บทที่ 402 ข่าวดีของลู่เซวียน
บทที่ 402 ข่าวดีของลู่เซวียน
กลุ่มบุรุษยังคงคุยกันเรื่องงาน
เมื่อเอ่ยถึงโอวหยางเจี๋ย พวกเขายังคงถกกันว่าโอวหยางเจี๋ยวางแผนอะไรต่อไป ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจส่งคนไปลอบสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหว เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันหากอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริง ๆ
สำหรับโอวหยางเจี๋ยผู้นี้ ทุกคนล้วนมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกใจเมืองฮู่เป่ย เป็นไปไม่ได้ที่แกะอ้วนตัวนี้จะยอมแพ้ไปอย่างง่ายดาย หากเขาถอยไปอย่างนี้ ภายหน้าจะต้องมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกิดขึ้นแน่นอน
ขณะที่มู่ซืออวี่เดินผ่านสวน นางเห็นฟ่านเหยี่ยนยืนอยู่ไม่ไกล เขากำลังมองลู่จื่ออวิ๋นกอดเสี่ยวเฮย เขาหยอกล้อนางครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าผ่อนคลายกว่าปกติ
เมื่อหันไปมองลู่ฉาวอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เขานั่งอยู่บนโต๊ะคอยฟังผู้ใหญ่คุยกัน ต่อให้สิ่งที่สนทนาจะเป็นเรื่องงานของทางการ เขาก็ยังคงฟังด้วยความเพลิดเพลิน ราวกับเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยไหวพริบ
พิจารณาจากภาพนี้แล้ว ฟ่านเหยี่ยนดูเหมือนพี่ชายของลู่จื่ออวิ๋นมากกว่าเสียอีก
“องค์ชายเก้าไม่วางท่าแม้แต่น้อย” จื่อเยวี่ยนเอ่ยขึ้น
“เขายังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้กุมอำนาจ แน่นอนว่าต้องไม่วางท่าอยู่แล้ว นอกจากนี้… มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่คุ้นเคยกับการเอาชนะใจคน” มู่ซืออวี่เอ่ยเบา ๆ
“ฮูหยินไม่ชอบองค์ชายเก้าหรือเจ้าคะ?”
“ไม่แน่ชัดว่าไม่ชอบ เขาเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมายังครอบครัวเราเท่านั้น ทว่าครานี้ต้องขอบคุณเขา ไม่เช่นนั้นนายท่านลู่ของพวกเราคงไม่พ้นจากปัญหาง่ายดายเช่นนี้”
ผ่านไปหลายเดือน สุดท้ายการก่อสร้างลานหรรษาจึงแล้วเสร็จ
สองเดือนถัดมา สะพานที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮู่เป่ยก็เสร็จสิ้น
และในเดือนเดียวกันนั้นเอง ถงซื่อก็ได้คลอดลูกชายน้ำหนักหกจิน*[1] ออกมา นามว่าจูเฉิน ชื่อเล่นผิงอัน
เป็นเวลาเดียวกันกับที่ข่าวคราวจากลู่เซวียนมาถึงเมืองฮู่เป่ยพอดี
“ในจดหมายบอกว่านายท่านรองลู่สอบขุนนางผ่านแล้ว” จื่อเยวี่ยนกล่าว “ฮูหยิน นายท่านรองสอบผ่านแล้ว ตอนนี้เป็นขุนนางได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
มู่ซืออวี่ส่ายหัวเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำดับที่สอบได้ของนายท่านรองอยู่กลาง ๆ ไม่ดีไม่แย่ จะได้รับการแต่งตั้งง่าย ๆ ได้อย่างไร? เรื่องนี้ยังคงต้องรอให้กรมขุนนางเตรียมการ”
“เช่นนั้น หมายความว่าต่อให้สอบผ่านขุนนางแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นหรือเจ้าคะ” จื่อซูเอ่ยถาม “แล้วนายท่านรองจะกลับมาได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เขาสอบผ่านแล้ว ยังคงต้องรอฟังข่าวอยู่ในเมืองหลวง ทว่าโดยทั่วไปหากมีเส้นสาย การจะหาตำแหน่งขุนนางให้เขาย่อมไม่ยาก” มู่ซืออวี่เอ่ย “รอฟังข่าวเถอะ! ไม่ต้องรีบร้อน”
ลู่อี้ปูทางไว้ให้ลู่เซวียนแล้ว ขอแค่อีกฝ่ายปฏิบัติตัวให้เหมาะสม ก็คงไม่ต้องเผชิญความลำบากในเมืองหลวง หากไม่ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน การจะหาตำแหน่งสักตำแหน่งในเมืองหลวงย่อมไม่ยากเย็น
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่อาจบอกสาวใช้ทั้งสองได้ จื่อเยวี่ยนยังดี ทว่าจื่อซูเป็นคนซื่อตรง หากนางอยู่ข้างนอกแล้วพูดจาส่งเดชไป อาจจะสร้างปัญหาให้กับพี่น้องตระกูลลู่ทั้งสอง
“ในจดหมายได้กล่าวถึงคุณชายอันหรือไม่?” จื่อเยวี่ยนเอ่ยถาม “อย่างไรเสีย คุณชายอันก็เป็นพี่ชายของฮูหยินเซี่ย ได้ยินว่าเขามีความสามารถไม่เลวเลย”
มู่ซืออวี่ชี้ไปที่แถวสุดท้ายแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าดีใจที่เห็นนายท่านรองสอบผ่านมากเกินไปแล้ว ไม่เห็นหรือว่าตรงนี้เขียนว่าอย่างไร? คุณชายอันสอบไม่ผ่าน!”
“เอ๋?” สาวใช้สองคนโน้มตัวเข้าไปอ่านจดหมาย
“ถึงแม้การสอบขุนนางจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่หากฮูหยินเซี่ยได้ยินข่าวนี้ เกรงว่านางจะผิดหวัง” จื่อซูกล่าว
“ข้าคิดว่าฮูหยินเซี่ยยังพอทำเนา ผู้ที่ผิดหวังจริง ๆ เกรงว่าจะเป็นแม่ของคุณชายอันมากกว่า” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “ไม่นานมานี้ บ่าวผ่านไปที่ร้านผ้าแห่งหนึ่งเพื่อซื้อของ จึงพบแม่คุณชายอันกำลังคุยกับสตรีหลายคน คำพูดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมล้วนหมายความว่าบุตรชายของนางจะต้องสอบขุนนางได้เป็นแน่ สตรีเหล่านั้นยกยอปอปั้นนาง ส่งเสริมนางเสียดิบดี ราวกับว่านางได้เป็นฮูหยินขุนนางแล้วอย่างไรอย่างนั้น”
มู่ซืออวี่ไม่นึกสงสัยคำพูดของจื่อเยวี่ยนแม้แต่น้อย อวี้ซื่อนั้นเดิมทีก็เป็นคนเช่นนั้น ในสายตาของนาง ลูกชายตนประเสริฐที่สุด นับประสาอะไรกับจิ้นซื่อธรรมดา แม้แต่จอหงวน นางก็เชื่อว่าเขาสามารถเป็นได้
“พวกเราควรบอกข่าวนี้ให้ฮูหยินเซี่ยทราบหรือไม่?” จื่อซูเอ่ยถาม “ข้ารู้สึกว่ามันออกจะโหดร้ายอยู่บ้าง”
“คุณชายอันคงไม่เขียนจดหมายถึงครอบครัว” มู่ซืออวี่กล่าว “เรื่องสำคัญเช่นนี้เราไม่อาจปิดบัง ควรอธิบายกับฮูหยินเซี่ยล่วงหน้าเสียหน่อย”
ส่วนอวี้ซื่อนั้น นางไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย
มู่ซืออวี่นำข่าวไปบอกลู่อี้ก่อน
พอลู่อี้ได้ยินข่าวนี้ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เขารู้ระดับของลู่เซวียนดี ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์มากมาย ทว่าการสอบให้ผ่านไปอยู่ระดับจิ้นซื่อไม่ใช่ปัญหาสำหรับน้องชายผู้นี้
“ข้าจะไปสำนักบัณฑิตเขาเขียวแล้วแจ้งข่าวนี้กับเหล่าอาจารย์” ลู่อี้วางหนังสือทางการในมือลง “จริงสิ ข้าได้ยินว่าตระกูลฉินจะเข้าเมืองอีกครั้ง เราสามารถฝากของไปให้ลู่เซวียนได้”
มู่ซืออวี่ได้ยินลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็รีบกลับไปตระเตรียมทันที
เมื่ออันอวี้ได้ยินข่าวนี้ ในใจพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่านางเปิดใจยอมรับได้อย่างรวดเร็ว เพราะทราบดีว่าการสอบขุนนางไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น บางคนสอบตั้งแต่เยาว์วัยจนผมขาวก็ไม่ผ่าน พี่ชายของนางสามารถเป็นจวี่เหรินได้ตั้งแต่ยังหนุ่มเช่นนี้ก็นับว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว
“ข้ายอมรับผลลัพธ์นี้ได้ แต่ท่านแม่ของข้า…” อันอวี้กล่าว “ไม่เป็นไร ท่านพี่ของข้ายังไม่กลับมา เขาคงวางแผนจะอยู่ในเมืองหลวงเพื่อรอสอบครั้งต่อไป รออีกแค่สามปีเอง!”
ณ โรงหมอถงตั๋ว ถงซื่อกล่อมลูกในอ้อมแขนของนาง ร้องเพลงเบา ๆ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ท่านหมอจูส่งคนไข้กลับไปแล้ว เขาเดินถือกลองป๋องแป๋งมาเล่นหยอกล้อกับลูก
“จริง ๆ เลย ดูสิเขาใกล้จะหลับแล้ว ท่านกลับมาหยอกเขาอีก” ถงซื่อจ้องมองสามีอย่างไม่พอใจ “มีอย่างที่ไหนกัน?”
“เด็ก ๆ หากนอนกลางวันมากไป กลางคืนคงกวนเจ้า” ท่านหมอจูรับเด็กมาจากอ้อมแขนของถงซื่อ “ตอนนี้เขาหายป่วยแล้ว ข้าจะเล่นกับเขาสักหน่อย เช่นนี้กลางคืนเขาจะได้หลับสนิท”
ถงซื่อสะบัดแขน เมื่อเห็นท่านหมอจูหยอกล้อลูกอย่างออนโยน แววตาของนางพลันเต็มไปด้วยความสุขใจ
“ยามกลางวันท่านรักษาโรคช่วยชีวิตคนมากมาย เดิมทีก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาดูแลลูกอีก เช่นนั้นจะไม่ยิ่งลำบากกว่าเดิมหรือ? ข้าอยากให้ท่านได้พักผ่อนอย่างสงบบ้าง หากกลางคืนจะวุ่นวายก็ปล่อยให้วุ่นวายเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็มีตานซาคอยช่วย ไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร”
“กลางคืนเจ้าไม่ได้ให้นางช่วยเฝ้าลูกแต่กลับดูแลเอง เจ้าเป็นห่วงตานซา ข้าก็เป็นห่วงเจ้า ระยะนี้เราลำบากเพียงไม่กี่วันไปก่อน เราต้องทำให้ลูกคุ้นชินกับการเล่นตอนกลางวันและนอนตอนกลางคืน ไม่เช่นนั้นในอนาคตจะมีปัญหาเอาได้”
มู่ซืออวี่เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้สองคน
“ท่านอาจูรู้วิธีดูแลเด็กได้ดีจริง ๆ ท่านแม่ฟังท่านอาจูเถอะ!”
“เจ้ามาได้อย่างไร?” หลังจากอยู่เดือนหลังคลอด ถงซื่อก็น้ำหนักขึ้นไม่น้อย ทว่าผิวของนางยังคงมีสภาพดีทำให้ดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเดิม “ฝนเพิ่งตก เจ้าเดินบนถนนระวังหน่อย”
“วันนี้ข้าได้รับจดหมายจากน้องชายสามี เขาบอกข่าวดีให้เรารู้ ลู่เซวียนสอบผ่านขุนนางแล้ว ตอนนี้กำลังรอมอบหมายหน้าที่จากกรมขุนนาง” มู่ซืออวี่พูดไปหัวเราะไป
“นี่เป็นข่าวดีจริง ๆ” ถงซื่อเอ่ยอย่างมีความสุข “ข่าวดีถึงเพียงนี้ เจ้าต้องแจ้งทางหมู่บ้าน ให้ตระกูลแจ้งข่าวกับบรรพบุรุษ เปิดโถงบรรพบุรุษบันทึกเรื่องนี้ไว้”
“ข้าต้องแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าอยากรอให้เขาได้รับหน้าที่ก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเขียนลงไป ไม่เช่นนั้นหากมีคนถามว่าเขาเป็นขุนนางตำแหน่งอะไร ข้าจะตอบไม่ถูกเอา” มู่ซืออวี่กล่าว
“ใช่แล้ว ดูข้าสิ ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย สิ่งใดล้วนไม่สนใจ” ถงซื่อประกบมือเข้าหากัน “สวรรค์คุ้มครองครอบครัวพวกเจ้าแล้ว! ในตระกูลลู่มีขุนนางถึงสองคน นั่นนับเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ให้บรรพบุรุษเชียวนะ”
[1] 6 จิน ประมาณสามกิโลกรัม [ 1 จิน = 0.5 กิโลกรัม ]