บทที่ 381 เจ้าต้องรู้ว่าเมื่อใดควรหวนกลับ
บทที่ 381 เจ้าต้องรู้ว่าเมื่อใดควรหวนกลับ
“ท่านจัดคนที่ไว้ใจได้ไปส่งสมุนไพรที่นั่น ระหว่างนั้นก็สอบถามข่าวคราวมาสักหน่อย” มู่ซืออวี่ย้ำ
เวินเหวินซงรับปาก
“คนไข้ที่ทนทุกข์จากโรคฝีดาษเมื่อไม่นานมานี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” นางถามอีกครั้ง
“ข้ายังไม่ได้สอบถามเรื่องนี้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปติดตามดูเสียหน่อย” มู่ซืออวี่เอ่ย “ถึงอย่างไรก็เพิ่งหาย ไม่รู้ว่ามีผลข้างเคียงอะไรตามมาอีกหรือไม่ ถามให้ชัดเจนย่อมดีกว่า”
เวินเหวินซงรีบตระเตรียมสมุนไพรจำนวนหนึ่งและสิ่งที่จำเป็นส่งไปที่นั่น จากนั้นก็ไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคฝีดาษพร้อมถามไถ่อาการ
“ฮูหยิน” จื่อซูส่งรังนกถ้วยหนึ่งมาให้มู่ซืออวี่ “ท่านทานอะไรบ้างเถิด ช่วงนี้หักโหมเกินไปแล้ว ร่างกายท่านผ่ายผอมลงไปไม่น้อย หากใต้เท้ากลับมาเห็นจะเศร้าใจเอาได้นะเจ้าคะ”
“เศร้าใจน่ะมันแน่อยู่แล้ว แต่ข้าเกรงว่าใต้เท้าจะคิดว่าเราไร้ประโยชน์ ไม่สามารถดูแลรับใช้ฮูหยินได้ จากนั้นก็จะหาผู้อื่นมาแทนที่ด้วยความโกรธ ฮูหยินช่วยพวกเราด้วยเถิด พวกเรายังอยากติดตามท่านไปนาน ๆ นะเจ้าคะ!” จื่อเยวี่ยนบ่น
มู่ซืออวี่บีบเนื้อรอบเอวตนเองแล้วเอ่ยว่า “ถึงว่าล่ะ เอวของข้าบางลงอีกแล้ว ตอนที่ข้าอยากลดน้ำหนัก น้ำหนักกลับไม่ลด แต่ตอนที่ข้าไม่อยากลด น้ำหนักกลับลดเสียอย่างนั้น”
มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่ศาลาว่าการตอนที่ลู่อี้ไม่อยู่ นับวันเวินเหวินซงยิ่งไร้กำลังใจลงไปเรื่อย ๆ หลายครั้งเวลาเขาจนมุม มู่ซืออวี่มักจะเป็นคนที่เสนอความคิดดี ๆ ขึ้นมา ดังนั้นเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งใดก็จะไปหานาง
ณ เมืองเตียนอวี้ หมู่บ้านสกุลหลิ่ว
ลู่อี้อยู่ในชุดสีเทา ใบหน้ามีผ้าคลุมมิดชิดกำลังเดินออกมาจากห้องคนไข้ฝีดาษ เมื่อเขาเห็นลู่เซวียนแบกตระกร้าใบหนึ่งไว้บนหลัง จึงเอ่ยถาม “ไม่มียาแล้วหรือ?”
ลู่เซวียนพยักหน้าเบา ๆ “ไม่มียาแล้ว ทางเมืองเตียนอวี้มีความเคลื่อนไหวหรือไม่?”
“ส่งคนไปที่นั่นแล้ว คนที่ข้าส่งไปกล่าวว่า พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าประตูเมืองด้วยซ้ำ พอได้ยินว่าเป็นคนจากหมู่บ้านสกุลหลิ่วก็แทบจะถูกทุบตีตาย” ลู่อี้เย้ยหยัน “ใต้เท้าเมืองเตียนอวี้ท่านนั้นกลัวตายจนโง่งมไปแล้วจริง ๆ”
“พวกเขาไม่รู้หรือไรว่าพวกเราล้วนทานยาแล้วทุกคน อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ติดโรค?” เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยด้วยความโมโห
“พวกเขารู้ แต่พวกเขาไม่เชื่อ” นักการเกาเดินเข้ามาด้วยท่าทีเหนื่อยล้า “โรคนี้อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ทว่าผู้ป่วยโรคฝีดาษที่อยู่ที่นี่เห็นได้ชัดว่าอาการย่ำแย่กว่าเมืองพวกเรานัก ยาที่มีตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ”
“เราส่งข่าวออกไปไม่ได้” ลู่เซวียนเอ่ย “โชคดีที่บนภูเขาด้านหลังยังพอมีสมุนไพรอยู่บ้าง ช่วงนี้ข้าไปเก็บมาได้มากพอควร คงยื้อเวลาออกไปได้อีกสองสามวัน อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องหาวิธีไปซื้อสมุนไพรมาเพิ่ม”
“ข้าจะไปเอง” ลู่อี้เอ่ยเสียงเย็น “ดูซิว่าพวกเขาจะกล้าหยุดข้าหรือไม่”
ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอก ก่อนจะรายงานด้วยความตื่นเต้น “ใต้เท้า มีคนมาส่งยาแล้วขอรับ”
ลู่อี้และคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยแววตาว่างเปล่า
พวกเขารุดไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน
“ใต้เท้าลู่” นักการหวังประกบมือคำนับ “ฮูหยินให้พวกเรามาส่งสมุนไพรและสิ่งของที่จำเป็นให้ขอรับ ไม่รู้ว่าขาดเหลืออะไรหรือไม่”
“ฮูหยิน?” เอ้อร์หนิวเอ่ยถาม “ใช่พี่สะใภ้ของพวกเราหรือไม่?”
ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ซืออวี่ พวกเขาเรียกนางว่าฮูหยิน ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง พวกเขายังคงเรียกนางว่าพี่สะใภ้ดังเดิม
ทั้งศาลาว่าการต่างก็ให้ความเคารพมู่ซืออวี่เป็นอย่างมาก คำว่า ‘พี่สะใภ้’ นี้เป็นความนับถือที่พวกเขามีต่อนาง
“ใช่” นักการหวังเอ่ย “พวกเรามีฮูหยินกี่คนงั้นหรือ?”
“ฮูหยินยังคงคิดได้รอบคอบยิ่งนัก” เซี่ยคุนเอ่ย “สมุนไพรนี่ช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนของเราได้พอดี”
“นักการหวัง เมืองฮู่เป่ยเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่อี้สั่งให้พวกเขาขนย้ายข้าวของที่นำมา จากนั้นจึงเรียกนักการหวังไปอีกด้านเพื่อสอบถามสถานการณ์ในเมืองฮู่เป่ย
นักการหวังพรรณนาการอุทิศตนให้กับเมืองฮู่เป่ยของมู่ซืออวี่เป็นฉาก ๆ
“ใต้เท้า ฮูหยินช่างเก่งกาจยิ่งนัก ถ้ามีนางอยู่ที่เมืองฮู่เป่ย ไม่ว่าปัญหามากมายเพียงใดล้วนคลี่คลายได้ ทว่าทุกคนยังคงหวังว่าใต้เท้าจะสามารถกลับไปได้โดยเร็ว เช่นนั้นฮูหยินจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง”
“ใกล้แล้วล่ะ หากมีของชุดนี้ที่พวกเจ้านำมาส่ง ข้าคงสามารถกลับไปได้ภายในหนึ่งเดือนแน่” ลู่อี้เอ่ย “แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้ว คงต้องให้เจ้าไปที่หนึ่งสักเที่ยว…”
ใต้เท้าจางเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน หลังจากสะสางปัญหาที่ข้าหลวงคนก่อนทิ้งไว้ เขาก็ตรวจนับรายการของกำนัลที่ถูกส่งมาจากที่ต่าง ๆ
“ลู่อี้…” เขาชี้ไปที่รายการของกำนัลรายการหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นายอำเภอเมืองฮู่เป่ย…”
“ใต้เท้า มีปัญหาอันใดหรือขอรับ?” คนสนิทข้างกายเขาเอ่ยถาม
“คนผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง” ใต้เท้าจางกล่าว “ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าฉิน ไม่นานมานี้ ใต้เท้าฉินเอ่ยถึงลู่อี้ในจดหมายที่เขียนถึงข้า ทั้งยังกล่าวว่าที่เขาสามารถเลื่อนขั้นได้ล้วนต้องขอบคุณคนผู้นี้”
“ก็แค่นายอำเภอผู้หนึ่ง…”
“ระยะนี้ในเมืองฮู่เป่ยมีความเคลื่อนไหวมากมาย” ใต้เท้าจางเอ่ย “คนผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้น!”
ปลัดอำเภออวี๋เดินเข้ามาจากด้านนอก เขาประกบมือคำนับใต้เท้าจาง “ใต้เท้า ระยะนี้ในเมืองมีข่าวลือ เป็นที่โจษจันของผู้คนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หลังจากได้ยินข่าว ข้าน้อยก็มารายงานใต้เท้าทันที ไม่รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญหรือไม่”
“เล่าให้ข้าฟังเถอะ”
“ราษฎรในเมืองต่างกล่าวว่าเมืองเตียนอวี้มีโรคฝีดาษระบาด ทว่านายอำเภอท้องที่กลับขี้ขลาดตาขาวเอาแต่กลัว หากนายอำเภอข้างเคียงไม่นำคนมาช่วย…”
สองวันต่อมา เมื่อนายอำเภอเมืองเตียนอวี้ลุกจากเตียง หนังสือที่ส่งลงมาจากเบื้องบนก็มาถึง โดยมีคำสั่งให้เมืองเตียนอวี้ให้ความร่วมมือกับลู่อี้อย่างเต็มที่ หากไม่ยินยอมจะถูกลงโทษตามกฎหมาย
ด้วยความร่วมมือของทุกคน ท้ายที่สุดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคฝีดาษในเมืองเตียนอวี้จึงจบลง
“ใต้เท้าลู่ ข้าได้เตรียมสุราที่ไม่แรงนักไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นไปดื่มด้วยกันสักสองสามจอกเป็นอย่างไร?” นายอำเภอเมืองเตียนอวี้เอ่ย
“ไม่จำเป็น” ลู่อี้ดูเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าจากเมืองฮู่เป่ยมานานแล้ว ข้าคิดถึงเรื่องราวในเมืองมากมายที่ต้องสะสาง ตอนนี้ข้าเพียงอยากรีบกลับไปเท่านั้น”
“ถึงแม้จะรีบร้อนเพียงใด อย่างไรก็ต้องกินต้องดื่มใช่หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นแล้ว” ลู่อี้ประกบมือคำนับแล้วหมุนตัวจากไป
ปลัดอำเภอเมืองเตียนอวี้เอ่ยอย่างกังวล “ใต้เท้า ไม่ค่อยดีเลยนะขอรับ”
“ลู่อี้ผู้นี้… ต้องเป็นคนที่จ้องเล่นงานข้าแน่ ๆ” นายอำเภอเมืองเตียนอวี้เอ่ยอย่างเลือดเย็น “เขาอยากเล่นบทคนดีจึงให้ข้าเล่นเป็นผู้ร้าย ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปเป็นอันขาด”
ปลัดอำเภอมองผู้บังคับบัญชา แววตาฉายความผิดหวังขึ้นมาแวบหนึ่ง
ตั้งแต่ลู่อี้พาหมอที่รักษาโรคฝีดาษมาได้ ปลัดอำเภอก็พยายามเกลี้ยกล่อมนายอำเภอเมืองเตียนอวี้ให้ฉวยโอกาสนี้สร้างคุณงามความดีและติดตามลู่อี้ดูแลคนป่วย ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมฟังและยืนกรานว่าไม่อยากแบกรับความเสี่ยง
ตอนนี้เมื่อรักษาโรคฝีดาษได้แล้ว ชื่อเสียงความมีคุณธรรมของลู่อี้จึงขจรขจายไปไกล ส่วนเขากลับได้ชื่อว่าเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวความตาย มาถึงตอนนี้นายอำเภอเมืองเตียนอวี้ยังไม่ยอม ‘ปล่อย’ ลู่อี้ไปอีก เกรงว่าแม้แต่หมวกขุนนางที่สวมอยู่ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะ ‘ไม่ปล่อย’ อีกฝ่ายไปกัน
ลู่อี้ขี่ม้า บึ่งไปยังเมืองฮู่เป่ยพร้อมกับคนของตน
ราษฎรเมืองเตียนอวี้ห้อมล้อมสองข้างทาง ตะโกนเรียกชื่อเขาคนแล้วคนเล่า
“ใต้เท้า ท่านเป็นขุนนางที่ดีจริง ๆ…”
“หากท่านได้มาเป็นใต้เท้าของอาณาประชาราษฎร์ ย่อมเป็นพรจากสวรรค์…”
“พวกเราไปเมืองฮู่เป่ยได้หรือไม่?”
เซี่ยคุนขี่ม้ามาข้างลู่อี้แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้า ท่านได้ยินเสียงของพวกเขาหรือไม่? ขอแค่ท่านปีนป่ายสูงขึ้นไปอีก ท่านก็จะได้เป็นวีรบุรุษของคนมากมาย ชีวิตของพวกเขาขมขื่น พวกเขาต้องการให้ท่านเติมน้ำหวานให้”
ลู่อี้เหลือบตามองเซี่ยคุณ “ข้าจำได้ว่าท่านเกลียดขุนนาง”
“นั่นเป็นเมื่อก่อน” เซี่ยคุนเอ่ยหน้าตาย “ตอนนี้ ข้าเชื่อว่าใต้เท้าช่วยข้าได้”
ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองฮู่เป่ย