พูดอะไรของนาง?
ลูกไม้ของเจิ้งซินเยว่และเฉินซือจวินที่น่ารังเกียจนักหนา วันนี้ถูกมู่ซืออวี่ทำลายได้อย่างง่ายดาย
งานเลี้ยงวันนี้จัดเตรียมได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้คนต่างชื่นชม นับถือสติปัญญาและความสามารถของมู่ซืออวี่มากกว่าเดิม นางได้ความหวังดีกลับมามากมาย
“ฮูหยินลู่ สิ่งที่ท่านใส่ลงไปบนบ่านี่เรียกว่าอะไรหรือ สวยจริง ๆ”
“นี่เรียกว่าเสื้อคลุมไหล่เมฆา ข้าวาดลวดลายเอง จากนั้นจึงนำไปให้ช่างปักช่วยทำให้ พวกท่านดูเสื้อผ้าบนร่างกายของใต้เท้าลู่ นั่นก็เป็นแบบที่ข้าวาดเช่นกัน เข้าคู่กับเสื้อผ้าบนร่างกายข้าใช่หรือไม่?”
“ว้าว ฮูหยินลู่ฉลาดจริง ๆ นี่จะเก่งเกินไปแล้ว”
“ของว่างเหล่านั้นท่านก็คิดค้นด้วยตนเอง เสื้อผ้าเหล่านี้อีก สวรรค์ ใต้เท้าลู่โชคดีจริงเชียว”
“ใช่แล้ว ๆ”
“พวกท่านรู้จักร้านที่ข้าเปิดใช่หรือไม่ นี่เป็นตั๋วสมาชิกของร้านเรา ในเมื่อมีโชคชะตาร่วมกับทุกคน เช่นนั้นตั๋วสมาชิกนี่ก็มอบให้พวกท่าน นำบัตรใบนี้มาก็จะได้ราคาที่ลดลงเหลือเพียงเจ็ดส่วน”
เจิ้งซินเยว่และเฉินซือจวินเดินไปยังมุมหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะดูถูกนางเกินไปสักหน่อย” เจิ้งซินเยว่ยิ้ม “ปัญหาครั้งนี้กลับสร้างชื่อให้นางแล้ว ต่อไปพวกเราจะทำอย่างไร?”
“วันนี้ข้าคำนวณผิดพลาดแล้ว ค่อยว่ากันเถอะ” เฉินซือจวินมองลู่อี้ที่อยู่ในกลุ่มคน “ข้าจะต้องได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแน่”
งานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์จบลงไปแล้ว
หลังจากส่งแขกคนสุดท้ายกลับไป มู่ซืออวี่ก็หุบรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วลากร่างกายที่เหนื่อยล้าของนางขึ้นรถม้าไป
ทางศาลาว่าการจัดแจงห้องหับให้เรียบร้อยแล้ว มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ จึงย้ายเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการ
อย่างไรก็ตาม นอกจากมู่ซืออวี่และลูก ๆ รวมถึงลู่อี้แล้ว มีเพียงจือเชียนและเซี่ยคุนที่ทำงานกับลู่อี้ซึ่งต้องตามมาด้วย ส่วนถงซื่อ เหวินอี้ และคนอื่น ๆ ยังอยู่ที่เรือนตระกูลลู่
หลังจากเข้าไปในรถม้า ลู่อี้ก็นวดบ่าให้มู่ซืออวี่ “ลำบากเจ้าแล้ว”
“โชคยังดีที่จัดเพียงหนึ่งครั้งต่อปี หากจัดทุกวัน ข้าก็จะไม่สนใจจริง ๆ แล้ว” มู่ซืออวี่เอนกายลงบนตัวลู่อี้
ลู่อี้ลูบผมนาง “เจ้าแสดงความสามารถของฮูหยินนายอำเภอให้เห็นแล้ว ครั้งต่อไปหากมีงานเช่นนี้อีก ไม่อนุญาตให้เจ้าออกหน้าแล้ว เพียงจัดเตรียมคนสักสองสามคนมาทำก็พอ”
“อย่างนั้นไม่ได้การ ข้ายังต้องโผล่หน้าออกไปบ้าง” มู่ซืออวี่หันมามองลู่อี้ “ข้าอยากเคียงข้างท่านไปทีละก้าว หากพบเจอปัญหาแล้วข้าวิ่งหนี ข้าจะเคียงข้างท่านไปชั่วชีวิตได้อย่างไร”
ลู่อี้ก้มลงจูบหน้าผากของมู่ซืออวี่เบา ๆ “ขอบคุณฮูหยิน”
“วันนี้ข้าก็ได้สิ่งที่ควรได้รับแล้ว ข้าได้รับคำสั่งซื้อใหญ่หลายคำสั่งซื้อ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กิจการร้านค้าของเราต้องอู้ฟู่อีกครั้งเป็นแน่”
เห็นนางชอบเงินทองขนาดนี้แล้ว ลู่อี้ก็หัวเราะออกมา
หมู่นี้เขามีเรื่องให้ต้องสะสางมากมาย ต้องปั้นหน้านิ่งทั้งวัน มีเพียงแค่อยู่ต่อหน้านางเท่านั้นที่เขาสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ได้ยิ้มและผ่อนคลายออกมาบ้าง
“จริงสิ เรื่องของแม่นางหวังที่เจ้าเอ่ยถึงวันนั้น ข้าส่งคนไปตรวจสอบดูแล้ว ได้เรื่องคืบหน้ามาบ้าง” ลู่อี้กล่าว “สองปีก่อน ทุก ๆ สองสามเดือนมักจะมีดรุณีน้อยหายตัวไปใกล้ ๆ เมืองฮู่เป่ย ที่น่าประหลาดใจคือไม่มีรายงานทางการ หากไม่ใช่เพราะคนที่ข้าส่งไปตรวจสอบลับ ๆ พบกับบุรุษผู้หนึ่งที่คู่มั่นคู่หมายหายตัวไปพอดี เกรงว่าป่านนี้คงยังไม่ได้ข่าวคราว”
[1] หลีฮวา คือ ดอกสาลี่ ซึ่งบทกวี ‘ฉับพลันในสายลมวสันตฤดูหนึ่งราตรี ต้นไม้นับพันหลีฮวานับหมื่นชูช่อบานสะพรั่ง’ เขียนโดยเชินเซิน หนึ่งในกวีชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง
[2] ‘หอมหมื่นลี้ร่วงหล่นยามไร้ผู้ใด ราตรีนี้เงียบสงัด หุบเขายามวสันต์เหลือเพียงความว่างเปล่า พระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า นกป่าต่างตื่น ส่งเสียงร้องรับธารน้ำใส ปลุกพงไพรยามวสันต์’ เขียนโดยหวังเหวย กวีในราชวงศ์ถังผู้สร้างแนวคิดทางศิลปะของความว่างเปล่าและความเงียบในบทกวี