สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 360 สาวงามมาแล้ว

บทที่ 360 สาวงามมาแล้ว

บทที่ 360 สาวงามมาแล้ว

อันอวี้เพิ่งตื่น จื่ออวี่บ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำอุ่น

“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”

อันอวี้ตอบกลับมาว่า “วันนี้ข้านอนเลยเวลาเสียแล้ว ไม่ต้องเตรียมอาหารเช้าให้ข้า ข้าล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็จะไปที่ร้านเลย”

“นายท่านเซี่ยกำชับไว้ก่อนไปว่าวันนี้ลาหยุดให้ฮูหยินแล้ว ไม่ต้องไปที่ร้าน ฮูหยินทานอาหารเช้าแล้วพักผ่อนได้เลยเจ้าค่ะ”

“ลาหยุดหรือ?” อันอวี้งุนงง

“นายท่านเซี่ยกำชับด้วยตัวเองว่า เขาจะขอลาหยุดกับท่านอาจารย์ฟ่านตอนที่ผ่านร้านสาวทอผ้า ฮูหยินไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ เพียงแค่พักผ่อนให้ดีก็พอเจ้าค่ะ”

อันอวี้รู้สึกว่าแก้มของนางร้อนผ่าวราวกับถูกนำไปผัดอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากบ้วนปากล้างหน้าแล้ว เมื่อเห็นจื่ออวี่นำรังนกเข้ามา แก้มของนางยิ่งแดงก่ำกว่าเดิม

ไม่ต้องเดาเลย นี่ต้องเป็นสิ่งที่เซี่ยคุนกำชับมาแน่ ๆ มิเช่นนั้นคงไม่นำรังนกมาให้กินตั้งแต่เช้าตรู่กระมัง?

“ข้าว่าอีกเดี๋ยวข้าไปร้านดีกว่า” อันอวี้เอ่ยขึ้น

“แต่นายท่านเซี่ยบอกว่ายามเที่ยงวันจะกลับมาทานข้าวกับท่านนะเจ้าคะ” จื่ออวี่มองฟ้าด้านนอก “อีกไม่นานก็เป็นยามเที่ยงวันแล้ว หากฮูหยินเดินทางไปมาจะยุ่งยากเอานะเจ้าคะ”

อันอวี้ใช้ช้อนคนรังนก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย

ระยะนี้มู่ซืออวี่งานยุ่งเป็นอย่างมาก

นางได้รับคำสั่งซื้อใหญ่จากลู่อี้ให้สร้างสวนสนุกจึงทุ่มเทแรงใจแรงกายทั้งหมดเพื่อมัน

ที่นี่เทียบกับยุคสมัยใหม่ไม่ได้ ในยุคสมัยใหม่มีของหลายอย่างที่ที่นี่ไม่มี ดังนั้นนางจึงต้องใช้ความคิดมากมายและพยายามประยุกต์ใช้กลไกที่หลากหลายแทนของในยุคสมัยใหม่เหล่านั้น

“ฮูหยิน…”

จื่อซูปลุกมู่ซืออวี่ที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในรถม้า

มู่ซืออวี่กำลังคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อถูกจื่อซูปลุก หัวคิ้วจึงขมวดมุ่นน้อย ๆ

“มีอะไรหรือ?”

“ท่านมองออกไปข้างนอกสิเจ้าคะ” จื่อซูชี้ไปข้างนอก

มู่ซืออวี่มองไปยังร้านฝั่งตรงข้าม

ร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ตรงนั้น

“เถ้าแก่เนี้ยฉี”

“ใช่เจ้าค่ะ เหตุใดเถ้าแก่เนี้ยฉีจึงมาอยู่ที่นี่?”

“หยุดรถก่อน”

รถม้าหยุดลงทันที

มู่ซืออวี่มองร้านตรงหน้านางแล้วเอ่ยว่า “ไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดวันนั้นจึงรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก เพราะการตกแต่งของร้านนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ของเถ้าแก่เนี้ยฉีนี่เอง”

“เถ้าแก่เนี้ยฉีคงไม่ได้ต้องการเปิดสาขาใหม่ที่นี่หรอกนะเจ้าคะ?” จื่อเยวี่ยนเอ่ยถาม

มู่ซืออวี่ส่ายหัว “ไม่รู้สิ”

ตามหลักแล้ว ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แม้ต้องการเปิดสาขาใหม่ก็คงไม่เร็วเพียงนั้นกระมัง?

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนประชากรในเมืองซูโจวค่อนข้างมาก การจัดงานแสดงสินค้าทำให้เมืองมีชื่อเสียงกว่าเดิม ดังนั้นการค้าที่นั่นย่อมดีกว่า แล้วเหตุใดจึงต้องมาถึงเมืองฮู่เป่ยซึ่งไม่รุ่งเรืองเท่าเมืองซูโจวเล่า?

“เถ้าแก่เนี้ยฉี” มู่ซืออวี่เรียกสตรีในชุดสีม่วงที่อยู่ในร้าน

หร่วนฉีหันกลับมามอง เมื่อเห็นนางก็ไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนึกไว้แล้วว่าต้องได้พบกัน

“นี่เป็นร้านของเจ้าหรือ?”

“อืม”

“เจ้าจะมาเปิดร้านสาขาที่นี่หรือ?”

“แน่นอน”

“ยินดีต้อนรับ!” ครั้นกล่าวว่ายินดีต้อนรับออกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดต่อ

ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แต่ก็ยากที่จะกล่าวได้ว่าสนิทสนม

“เจ้าว่างหรือไม่?” หร่วนฉีเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่นัก เจ้าพอจะแนะนำพ่อค้าไม้ให้ข้าสักคนได้หรือไม่?”

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เสียอีก”

“ท่านอาหูต้องดูแลร้านในเมืองซูโจว ร้านที่นี่ยังไม่ได้รับสมัครผู้จัดการที่เหมาะสม ช่วงนี้ข้าจึงต้องจัดการเอง”

“เจ้ามาคนเดียวหรือ?”

“เป็นเช่นนั้น พวกเรายังต้องจ้างคนเพิ่ม”

มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะแนะนำร้านที่คุณภาพดี ราคาย่อมเยา และมีเถ้าแก่นิสัยดีให้เจ้าสักสองสามร้าน”

“เช่นนั้นกล่องกลไกวันนั้น…”

“ขออภัย ข้ายังไม่ได้ศึกษามันเสียที”

“ไม่รีบร้อน เจ้าค่อย ๆ ศึกษาเถิด ข้าพยายามศึกษามันมาหลายปียังไม่พบร่องรอยใด ๆ หากเจ้าศึกษาไม่นานก็ไขปริศนาได้อย่างรวดเร็ว มีแต่จะทำให้ข้าดูโง่งมน่ะสิ”

มู่ซืออวี่พบว่าคนผู้นี้มิใช้คนพูดจาโผงผางธรรมดาจริง ๆ

“จริงสิ ไม่นานมานี้ข้าได้รับคำสั่งซื้อใหญ่มา” จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็นึกถึงแผนสร้างสวนสนุกขึ้นมา “เจ้าสนใจอยากเข้าร่วมหรือไม่?”

“ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังก่อน”

จากนั้นมู่ซืออวี่จึงบอกเรื่องสวนสนุกให้อีกฝ่ายทราบ

นี่เป็นคำสั่งซื้อใหญ่รายการหนึ่ง เป็นคำสั่งซื้อที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเมืองฮู่เป่ย

ความสามารถของหร่วนฉีเป็นที่ประจักษ์ บางทีนางอาจสามารถเสนอความคิดที่น่าสนใจให้มู่ซืออวี่ได้

“หากเจ้ามีความคิดดี ๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้ ราคาสามารถต่อรองกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของผู้ออกแบบจะคงอยู่ ข้าจะไม่เอาผลงานเจ้ามาเป็นของตัวเองแน่นอน”

“เรื่องนี้น่าสนใจจริง ๆ” หร่วนฉีรู้สึกสนใจขึ้นมา “ข้ายินดีลองดู”

มู่ซืออวี่พาหร่วนฉีไปพบพ่อค้ามากมายและทำการต่อรองร่วมงานกัน พอถึงยามอู่*[1] หร่วนฉีจึงเชิญมู่ซืออวี่ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร

“เฮ้อ การเก็บเกี่ยวปีนี้ไม่ดีเลย จะทำอย่างไรกับภาษีดี!”

“ใต้เท้าลู่คนปัจจุบันเป็นขุนนางที่ดี พวกเราไปร้องขอความเมตตา…”

“พี่หลินพูดง่ายเกินไปแล้ว ไม่ว่าใต้เท้าลู่จะดีอย่างไรก็ต้องฟังราชสำนัก ภาษีของทุกคนล้วนกำหนดไว้อย่างชัดเจน หากพวกเราไม่จ่าย ใต้เท้าลู่จะไม่ลำบากใจหรือ? พวกเราจะไม่จ่ายไม่ได้นะ!”

โต๊ะใกล้เคียงสองสามโต๊ะล้วนเอ่ยถึงปัญหาของตนเอง

ทันทีที่คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นมา คนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็เห็นด้วย ดูเหมือนหลายคนจะประสบปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน

“เจ้าเป็นกังวลกับพวกเขาหรือ?” หร่วนฉีมองมู่ซืออวี่

“ชีวิตของราษฎรไม่ง่ายดายเลย” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น

“ชีวิตของราษฎรไม่ง่าย แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่อาจช่วยเหลือคนมากถึงเพียงนั้นได้” หร่วนฉีกล่าว

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว นางก็แยกกับหร่วนฉีไปจัดการกิจการของตนเอง

“ใต้เท้าอยู่ที่ศาลาว่าการหรือไม่?” มู่ซืออวี่กลับไปยังศาลาว่าการ

“วันนี้มีคดี ใต้เท้าจึงไปดูการไต่สวนอยู่ที่โถงด้านหลังขอรับ” ต้าหนิวกล่าว

มู่ซืออวี่หยุดฝีเท้า มองดูเด็กน้อยที่ตามต้าหนิวมา

“เถี่ยโถว?”

เถี่ยโถวหัวเราะคิกคิก แล้วยกมือขึ้นลูบหัวตนเอง “ท่านอา”

“เรียกท่านอาอะไร? ควรเรียกว่าฮูหยิน” ต้าหนิวตำหนิ

“เถี่ยโถว ไม่ต้องไปฟังเขา แต่ก่อนเรียกอย่างไรก็เรียกเช่นนั้นไป” มู่ซืออวี่บอก “เจ้าตามพ่อเจ้ามาทำอะไร?”

“ฮูหยินไม่รู้ล่ะสิ เจ้าเด็กคนนี้น่ะไม่เอาไหน ไม่ยินดีไปเล่าเรียนหนังสือ ข้าไร้ทางเลือกจึงได้แต่ให้เขาติดตามมา” ต้าหนิวเอ่ย “ปกติหากข้าไม่มีภารกิจอะไร ข้าก็จะพาเขาไปฝึกวรยุทธ์ แม้ข้าจะรู้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทว่าหลังจากเข้ามาในศาลาว่าการแล้ว ข้าก็เรียนมาจากพวกเขาเล็กน้อย เหลือเฟือที่จะสอนเขาแล้ว”

“อันที่จริงแล้วเล่าเรียนหนังสือก็ไม่ใช่หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่ต้องการสอบเป็นขุนนาง อย่างไรก็ต้องรู้หนังสือไว้บ้าง มิเช่นนั้นต่อไปภายหน้าจะไม่สามารถอ่านเอกสารต่าง ๆ ของทางการได้” มู่ซืออวี่กล่าว

หลังจากยืนคุยสัพเพเหระกับมู่ต้าหนิวและลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็กลับไปที่เรือนด้านหลังศาลาว่าการ รอให้ลู่อี้ไต่สวนเสร็จก่อนที่จะไปหาเขา

“วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นฮูหยินลู่ตอนกลางวัน” ครั้นลู่อี้เห็นนาง หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย จากนั้นจึงวางพู่กันในมือลง

เบื้องหน้าของเขาเป็นคำสั่งนำจับ

“ฮูหยินลู่มาที่นี่เพื่อแบ่งเบาปัญหาของใต้เท้าลู่อย่างไรเล่า” มู่ซืออวี่รินน้ำจอกหนึ่งส่งให้เขา “วันนี้ข้าไปที่ภัตตาคาร ได้ยินผู้คนบ่นว่าไม่สามารถจ่ายภาษีปีนี้ได้ เกิดกรณีนี้เยอะหรือไม่?”

“ปีนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เก็บเกี่ยวได้น้อยจริง ๆ” ลู่อี้ตอบ “ข้าเขียนคำร้องไปแล้ว ขอให้เบื้องบนลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีบางส่วน แต่ก็ราวกับหินจมลงไปในทะเล พวกเขาไม่ตอบอะไรกลับมา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล”

“ข้ามีความคิดหนึ่ง” มู่ซืออวี่เสนอความคิดออกมา

เมื่อลู่อี้ได้ยินก็พลันหัวเราะ “ดูเหมือนว่าราษฎรเมืองฮู่เป่ยจะได้รับพรแล้ว”

[1] ยามอู่ คือ ช่วงเวลา 11.00 – 13.00 น.

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset