สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 383 ฆาตกรในตอนนั้น

บทที่ 383 ฆาตกรในตอนนั้น

บทที่ 383 ฆาตกรในตอนนั้น

อันอวี้ยิ้มน้อย ๆ วางมือเล็ก ๆ ของนางลงบนฝ่ามือใหญ่โตของเซี่ยคุน จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่หญิงมู่เพียงล้อเล่นเท่านั้น”

“ใช่แล้ว คนแถวนี้นับวันยิ่งเป็นทาสภรรยา ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว

เซี่ยคุนโต้กลับ “คำพูดนี้ขอส่งคืนใต้เท้าลู่”

ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เหล็กอะไร อยู่ต่อหน้าฮูหยิน นางกล่าวอะไรล้วนเป็นเช่นนั้น”

เซี่ยคุนส่งสองคำให้กับเขา ‘เหอะเหอะ’

ตอนนี้ดูเหมือนนับวันจะยิ่งไร้ยางอายขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

ดูเหมือนเป็นขุนนางก็มีประโยชน์เช่นกัน สามารถงอกหนังหน้าขึ้นมาอีกได้

“ยามเที่ยงทานข้าวด้วยกันหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามเซี่ยคุน

เซี่ยคุนหันมองอันอวี้ “เจ้าว่างหรือไม่?”

อันอวี้พยักหน้าเบา ๆ “วันนี้ข้าลาครึ่งวัน”

ท่านหมอจูและถงซื่อก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ยามเที่ยงทุกคนจึงทานข้าวพร้อมกัน บรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียวเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อทานข้าวเสร็จ ทุกคนกำลังจะออกไปแล้ว กลับพบมู่ต้าซานออกมาจากครัวด้านหลัง ในมือถือผ้าขี้ริ้ว เห็นได้ชัดว่าทำงานอยู่ที่นี่

เมื่อมู่ต้าซานเห็นพวกเขา ใบหน้าย่นของเขาก็เต็มไปด้วยความอับอาย

ระยะนี้ผิวของถงซื่อนุ่มนวลอิ่มน้ำขึ้นมาก เพราะได้ทานอาหารดี ๆ และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ สภาพผิวของนางจึงดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก กอปรกับสภาพคนท้อง ทั่วทั้งกายของนางจึงอาบย้อมไปด้วยความอ่อนโยนเปี่ยมเมตตา ดูราวกับตอนสาว ๆ

“พวกเราไปกันเถอะ” ท่านหมอจูโอบมือรอบบ่าถงซื่อ ปกป้องนางไว้ใต้ปีกของเขา

มู่ต้าซานมองตามหลังของพวกเขาที่ค่อย ๆ หายไป

ผู้จัดการร้านเร่งเร้าขึ้นว่า “เจ้าจะยืนนิ่งอึ้งอยู่ไย รีบไปเก็บโต๊ะเร็วเข้า ยังมีลูกค้าท่านอื่นรออยู่อีกนะ!”

มู่ต้าซานได้สติกลับคืนมา เขาตอบรับไปว่า “จะไปเก็บเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“หากไม่ใช่เพราะเห็นเจ้าน่าสงสาร ข้าคงไม่เก็บเจ้าไว้เป็นผู้ช่วยที่นี่ เจ้าดูเจ้าสิ แก่ถึงเพียงนี้แล้ว เรี่ยวแรงก็ไม่แข็งแรงเท่าคนหนุ่มสาว สมองยังไม่ไวเท่าคนหนุ่มคนสาวอีก ข้าจะเก็บเจ้าไว้ทำอะไร? จริง ๆ เลย”

มู่ต้าซานเร่งมือให้เร็วขึ้น

ผู้จัดการร้านผู้นั้นไม่ได้ใจดีนัก

เขายินดีเก็บมู่ต้าซานไว้เพราะค่าแรงของมู่ต้าซานน้อยนิด หากไม่ใช่เพราะเขาขอค่าแรงเพียงครึ่งหนึ่งของคนอื่น ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บชายวัยนี้ไว้ทำงาน

ฝนตกหนัก ชะงักการดำเนินงานของทั้งเมืองฮู่เป่ย ลานหรรษาปิดเป็นการชั่วคราว ร้านอื่น ๆ ก็ไม่มีลูกค้า ทุกคนจึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน รอให้ฝนหยุดตก

ลู่อี้ใช้โอกาสนี้จัดการกับเอกสารกองโตที่ทับถมไว้ระยะนี้

“ใต้เท้า” เวินเหวินซงเดินเข้ามา “ห้องเก็บหลักฐานมีรอยรั่วขอรับ เอกสารข้างในล้วนเปียกชุ่มแล้ว”

“ไม่มีห้องข้าง ๆ ที่เหมาะสมแก่การจัดเก็บชั่วคราวหรือ?” ลู่อี้ถาม “ย้ายไปไว้ที่อื่นเสียก่อน รอฝนหยุดตกแล้วค่อยซ่อมแซม”

“ขอรับ”

เหล่านักการแบกขนของท่ามกลางสายฝน

หลังจากลู่อี้จัดการเอกสารของทางการในมือเสร็จ ได้ยินเสียงข้างนอกยังไม่หยุดลง จึงเดินไปตรวจดูสถานการณ์

“เป็นอย่างไร? เสียหายร้ายแรงหรือไม่?” ลู่อี้มอง ‘หลักฐาน’ ตรงหน้าเขา

“อย่างอื่นยังสภาพดีขอรับ ยกเว้นหลักฐานที่เป็นกระดาษ เสียหายอย่างหนักเลยขอรับ” เวินเหวินซงเอ่ย “แต่ว่าโชคดีที่ของเหล่านี้เป็นของแต่เก่าก่อน ถึงแม้เสียหายไปก็ไม่กระทบอะไรมากขอรับ”

“ของเก่าหรือ?”

“ขอรับ สิ่งของที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นหลักฐานในคดีที่ไม่อาจปิดได้ หลักฐานที่ได้รับการตรวจสอบและตัดสินคดีแล้ว หากไม่ถูกกำจัดทิ้งก็จะให้ครอบครัวของฝ่ายที่เกี่ยวข้องเก็บเอาไว้ หลักฐานที่อยู่ในห้องหลักฐานนี้ล้วนเป็นหลักฐานที่ไม่ได้ถูกรับกลับไป บางอย่างพบบนตัวของผู้ตาย ขณะที่บางอย่างอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ”

“คดีนี้ยังไม่ได้รับการตัดสินหรือ?”

“ตัดสินแล้วขอรับ ทว่าไม่พบฆาตกร ใต้เท้าคนก่อน ๆ อาจจับ ‘ฆาตกร’ สักคนมาตามอำเภอใจ ไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรตัวจริงนั้นเป็นใคร”

“ทว่าใต้เท้าฉินแตกต่างออกไป หากเขาพบคดีที่ลึกลับซับซ้อน เขายอมปล่อยผ่านไปมากเสียกว่าจะสุ่มจับใครสักคนมาจัดการ”

“ข้าทราบแล้ว” ลู่อี้เหลือบมอง ‘หลักฐาน’ เหล่านั้น “ข้าต้องการรายงานของคดีต้องสงสัยที่ปิดไม่ได้เหล่านี้”

“ใต้เท้า ท่านคงไม่อยากฟื้นคดีขึ้นมาอีกครั้งกระมัง คดีเหล่านี้แม้แต่เมื่อก่อนยังไขไม่ได้ ตอนนี้ผ่านไปหลายปีเพียงนี้แล้ว แม้แต่กระดูกก็เกรงว่าจะไม่เหลือแล้ว พวกเราจะสืบอย่างไร?” เวินเหวินซงพยายามโน้มน้าว

“ข้ารู้ว่าท่านเป็นขุนนางที่ดีของอาณาประชาราษฎร์ สิ่งเหล่านี้แม้แต่เจ้าทุกข์เองคงลืมเลือนไปนานแล้ว อีกทั้งยังไม่มีอะไรเกี่ยวกับท่าน นั่นเป็นเพียงความยุ่งเหยิงเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีผู้ใดกำหนดว่าท่านต้องสะสางสิ่งเหล่านี้นะขอรับ”

“เจ้าเพียงแค่ทำตามที่ข้ากล่าว”

ลู่อี้ต้องการฟื้นคดีที่โด่งดังเมื่อปีนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เจ้าทุกข์ของคดีที่ไขไม่ได้ก็มายังศาลาว่าการเพื่อร้องเรียนอีกครั้ง

ในแต่ละวันลู่อี้ไปหลายสถานที่ บางครั้งยังค้างคืนอยู่ในหมู่บ้านนั้น ๆ เพียงเพื่อตามหาร่องรอยต่าง ๆ แม้กระทั่งทำการเปิดโลงเพื่อชันสูตรอีกครั้ง

คดีแล้วคดีเล่าคลี่คลายลง ชื่อเสียงของผู้เที่ยงธรรมลู่โด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ เล่าลือกันไปปากต่อปากของเหล่าพ่อค้าวาณิช

มู่ซืออวี่เดินถือน้ำแกงไก่เข้าไปในเรือนหลังที่ว่าการอำเภอ

ลู่อี้กำลังหารือเรื่องคดีกับเวินเหวินซงและคนอื่น ๆ

นางไม่ได้เข้าไปรบกวน เพียงแค่วางน้ำแกงไก่ลงบนโต๊ะ แล้วหยิบตำราขึ้นมาอ่าน

“ใต้เท้าหมายความว่า ผู้ที่บุกเข้าไปในบ้านท่าน ฆ่าบิดามารดาของท่าน และทำให้ลู่เซวียนได้รับบาดเจ็บคือนักโทษประหารผู้นี้หรือ?” เวินเหวินซงเอ่ยถาม

“ใช่”

“ใต้เท้ามองออกได้อย่างไร?”

“ข้าอ่านบันทึกคดีแล้ว วิธีการที่คนผู้นี้หลบหนีออกจากคุก วิธีที่เขาใช้หลบหนีไปยังหมู่บ้านสกุลลู่ และวิธีที่เขาใช้บุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้าน เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดกับเราตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ในโลกใบนี้จะมีความบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร?” น้ำเสียงของลู่อี้เยือกเย็น

“คดีนี้ปิดลงเช่นนี้ แล้วความคับข้องใจของพ่อแม่ข้า ผู้ใดจะมารับผิดชอบ? ยังมีลู่เซวียน เขาถูกคนผู้นั้นทำร้าย จากนั้น เขาก็ต้องติดอยู่บนเตียงโรงหมอเป็นเวลาหลายปี แทบจะไม่รอดพ้นความตายหลายครั้งหลายครา”

“เขาตายแล้ว ถึงแม้ใต้เท้าจะโกรธแค้น ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ หรือท่านยังจะลากคนตายออกมาจากหลุมศพ ถึงแม้ท่านจะต้องการทำเช่นนั้น แต่เขาถูกฝังอยู่ในสุสานหมู่ ท่านย่อมไม่อาจหาพบแล้ว”

“คนผู้นี้ไม่ใช่นักโทษในเมืองฮู่เป่ย แต่ถูกส่งมาจากที่อื่น” ลู่อี้ชี้ไปยังที่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เขาทำอะไรมา และเหตุใดต้องมารับโทษประหารที่เมืองฮู่เป่ย เรื่องนี้ล้วนต้องตรวจสอบให้กระจ่างกระมัง”

“ใต้เท้าต้องการตรวจสอบ พวกเราย่อมให้ความร่วมมือ” เซี่ยคุนกล่าว “ใต้เท้าคิดจะตรวจสอบอย่างไร?”

“ก่อนอื่น ข้าต้องตรวจสอบตัวตนของเขาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับเขา เหตุใดเขาจึงหลบหนีออกจากคุก หลังจากหลบหนีออกจากคุกแล้ว เหตุใดจึงเลือกหมู่บ้านสกุลลู่ นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่”

เซี่ยคุนและเวินเหวินซงเดินออกไปแล้ว

ลู่อี้เอนตัวลงบนเก้าอี้ ค่อย ๆ ปิดตาลง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

มู่ซืออวี่เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำแกงไก่

เมื่อได้ยินเสียง ลู่อี้จึงลืมตาขึ้นเห็นนาง เขาเอ่ยถามว่า “เจ้ามานานเพียงใดแล้ว?”

“ข้ามาที่นี่ตั้งแต่ท่านบอกว่าอยากตรวจสอบนักโทษประหารผู้นี้” มู่ซืออวี่กล่าว “ระยะนี้ท่านสืบหลายคดีแล้ว ข้ารู้สึกเป็นห่วง จึงทำน้ำแกงไก่มาให้เป็นพิเศษ น้ำแกงไก่นี้ใช้เวลาเคี่ยวถึงสามชั่วยาม ท่านดมกลิ่นหอมของมันดูสิ รับรองว่าท่านกลืนมันได้เพียงแค่ใช้ปลายลิ้นละเลียด”

ลู่อี้ยกช้อนขึ้นมา ตักขึ้นมาหนึ่งคำส่งเข้าปากนาง “เจ้ากินก่อน เจ้าบอกว่าข้าผอมลง แต่เจ้าไม่เห็นหรือว่าเจ้าก็ผอมลงเช่นกัน ให้ข้ากินก็ได้ แต่เจ้าต้องกินก่อน”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset