บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม
บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม
ทางบนภูเขานั้นไม่ง่ายที่จะเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรูปร่างแบบมู่ซืออวี่ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้ว
ลู่อี้มองกลับไปไม่เห็นนางจึงนั่งลง จากนั้นก็เรียกนางให้ขึ้นมาบนหลังของเขา “ขึ้นมา!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ มู่ซืออวี่ก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้ นางเดินผ่านเขาพร้อมแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ “ข้ามีขา เดินเองได้”
ลู่อี้ได้เห็นฝีปากของนางเช่นนั้นก็ช่วยได้เพียงแขนข้างเดียว เขาช่วยดึงนางขึ้นเขาไปทีละก้าว
“อวิ๋นเอ๋อร์ระวังหน่อย ตรงนี้มีตะไคร่น้ำ…” ลู่ฉาวอวี่เพิ่งจะพูดจบก็เห็นมู่ซืออวี่ไปเหยียบที่ตรงนั้นพอดี
พูดยังไม่ทันขาดคำ
เสียง “โอ๊ย” ก็ร้องขึ้นมา ร่างทั้งร่างของมู่ซืออวี่ล้มกลิ้งลงไปทางด้านหลัง
ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่หน้าลู่จื่ออวิ๋น มองลู่อี้ที่อุ้มร่างกายของมู่ซืออวี่ให้กลับมายืนอย่างมั่นคง
มู่เจิ้งหานถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ขี่หลังพี่เขยขึ้นเขาไปเถิด” เขาเอ่ยขึ้น “เช่นนี้… จะเร็วกว่า”
พวกเขาเองก็จะได้ปลอดภัยเช่นกัน
มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กพวกนี้กำลังร้องเรียนเรื่องอะไรกันอยู่
นางจ้องทุกคนเพียงชั่วครู่ “ข้าเดินได้”
มู่เจิ้งหานเดินขึ้นไปพลางชำเลืองมองนางอย่างระมัดระวัง “ท่านไม่ได้ขึ้นเขาบ่อย ก่อนหน้านี้ฝนตก จึงลื่นล้มได้ง่ายเป็นธรรมดา”
“ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก” มูซืออวี่ยู่ปาก “รอดูเถอะ ต้องมีสักวันที่ข้าสามารถลดเนื้อหนังนี่ไปได้ ถึงตอนนั้นคงจะปราดเปรียวกว่าพวกเจ้าแล้ว”
มู่เจิ้งหานได้ยินแล้วก็ถึงกับประหลาดใจขึ้นมา
เมื่อก่อนนี้หากใครกล้าพูดว่ามู่ซืออวี่ ‘อ้วน’ หรือพูดอะไรที่เกี่ยวกับความอ้วนแม้แต่คำเดียว ยกตัวอย่างเช่นเนื้อหนังเยอะ หรือไขมันหมู นางก็จะบ้าคลั่งขึ้นมา ดูท่าว่านางจะเปลี่ยนไปมากจริง ๆ และไม่อายที่จะมองข้ามข้อบกพร่องของตนเองอีกด้วย
อารมณ์ของมู่ซืออวี่กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว นางนั่งยอง ๆ แล้วขุดเอากุยช่ายป่าออกไป
“อะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นถามขึ้นมา
“ผักป่า” มู่ซืออวี่ตอบ “กินได้นะ”
“ได้ยินจากคนแก่ในหมู่บ้านมาว่าเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ คนในหมู่บ้านกินผักป่าแล้วตายหลายคน ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนกินผักป่าน้อยลง หากจะกินก็กินเพียงแค่ชนิดที่รู้จักเท่านั้น” มู่เจิ้งหานกล่าว
“อย่างนั้นเจ้าก็วางใจเถิด ตอนที่ข้าหิวก็กินผักไปแล้วไม่ใช่น้อย นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ด้านนั้นยังมีผักคาวทอง ไปถอนออกมาให้ข้าซิ” มู่ซืออวี่เห็นผักคาวทองแล้วแววตาก็เปล่งประกาย
“ผักชนิดนี้ไม่มีพิษ แต่ไม่อร่อย ถึงแม้ว่าจะหิวมากเพียงใด คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครอยากกินมันหรอก” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
มู่ซืออวี่ไม่สนใจพวกเขา นางขุดสมบัติจากธรรมชาติเหล่านี้ต่อไป
“เจ้าขุดช้า ๆ นะ ข้าจะไปดูกับดัก”
มู่ซืออวี่รับปากลู่อี้ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา “ได้ ท่านไปเถิด สักพักข้าจะไปหา”
“เจ้าอยู่ดูแลแม่เจ้าซะ” ลู่อี้กำชับลู่ฉาวอวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์กับน้องหาน เดินตามข้ามา”
ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่พอใจที่ได้อยู่ที่นี่
ถ้าให้เปรียบเทียบ การเฝ้าคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างมู่ซืออวี่แล้ว แน่นอนว่าการติดตามลู่อี้เพื่อไปดูกับดักย่อมน่าสนใจกว่า
มู่ซืออวี่เห็นลู่ฉาวอวี่ไม่พอใจจึงยัดพลั่วเล็ก ๆ ใส่มือเขา “มานี่! พ่อหนุ่ม ข้าจะให้เจ้าทำงาน ในฐานะผู้ชาย เจ้าควรขุดได้มากกว่าข้า เพราะอย่างไรข้าก็เป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอคนหนึ่ง!”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
สาวน้อยผู้อ่อนแอหรือ?
นางเอาหน้าที่ไหนมาพูดอย่างนี้กัน
ใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาหยิบพลั่วเล็ก ๆ ที่นางมอบให้อย่างไม่พอใจแล้วนั่งยอง ๆ เพื่อขุดผักคาวทองเหล่านั้น
ทันใดนั้น เสียงกร๊อบแกร๊บก็ดังขึ้น
มู่ซืออวี่กำลังมองไปรอบ ๆ แต่ก็ได้ยินเสียงน่าขนลุกขึ้นเสียก่อน เมื่อมองไปเห็นร่างของงูสีแดงฉาน นางก็ร้องออกมาเสียงดัง
ลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทา เผลอทำพลั่วทิ่มมือของตน
มู่ซืออวี่ที่เห็นลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทาอยู่ต่อหน้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า… เจ้ารีบไป… ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
หากขานางไม่สั่นเทา สีหน้าดีกว่านี้อีกนิด สิ่งที่นางพูดอาจจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้
ลู่ฉาวอวี่เห็นสิ่งที่อยู่ในพงหญ้าแล้ว จู่ ๆ มันก็พุ่งออกมาจากหลังของมู่ซืออวี่ เขารีบเอาพลั่วแทงมันทันที
ฉึก! ฉึก! เด็กชายแทงมันไปตรง ๆ ถึงเจ็ดครั้ง
มู่ซืออวี่รู้สึกราวกับว่าพลั่วแทงมาที่ตนเองอย่างไรอย่างนั้น
เด็กคนนี้ทั้งมือทั้งร่างกายช่างปราดเปรียว ตรงไหนกันที่เหมือนกับเด็กอายุเพียงไม่กี่หนาว
เมื่อดึงพลั่วออกมา ของเหลวสีแดงก็พรั่งพรูออกมาด้วย
ลู่ฉาวอวี่เช็ดเลือดที่ใบหญ้าด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังขุดผักคาวทองต่อไป
ครั้นเห็นเขาขุดด้วยพลั่วที่เปื้อนเลือดงู นางก็คว้าข้อมือเขาขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไปหาท่านพ่อของเจ้ากันเถอะ!”
ลู่ฉาวอวี่ถือตะกร้าไว้บนหลังของเขาอย่างใจเย็น จากนั้นก็คว้างูขึ้นแล้วโยนเข้าไปในตะกร้า
“เจ้าจะเอามันไปด้วยรึ?”
“ไว้กิน”
“งูมีพิษ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ
“เนื้องูกินได้” ลู่ฉาวอวี่หันกลับมามองนางแล้วถามว่า “ท่านกลัวรึ?”
“ไร้สาระ” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม “งูตายแล้ว เอาอะไรมาน่ากลัว”
“ถ้าอย่างนั้นมื้อกลางวัน ข้าอยากกินเนื้องู อีกพักใหญ่ข้าจะยกให้ท่านก็แล้วกัน” ลู่ฉาวอวี่พูดจบแล้วก็ไม่รอมู่ซืออวี่ปฏิเสธ เข้าก้าวยาว ๆ ไปหาลู่อี้ที่อยู่ไม่ไกล
มู่ซืออวี่รู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อนึกถึงงูที่ตัวเย็นเฉียบและอ่อนนุ่ม แต่นางก็อวดดีจนไม่สามารถผิดคำสัญญาได้ เป็นเรื่องยากที่ลู่ฉาวอวี่จะขอร้องนาง เช่นนั้นจะปล่อยให้เด็กคนนี้ไม่พอใจไม่ได้ใช่หรือไม่
นางตัดสินใจหลับตาแล้วนึกวิธีจัดการกับงู สิ่งที่แย่ที่สุดก็คงเป็นการตัดหัวงูออก แล้วค่อยให้ลู่อี้รีดพิษออกให้ นางสามารถคิดว่ามันเป็นปลาไหล… แม้ว่านั่นจะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ลู่อี้กำลังซ่อมกับดัก
มู่เจิ้งหานเห็นพวกนางตามมาจึงอธิบายว่า “กับดักพังแล้ว เมื่อคืนน่าจะได้สัตว์ใหญ่ มันทำกับดักพัง”
“ยังคงมีคราบเลือดอยู่บนพื้น เหยื่อตัวใหญ่คงบาดเจ็บสาหัส เจ้าตามคราบเลือดไปดูสิ ไม่แน่ว่าอาจจะเหลือซากอยู่บ้าง” มู่ซืออวี่เสนอ
ลู่อี้ที่ซ่อมกับดักเสร็จก็ลุกขึ้นมาแล้ววางลงบนกองใบไม้แห้ง
“ข้าจะไปหาดู พวกเจ้าไม่ต้องตามข้ามา ข้าดูแลพวกเจ้าหลายคนไม่ไหวหรอก” ลู่อี้กล่าวพลางมองไปทางมู่ซืออวี่ “เจ้าดูแลพวกเขาให้รอข้าอยู่ที่นี่”
“ได้” มู่ซืออวี่คล้อยตาม “ท่านรีบไปเถิด”
ลู่อี้เพิ่งจะเดินออกไป มู่ซืออวี่ก็ทำท่าทางให้ทุกคนเงียบ ๆ ”ชู่ว…”
“ท่านไม่ได้… ” มู่เจิ้งหานเห็นก็รู้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดี
แน่นอนว่ามู่ซืออวี่เดินตามหลังลู่อี้ไปอย่างเงียบ ๆ
ลู่ฉาวอวี่หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวตามไป
ลู่จื่ออวิ๋นเชื่อฟังคำพูดนั้น เมื่อเห็นว่าท่านแม่และพี่ชายกำลังตามท่านพ่อไป นางก็พยายามตามทั้งสองให้ทัน
มู่เจิ้งหานพึมพำขึ้นมา “ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ”
มู่ซืออวี่ตามลู่อี้มาจากทางด้านหลัง แต่ลู่อี้เคลื่อนตัวเร็วเกินไป เร็วจนมองไม่เห็นเงาคน นางไม่คิดจะซ่อนตัว เพียงแค่ก้าวยาว ๆ ตามไปแค่นั้น
“หายไปแล้ว” มู่ซืออวี่พูดออกมา “ช่างเถอะ ไม่ตามแล้ว ดูซิว่ารอบ ๆ นี้จะมีสัตว์ป่าบ้างหรือไม่”
“อย่าขยับ…” ลู่ฉาวอวี่มองไปยังด้านหลังของนาง
มู่ซืออวี่เพิ่งก้าวขาออกมาหนึ่งข้าง พอเห็นสายตาของเขาเช่นนี้ก็ประหม่าทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านแม่ ด้านหลังของท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นตัวสั่นเทาขึ้นมา
มู่เจิ้งหานปิดตาของลู่จื่ออวิ๋นไว้
ในมือของมู่ซืออวี่ไม่มีอะไรที่สามารถปกป้องตนเองได้ ฟังจากเสียงหายใจที่อยู่ด้านหลังแล้ว นางก็รู้ได้ว่ามันต้องตัวไม่เล็กอย่างแน่นอน
หญิงสาวไม่กล้าหันกลับไปแต่อย่างใด
ทำอย่างไรดี?
จะตายที่นี่หรือ?
ลู่ฉาวอวี่คว้าพลั่วขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่เบิกตาโพลง “นี่เจ้าจะทำอะไร! กลับไป!”
เสียงคำรามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงขยับตัว
ลู่ฉาวอวี่เข้ามาใกล้พร้อมพลั่วในมือ
มู่ซืออวี่ไม่สนใจสิ่งใด นางรีบวิ่งไปทางลู่ฉาวอวี่แล้วออกแรงผลักเขาอย่างแรง
ความตั้งใจเดิมของนางคือการผลักเขาออกไปเพื่อไม่ให้ถูกทำร้ายจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง
แต่แล้วร่างที่อยู่ด้านหลังก็กระแทกนางเข้าอย่างจัง
พลั่ก!
มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนร่างกายของตนกำลังแหลกละเอียด
เจ็บ!
เจ็บมาก!
ตอนนี้นางสามารถมองเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจนแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นหมูป่า!
ขาของมันมีเลือดหยดออกมา ดูเหมือนว่าสัตว์ใหญ่ตัวเมื่อคืนนี้จะเป็นมันสินะ
หมูป่าธรรมดาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่พวกมันดุร้ายเพราะได้รับบาดเจ็บ
“ท่านแม่!…” ลู่จื่ออวิ๋นตกใจกลัวจนตัวสั่น “ท่านน้า! ท่านแม่…”
มู่เจิ้งหานก็เป็นเพียงเด็กชายไม่กี่หนาว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร
ลู่ฉาวอวี่ถูกมู่ซืออวี่ผลักออกไป แม้ว่าเขาจะล้มลงไปแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาคว้าพลั่วที่ตกลงบนพื้น ในขณะที่กำลังจะแทงหมูป่า มันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ลู่ฉาวอวี่เห็นว่าหมูป่าวิ่งเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วจึงรีบปิดตาทันที
ตึง! เสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้น
“ท่านพ่อ…” ลู่จื่ออวิ๋นร้องเรียกขึ้นมาด้วยความตระหนก “ท่านพ่อมาแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่ค่อย ๆ เปิดตามอง ลู่อี้ใช้แรงของร่างกายตนเองทั้งหมดกดทับร่างของหมูป่าเอาไว้ จากนั้นจึงต่อยมันซ้ำ ๆ
หมูป่าร้องโหยหวนได้ไม่นาน แล้วเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เบาลงก่อนจะเงียบลงในที่สุด
ลู่อี้ผละออกมา
ในกำปั้นของเขาเต็มไปด้วยเลือด
เขาเดินเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
มู่ซืออวี่ถูกหมูป่ากระแทกสองครั้ง รู้สึกเหมือนร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว จะไม่เป็นไรได้อย่างไร
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะใช้การไม่ได้”
“ข้าจะแบกเจ้าลงเขาเอง” ลู่อี้พูดจบก็มองไปทางคนอื่น ๆ “ตามข้ามา”
“แล้วหมูป่าเล่า?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามขึ้นมา “มิเช่นนั้นข้าจะเฝ้ามันได้อย่างไร”
“ในป่ามีอันตรายมากเกินไป หากสัตว์ร้ายตัวอื่นมาที่นี่ล่ะ ” ลู่อี้กล่าวว่า “ข้าจะซ่อนมันไว้ก่อน ชั่วครู่ค่อยลงเขาไป”
“กลับก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยขัดขึ้น “ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
ลู่อี้จึงแบกมู่ซืออวี่ขึ้นขี่หลัง แล้วนำทางทุกคนลงเขาไป
ลู่ฉาวอวี่มองไปยังสีหน้าของมู่ซืออวี่เป็นครั้งคราว
ใบนางหน้าขาวซีด ดวงตาอ่อนล้า เมื่อนึกภาพหมูป่าเมื่อครู่ก็กลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมา
หลังจากที่ลงจากภูเขาแล้ว ลู่ฉาวอวี่ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปเชิญท่านหมอจู”
“อืม” ลู่อี้ตอบรับเพียงหนึ่งเสียง
ครั้นกลับมาถึงบ้านแล้ว ลู่เซวียนก็เห็นลู่อี้แบกมู่ซืออวี่ขึ้นหลังกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“นางเสแสร้งอะไรอีกล่ะ?”
ลู่อี้พานางเข้าไปในห้อง
ถงซื่อที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าอยู่บนเตียงเห็นเข้าก็ถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“เจอหมูป่าขอรับ” ลู่อี้กล่าวว่า “ฉาวอวี่ออกไปตามท่านหมอแล้ว ท่านหมอกำลังมาดูอาการนาง”
ท่านหมอมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพของมู่ซืออวี่แล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความสนุกปากว่า “ผู้ชายในหมู่บ้านนี้กล้าแค่เดินรอบ ๆ ภูเขาเท่านั้น มีเพียงแค่ผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นลู่อี้ที่กล้าเดินเข้าไปในป่าลึก แต่เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวยังกล้าเข้าไป ไม่ตายก็โชคดีมากเท่าไหร่แล้ว”
“ท่านหมอ อย่าเพิ่งพูดประชดประชันเลย เรื่องมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านไม่คิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างรึ ” มู่ซืออวี่ที่อ่อนแรงเต็มทนกล่าวขึ้นมา “ข้าอึดอัดที่หน้าอก เวียนหัวด้วย”
“ช้ำในสิท่า” ท่านหมอจูเอ่ยขึ้น “กินยาไม่กี่ชุดก็ดีขึ้นล้ว ยังโชคดีที่ไม่บาดเจ็บไปถึงเอ็นกับกระดูก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทนไม่ไหวเอา”
“ครั้งนี้พวกข้าจับหมูป่าได้ตัวหนึ่ง รอข้าเอามันไปขายแล้วจะมาจ่ายค่ารักษาให้ท่าน” ลู่อี้กล่าว
“ไม่ต้องเร่งรีบ พวกเจ้าวิ่งมาตามข้าทุกรอบไม่ไหวหรอก บ้านของพวกเจ้าคึกคักดีนะ มีเรื่องบ่อยจริง ๆ”
“ท่านหมอ ท่านดูสักหน่อยว่าฉาวอวี่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าผลักเขาตอนหมูป่าพุ่งตัวมา”
“ข้าไม่เป็นไร” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครให้ท่านมายุ่งด้วยเล่า”