บทที่ 28 เจ้าคิดว่ากระดูกตัวเองทำจากเหล็กงั้นหรือ
บทที่ 28 เจ้าคิดว่ากระดูกตัวเองทำจากเหล็กงั้นหรือ
หลังจากที่ท่านหมอออกไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็ปิดประตูลงแล้วค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของถงซื่อ
เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในวัยสามสิบต้น ๆ เท่านั้น เป็นอายุที่ยังอยู่ในวัยสะพรั่งสำหรับโลกอนาคตที่หญิงสาวจากมา แต่ผิวของนางกลับหยาบกร้าน มีร่องรอยแผลทั้งเล็กและใหญ่ทั่วทั้งตัว ร่างกายบอบบางผอมแห้ง ดูเป็นหนังหุ้มกระดูกไปเสียทุกส่วน
นี่คือร่างกายของสตรีวัยสามสิบกว่าอย่างนั้นหรือ ดูราวกับคนอายุเกินสี่สิบไปมากแล้ว หญิงคนนี้ตรากตรำทำงานอย่างหนักและถูกทารุณนับครั้งไม่ถ้วน ในเมื่อร่างกายทรุดโทรมได้ถึงเพียงนี้ แล้วหัวใจเล่าจะเป็นอย่างไร
นางค่อย ๆ ทายาลงบนแผลอย่างเบามือ
แม้ว่ามารดาจะไม่ได้สติ แต่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเป็นพัก ๆ คงจะต้องรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
หลังจากทายาเสร็จสิ้น มู่ซืออวี่ก็พบว่าลู่อี้ถือถังน้ำอยู่
“จริงสิ… ข้าพาแม่กับน้องชายมาด้วยโดยไม่ได้ถามความเห็นเจ้าเลย ถ้าเจ้าไม่เห็น…”
“เจ้าทำถูกแล้ว” ลู่อี้เทน้ำลงไปในตุ่ม “ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันที่นี่ เราไม่ได้อดอยากถึงเพียงนั้น”
“เจ้าไม่ว่าข้าหรือ?” มู่ซืออวี่จ้องหน้าเขา
ลู่อี้เองก็มองหน้านางเช่นกัน “แม้แต่อีกายังรู้จักที่จะเลี้ยงดูแม่ของมัน เพราะแบบนั้นตระกูลลู่ของเราจะด้อยกว่าพวกนกที่เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานได้อย่างไร”
“ขอบคุณเจ้ามาก” มู่ซืออวี่ดูสบายใจขึ้น “ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะหาเงินให้ได้มากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระของเจ้า”
ลู่อี้ขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยมองว่าเป็นภาระ”
“ไม่ได้สิ…” มู่ซืออวี่บิดตัวไปมา “มันไม่ง่ายเลยที่จะหาเลี้ยงครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว ข้าจะรบกวนเจ้าให้ดูแลทั้งแม่และน้องชายอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน”
“เจ้าแค่ดูแลพวกเขา ส่วนข้าก็หาเงิน” ลู่อี้ตอบอย่างใจเย็น “แต่ตอนนี้เตียงที่บ้านไม่กว้างพอ ข้าจะขอให้ช่างไม้มาทำเตียงเพิ่มอีก ดังนั้น…”
“ช่างไม้หรือ ไม่จำเป็นหรอก” แววตาหญิงสาวเปล่งประกาย “ข้าทำเองได้ ให้ข้าจัดการเถอะ”
ลู่อี้มองนางอย่างเงียบ ๆ
หญิงสาวเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดแปลก ๆ ออกไป
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนขี้เกียจและไร้ความรู้ จะทำเครื่องเรือนเองได้อย่างไร ผู้ชายที่ฉลาดเป็นกรดคนนี้จะไม่ระแคะระคายใช่หรือไม่
นางกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดใจ
“ข้าหมายถึง…”
“เอาสิ” ลู่อี้เดินถือถังออกมา “แต่วันนี้ค่ำแล้ว นอนเบียดกันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำก็แล้วกัน”
มู่ซืออวี่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพึมพำอยู่กับตัวเอง “ช่างเป็นผู้ชายที่ดีอะไรขนาดนี้ เหมือนข้าจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว”
หากไม่ใช่ขุมทรัพย์ก็คงเป็นวายร้ายตัวฉกาจ เมื่อนึกถึงเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับไปได้ในอนาคต มู่ซืออวี่ก็พลันกังวลใจขึ้นมา
ถงซื่อยังคงหมดสติ เป็นเรื่องยากที่จะป้อนข้าวป้อนยาให้นาง มู่ซืออวี่ใช้ไม้ไผ่ค่อย ๆ หยอดมันเข้าปากผู้เป็นแม่ โชคดีที่สามารถป้อนลงไปได้ถึงครึ่งชาม
ยามค่ำคืน ลู่จื่ออวิ๋นนอนลงข้างมู่ซืออวี่แล้วเริ่มถามคำถามมากมาย ตอนนี้เด็กน้อยไม่ได้กลัวมู่ซืออวี่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยิ่งมีความสุขมากที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมจากตัวท่านแม่
“ท่านแม่ของข้าตัวหอมจังเลย”
“หืม ข้าใช้กลีบดอกไม้มาผสมน้ำอาบน่ะ” หญิงสาวง่วงงุน แต่ก็ยังอธิบายกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ดีล่ะ คราวหน้าข้าก็จะอาบน้ำผสมกลีบดอกไม้ด้วย”
“ได้สิ”
“ท่านแม่ วันนี้ท่านน้าเล็กเก่งมาก ลูกเจี๊ยบบาดเจ็บที่ปีก ท่านน้าพันแผลให้มันด้วย เดี๋ยวก็คงจะหายแล้ว”
“ใช่ เขาเก่งมาก เจ้าชอบเขาไหม?”
“ชอบสิเจ้าคะ เพราะท่านน้าเล็กเคยช่วยข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้” ลู่จื่ออวิ๋นเล่า “ตอนนั้นข้ากับพี่ชายถูกเด็กในหมู่บ้านรังแก ท่านน้าเล็กเป็นคนไล่พวกนั้นไป เขาเป็นคนดีมาก”
บ้านในชนบทเช่นนี้ผนังบาง ไม่ป้องกันเสียงแม้แต่น้อย กระท่อมตระกูลลู่ขนาดไม่กว้างขวางนัก แบ่งออกเป็นหลายห้อง เมื่อพูดคุยกันก็ได้ยินเสียงไปทั้งบ้าน โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเช่นนี้ เสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยจึงดังไปทั่ว ทุกคนในบ้านได้ยินสิ่งที่นางพูดอย่างชัดเจน
มู่เจิ้งหานอยู่บนเตียงเดียวกับลู่ฉาวอวี่ คืนนี้ลู่อี้และลู่เซวียนจึงไปนอนด้วยกันเพราะไม่มีห้องว่างในบ้านอีกแล้ว ส่วนถงซื่ออยู่ในห้องของมู่ซืออวี่เพื่อความสะดวกในการดูแล
ความจริงแล้วหากมีเตียงที่กว้างขวางพอ การจัดห้องเช่นนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง เพียงรอให้มู่ซืออวี่จัดการมันในวันพรุ่งนี้ ทุกคนก็จะได้นอนกันอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องเบียดเสียด
อีกห้องหนึ่ง ลู่เซวียนเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “พี่ชาย ท่านหลับหรือยัง?”
“ยัง” ลู่อี้ตอบเสียงเบา
“ท่านว่า ผู้หญิงคนนั้นแปลกไปหรือไม่?”
“อืม”
“นางเปลี่ยนไปมาก เกิดอะไรขึ้นตอนที่เราไม่อยู่ นางเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ไม่รู้สิ”
“บางครั้งข้าก็รู้สึกว่ามันแปลกเกินไป นางดูไม่เหมือนคนเดิมที่ข้ารู้จัก อย่างกับถูกผีสิง”
เสียงเย็นชาของลู่อี้ดังขึ้นมาข้างหูลู่เซวียน “ถ้าเป็นผีแล้วน่ากลัวหรือเปล่า?”
เมื่อนึกถึงมู่ซืออวี่คนเก่าและนางในตอนนี้ ลู่เซวียนก็ถอนหายใจ “ท่านพูดถูก ถ้านางเป็นผีจริง ๆ ผีตนนี้ก็คงจะน่ารักนิสัยดีกว่าตัวคนก่อนหน้าเสียอีก”
…
มู่ซืออวี่ถูกปลุกด้วยเสียงจากด้านนอก นางลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่ลู่จื่ออวิ๋น เด็กน้อยยังคงหลับสนิท นางจึงใช้มืออวบดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเล็ก จากนั้นก็ลุกจากเตียงเงียบ ๆ แล้วเดินออกจากห้อง
ในลานบ้าน ลู่อี้กำลังแบกไม้เข้ามาทางประตู
เมื่อมองเห็นว่ารอบ ๆ มีท่อนไม้อีกหลายท่อนเรียงกัน นางจึงรู้ว่าเขาตื่นมานานแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?” ชายหนุ่มเช็ดเหงื่อด้วยแขนเสื้อ
มู่ซืออวี่หยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนเสาด้านข้างมาซับเหงื่อให้เขา
ลู่อี้พลันชะงักมือลง
ในเวลาที่ท้องฟ้ามืดสลัวช่วงเช้าตรู่ มองเห็นภาพรอบกายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพราะสายตาที่ยอดเยี่ยมของชายหนุ่ม จึงสามารถออกไปตัดไม้ที่ภูเขาได้อย่างไม่ลำบาก และเขาก็สามารถมองเห็นนางได้อย่างชัดเจนมากเช่นกัน
ใบหน้าอ้วนท้วนและรูปร่างอวบอัดเช่นเดิม แต่การแสดงออกของนางช่างอ่อนโยนละมุนละไม ราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งท่ามกลางขุนเขาและผืนป่า
ดอกไม้ป่าดอกน้อยไร้ชื่อไร้ราคา แต่ก็ยังคงสวยงามและยังมีกลิ่นหอมไม่เหมือนใคร สำหรับคนตกยากที่ติดอยู่ในป่าเขา ดอกไม้เป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจอันล้ำค่าที่สุด และมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้
อาจเป็นเพราะฟ้ายังมืดสลัว นางจึงเข้าใจว่าเขาคงเห็นตนเองได้ไม่ชัดนัก หญิงสาวจึงผ่อนคลายลงอย่างมาก อีกทั้งยังใช้สายตาที่เป็นตัวของตัวเองมากกว่าในตอนกลางวัน
ลู่อี้จึงได้โอกาสนี้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของมู่ซืออวี่คนใหม่นี้
แม้แต่ลู่เซวียนยังรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง เขาที่เป็นสามีจะไม่รู้ได้อย่างไร แม้ว่าคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปได้หลายครั้งตลอดชั่วชีวิต แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนอย่างกะทันหันแบบกลับดำเป็นขาวเช่นนี้
“ในที่สุด ข้าก็รู้ว่าฉาวอวี่เหมือนใคร” มู่ซืออวี่กล่าว “ผู้ชายตระกูลลู่ทุกคนไม่รู้จักรักษาสุขภาพกันบ้างเลยหรือ”
“ข้าแข็งแรงจะตาย” ลู่อี้ขมวดคิ้ว “ข้าดูแลสุขภาพของข้าอย่างดี”
“อย่างนั้นหรือ” มู่ซืออวี่มองหน้าสามี “เจ้านอนไปไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนี้ อยากเหนื่อยจนตายทิ้งให้พวกเราดูแลตัวเองกันหรือ?”
“ไร้สาระ” ลู่อี้ไม่ชอบคำพูดที่ฟังดูน่าเศร้าเช่นนั้น “เจ้าต้องทำเตียงก็ต้องมีไม้ ข้าถึงได้ตัดมาเตรียมเอาไว้ ระหว่างวันจะได้ออกไปหาล่าสัตว์บนภูเขาอย่างไรล่ะ ไม่ดีหรือ?”
“นี่มันมากเกินไป” มู่ซืออวี่รีบตอบ “เจ้าต้องเลี้ยงดูครอบครัว ข้ารู้ดี แต่ร่างกายของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ตัดไม้แล้วจะไปล่าสัตว์อีก เจ้าคิดว่ากระดูกตัวเองทำจากเหล็กงั้นหรือ ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่างเถอะ จะทำทุกอย่างให้เสร็จพร้อมกันอย่างนี้มันมากเกินไป กลับไปนอนอีกสักสองชั่วยามดีกว่า…”