บทที่ 374 สีหน้าถมึงทึงของหร่วนฉี
บทที่ 374 สีหน้าถมึงทึงของหร่วนฉี
ลานหรรษากลับมาดำเนินการสร้างต่อแล้ว
กิจการของเรือนกรุ่นฝันดีขึ้นทุกวันทุกคืน ในที่สุดมู่ซืออวี่จึงมีเวลาว่างทำอย่างอื่นเสียที
“หมู่นี้เถ้าแก่เนี้ยฉีทำอะไรอยู่หรือ?” มู่ซืออวี่ถามสาวใช้สองคนข้างกาย “พวกเจ้าพบเขาบ้างหรือไม่?”
“ครั้งนี้ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ก็จ่ายเงินให้กับโรงหมอถงตั๋วไปจำนวนมากเช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเถ้าแก่เนี้ยฉีและคนของเขายุ่งยิ่งนัก พอระยะนี้ไม่มีคนไข้ จึงไม่พบนางแล้ว”
มู่ซืออวี่นำกระดาษบางส่วนออกมาจากเก๊ะ
บนกระดาษมีลวดลายแปลก ๆ ของกล่องกลไกลับที่หร่วนฉีนำมาให้ ข้าง ๆ มีการวิเคราะห์มากมาย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางทำไว้เมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้มีเรื่องวุ่น ๆ หลายเรื่องจึงไม่ได้ทำต่อ ตอนแรกนางคิดว่าตนหาร่องรอยการเปิดกล่องเจอ ทว่าตอนนี้กลับไม่หลงเหลือเบาะแสใด ๆ อีก
“ดูแค่รูปภาพย่อมไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไรเสีย ดูของจริงย่อมดีกว่า” มู่ซืออวี่ลุกขึ้น “พวกเราไปดูที่ร้านเถ้าแก่เนี้ยฉีกัน”
กิจการสาขาของ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ เป็นรองแค่เพียงเรือนกรุ่นฝันเท่านั้น เรือนกรุ่นฝันจะขายสินค้าโดยเน้นไปที่ความนิยม แตกต่างจากร้านเพียงหนึ่งเดียวที่เน้นขายผลงานชั้นเยี่ยม ดังนั้นลูกค้าของที่นี่จึงเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่มักจับจ่ายของแพง
“เถ้าแก่เนี้ยมู่มาแล้วหรือ” ผู้จัดการร้านเพียงหนึ่งเดียวทักทายมู่ซืออวี่อย่างอบอุ่น “ข้าได้ยินว่า ‘เรือนกรุ่นฝัน’ รับสมัครลูกศิษย์อีกยี่สิบคน ดูเหมือนกิจการจะใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“กิจการของพวกท่านก็ไม่เลวเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “กระทั่งบัดนี้ ข้ายังไม่พบนายช่างคนอื่น ๆ ของร้านท่านเลย ไม่จำเป็นต้องเอ่ยก็รู้ว่าเบื้องหลังของพวกท่านแข็งแกร่งเพียงใด! เถ้าแก่เนี้ยฉีอยู่หรือไม่?”
“อยู่ขอรับ เชิญด้านใน”
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปยังเรือนด้านหลัง ขณะที่กำลังจะเคาะประตูก็พลันได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาจากด้านใน “ไสหัวไป!”
“แม่นางฉี ท่านอย่าเพิ่งโกรธ หากสินสอดไม่น่าพอใจ ท่านโปรดว่ามา หากท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะไปเตรียมมาเดี๋ยวนี้” เสียงประจบเอาใจดังขึ้น “ข้าชมชอบแม่นางจากใจจริง แม่นางได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งเถอะ”
“หากยังไม่ไสหัวไปอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า?” หร่วนฉีเอ่ยด้วยความโมโห
มู่ซืออวี่ “…”
นอกจากตอนที่พบกันครั้งแรก นางยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายโมโหถึงเพียงนี้มาก่อน
วันนี้คงไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะพบเถ้าแก่เนี้ยฉีจริง ๆ
ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังจะจากไป ประตูก็เปิดออก ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ
เขามีหน้าตาหล่อเหลาเป็นทุนเดิม ทว่าบัดนี้กลับเคร่งขรึมอึมครึม เมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่ เขาก็มองนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก
เพล้ง! เสียงบางอย่างถูกปัดลงพื้นดังมาจากข้างใน
มู่ซืออวี่ยิ่งไม่กล้าเข้าไป
นางส่งสัญญาณให้สาวใช้ทั้งสอง ‘กลับ’
บ่าวทั้งคู่เข้าใจในทันที พวกนางเตรียมจะออกไปจากสถานที่ที่เพิ่งเกิดความขัดแย้งขึ้นมาหมาด ๆ แห่งนี้
“เจ้าทำอะไร?” หร่วนฉีมองมู่ซืออวี่ด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่ที่หน้าประตู
เดิมทีเขาคิดจะให้คนเข้ามาเก็บกวาด ทว่าเมื่อเห็นมู่ซืออวี่และสาวใช้ของอีกฝ่ายอยู่ที่นี่จึงเรียกนางเอาไว้
“ข้าเห็นว่าเจ้าอารมณ์ไม่ดีนัก วันหลังข้าค่อยมาพบเจ้าจะดีกว่า”
“มาถึงที่นี่แล้ว ไยจะผลัดไปวันอื่นเล่า? ข้าอารมณ์ไม่ดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะพาลโมโหใส่?” หร่วนฉีคว้าแขนของนางไว้แล้วดึงเข้าไปข้างใน
ปัง! ประตูปิดฉับลง
สาวใช้สองคนยังคงอยู่ข้างนอก
“พวกเรายังจะเข้าไปอยู่หรือไม่?” จื่อซูเอ่ยถาม
“รออยู่หน้าประตูนี่เถอะ!” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “อย่างไรเสียตอนที่เถ้าแก่เนี้ยสองคนคุยกัน พวกเราก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ภายในห้อง มู่ซืออวี่มองเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแล้วเดาะลิ้น “ถึงแม้เจ้าจะไม่ชอบคนผู้นั้น ก็คงไม่จำเป็นต้องทำลายข้าวของของตนกระมัง? ของเหล่านี้ล้วนใช้เงินซื้อมา ดูจากลักษณะภายนอกของเจ้าก็รู้แล้วว่าไม่ขาดแคลนเงินทอง”
เส้นเลือดบนหน้าผากของหร่วนฉีกระตุก
ชอบคนผู้นั้นหรือ?
ยังเหลืออีกครึ่งปีก่อนจะสิ้นสุดการเดิมพัน เขาไม่อาจกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของตนได้ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้น…
หากหลังจากนี้นางรู้ว่าเขาเป็นบุรุษ จะคิดว่าเขาโกหกหรือไม่? แต่ตอนนั้นที่เพิ่งตกลงเดิมพัน เขาดันไปรับปากแล้วว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
หร่วนฉีจิบชาที่เย็นชืดอย่างกระวนกระวายใจ
เขาเพิ่งเคยพบสหายที่เข้ากันได้เช่นนี้ ย่อมไม่อยากถูกปฏิบัติด้วยเยี่ยงคนโป้ปด
“ยังหงุดหงิดอยู่หรือ?” มู่ซืออวี่เห็นอีกฝ่ายยังคงอารมณ์ไม่ดีจึงเอ่ยถาม “ดูจากรูปโฉมของเจ้าแล้ว ย่อมต้องเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามาก เหตุใดต้องฉุนเฉียวเพียงนี้?”
“ข้ากังวลเรื่องอื่นอยู่”
หร่วนฉีรินชาให้นางหนึ่งจอก “เย็นแล้ว แต่ว่าตอนนี้อากาศร้อน ดื่มไปเช่นนี้เถอะ!”
“ขอบคุณ” มู่ซืออวี่กล่าวถึงจุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้ “เจ้านำกล่องใบนั้นมาด้วยกระมัง?”
“อืม”
“ขอข้าดูหน่อย ระยะนี้ข้าพอมีเวลาว่าง ข้าจะลองศึกษามันดู”
หร่วนฉีเอากุญแจที่เอวไปเปิดตู้ภายในห้อง และนำกล่องเก่าแก่ใบนั้นออกมาวางบนมืออีกฝ่าย
มู่ซืออวี่ลองพลิกไปพลิกมาตามความคิดของตน
หร่วนฉีเห็นนางจดจ่ออยู่กับการหมุนไปหมุนมาก็ไม่ได้รบกวน เขานั่งลงที่โต๊ะและลงมือวาดรูป
“เถ้าแก่…” ผู้จัดการฮวาเดินเข้ามา ทว่าเมื่อเห็นมู่ซืออวี่ เขาจึงไม่กล่าวต่อ
“มีเรื่องอะไร?” หร่วนฉีเอ่ยถาม
“มีข่าวมาจากทางเมืองหลวงแล้วขอรับ” ผู้จัดการฮวานำจดหมายฉบับหนึ่งออกมา
หร่วนฉีเปิดจดหมายออกแล้วกล่าวว่า “รู้แล้ว”
ผู้จัดการฮวาชำเลืองมองมู่ซืออวี่
ทว่าอีกฝ่ายกลับจมจ่อมในความคิดของตน เดิมทีก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรกัน ผู้จัดการฮวาจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา เถ้าแก่เนี้ยมู่ผู้นี้ไม่เหมือนฮูหยินของขุนนางแม้แต่น้อย
หลังจากผู้จัดการฮวาไปแล้ว จึงได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ จากกลอนของกล่องกลไกลับดังขึ้น
ดวงตาของมู่ซืออวี่สว่างวาบ นางหันกลับมามองหร่วนฉีด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนข้าจะคิดถูก”
สายตาของหร่วนฉีพลันฉายแววยินดีขึ้นมาเช่นกัน
“เจ้าทำได้อย่างไร?”
“ข้าเพียงแค่ใช้…”
มู่ซืออวี่อธิบายให้หร่วนฉีฟัง
หร่วนฉีฟังสิ่งที่นางอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ มองนิ้วของนางพลิกกลไกไปมา ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเป็นอย่างยิ่ง
จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็หยุดพูด
หร่วนฉีนึกฉงน มองนางด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“เถ้าแก่เนี้ยฉี ผิวของเจ้าดีเกินไปแล้ว”
ผิวหร่วนฉีมองไม่เห็นแม้กระทั่งรูขุมขน ทั้งสองเป็นสตรีเหมือนกัน เหตุใดจึงห่างชั้นกันถึงเพียงนี้?
ขอแค่เพียงมีเวลาว่าง มู่ซืออวี่ก็จะเตรียมแผ่นแปะหน้ามาแปะหน้าตนทุกวัน ผิวนางจึงอ่อนนุ่มกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าเมื่อเทียบกับหร่วนฉีแล้วกลับแตกต่างกันคนละโลกเชียวล่ะ
หร่วนฉีหน้าแดงเรื่อขึ้นมา เขากระแอมเบา ๆ “รูปโฉมเป็นเพียงเปลือกนอก มีอะไรให้ต้องสนใจ?”
“นั่นเป็นเพียงสิ่งที่สตรีงามล้ำเช่นเจ้าจะกล้าเอ่ย หากผู้อื่นกล่าวเช่นนี้คงถูกต่อว่าไปแล้ว” มู่ซืออวี่ส่ายศีรษะเบา ๆ “พวกเรามาคุยกันเรื่องโครงสร้างของกลไกนี้ต่อเถอะ”
หร่วนฉีตั้งใจฟังสิ่งที่มู่ซืออวี่อธิบายโดยละเอียด ยิ่งฟังมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากเท่านั้น “สิ่งเหล่านี้ที่เจ้ากล่าวมาข้าล้วนไม่เข้าใจ”
“มันค่อนข้างซับซ้อนจริง ๆ”
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีในยุคนี้ กว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็เป็นยุคของชนรุ่นหลังอีกรุ่นหนึ่งแล้ว
“ถึงแม้ข้าจะพอรู้คร่าว ๆ ทว่าหากต้องการเปิดมันย่อมไม่ง่ายเพียงข้ามคืน”
“อย่างน้อยเจ้าก็คิดวิธีออก คนในตระกูลพวกเขาศึกษามันมาหลายปีแต่กลับไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย เอาอย่างนี้ เจ้าไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟัง เพียงแค่เปิดมันก็พอ”
“ได้” มู่ซืออวี่พยักหน้า “ข้าจะลองดู”
ภายในห้องเงียบสงบเป็นอย่างมาก
หร่วนฉีจัดการสมุดบัญชีเหล่านั้นจนแล้วเสร็จ พอเขาหยุดมือลงก็ยังคงเห็นมู่ซืออวี่กำลังศึกษามันอยู่เช่นเดิม
เมื่อได้กลิ่นอาหารโชยมาในอากาศจึงรู้สึกหิวขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “ข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”
“แต่ข้ายังเปิดไม่ได้เลยนะ” มู่ซืออวี่ยังไม่อยากยอมแพ้ “ชั้นหกปลดได้แล้ว ไม่รู้ว่ายังเหลืออีกกี่ชั้น”
“ไม่รีบร้อน อย่างน้อยก็พบเบาะแสแล้ว” หร่วนฉีกล่าว “ไปเถอะ!”