บทที่ 408 เดินทางไปเมืองหลวง
บทที่ 408 เดินทางไปเมืองหลวง
“ไม่รีบร้อน ถึงแม้ข้าจะยินดี เขาก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” ลู่อี้เอ่ยอย่างใจเย็น “พรรคพวกฝ่ายเจียงเหล่าเป็นกันได้ง่ายเพียงนั้นหรือ?”
“ท่านอยากเป็นหรือ?” เวินเหวินซงเลิกคิ้วขึ้น
“สถานการณ์ในเมืองหลวงซับซ้อน ระหว่างนี้ข้าจะยังไม่เข้าไปพัวพัน”
ภายหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้?
“เข้าเมืองหลวงครั้งนี้ ข้ารู้สึกว่าจะเป็นเรื่องดี” เวินเหวินซงเอ่ย “มีความเป็นไปได้ที่ท่านจะได้เลื่อนขั้น”
ลู่อี้นิ่งเงียบ
เวินเหวินซงเห็นว่าเขานิ่งสงบถึงเพียงนี้ ก็เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “ท่านคาดการได้นานแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าเป็นเพียงขุนนางท้องถิ่นตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง การได้ไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง แน่นอนว่าต้องมีคนเอ่ยถึงข้าต่อหน้าพระองค์ แต่เจ้าอย่าได้ลืมว่าข้าล่วงเกินคนไปมากเพียงใด คราก่อนก็โอวหยางเจี๋ยผู้นั้น ล่าสุดยังมีขบวนการลักพาตัวเด็กอีก เจ้าคิดว่าคนทั่วไปสามารถทำให้กลุ่มลักพาตัวเด็กใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้หรือ เกรงว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคงยุ่งด้วยไม่ได้ง่าย ๆ”
“ที่แท้ท่านก็เตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้แล้ว”
“ครั้งนี้ข้าจึงต้องนำเซี่ยคุนไปด้วย”
“ฮูหยินเล่า?”
“นางมีสติปัญญาล้ำเลิศมาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าเข้าเมืองหลวงครั้งนี้อาจต้องเผชิญกับปัญหา ถึงแม้ข้าไม่ยอมให้ไปด้วย นางก็ต้องลอบตามไปอย่างแน่นอน ไม่สู้พานางไปกับข้าดีกว่าจะได้ดูแลสะดวก” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ
“อิจฉาจริง! เมื่อไหร่ข้าจะหาฮูหยินเช่นนี้ได้บ้าง?”
ลู่อี้ตบไหล่เวินเหวินซง “ข้าได้ยินว่าหมู่นี้เจ้ามักจะไปตัดเสื้อผ้าที่ร้านสาวทอผ้า ดูจากเงินเดือนของเจ้าแล้ว แต่ละเดือนเจ้าจะตัดชุดไปมากมายทำไมกัน?”
ความคิดของเวินเหวินซงถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้สึกเขินอายอยู่บ้าง ทว่าก็หน้าหนาพอสมควรจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยเร็ว
หลายวันต่อมา ลู่อี้และมู่ซืออวี่พาเซี่ยคุนและคนอื่น ๆ เดินทางไปยังเมืองหลวง
พวกเขาไม่ได้รีบร้อน แต่ก็ไม่ได้หยุดพักระหว่างทางเช่นกัน
ผ่านไปเดือนกว่า ๆ พวกเขาก็มาถึงเมืองหลวง
เมื่อมาถึงเมืองหลวง พวกเขาไปพบลู่เซวียนก่อน
บ้านที่ลู่เซวียนเช่าอยู่หลังไม่เล็กนัก ในเมืองหลวงซึ่งที่ดินแพงไปทุกตารางนิ้ว บ้านหลังนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่คนมีกิจการของครอบครัวเท่านั้นที่สามารถเช่าได้
อันอี้หางก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน
ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการของลู่เซวียนค่อนข้างสบาย เขาไปรายงานตัวที่สำนักบัณฑิตหลวงทุกวัน เมื่อถึงเวลาพักผ่อนก็กลับมา
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้” ลู่เซวียนกระโดดลงมาจากรถม้า
“ใต้เท้าโปรดระวัง” ลู่อัน ผู้ติดตามร้องเสียงหลงอย่างตื่นตระหนก
“พวกท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดไม่ส่งคนมาหาข้า?” ลู่เซวียนเอ่ยอย่างตื่นเต้น “บ่าวรับใช้ดูแลพวกท่านดีหรือไม่?”
“วางใจเถอะ บ่าวรับใช้เตรียมอาหารและน้ำอุ่นสำหรับอาบไว้ให้พวกเราแล้ว พวกเราไม่ละเลยตนเองเป็นแน่” มู่ซืออวี่เอ่ย “แต่เดี๋ยวพี่ชายของเจ้าจะเข้าไปกรมขุนนาง เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่นัก เจ้าพาเขาไปรายงานตัวเสียหน่อย”
เรื่องที่พวกเขาต้องเข้าเมืองหลวงนั้น ได้เขียนจดหมายมาบอกลู่เซวียนล่วงหน้าแล้ว ลู่เซวียนย่อมรู้ว่าเหตุใดลู่อี้จึงมาที่นี่
ลู่เซวียนทราบว่าเรื่องนี้สำคัญ หลังจากปรึกษากับลู่อี้ จึงพาเขาไปยังกรมขุนนาง
ในเมื่อลู่อี้มาถึงเมืองหลวงแล้วย่อมต้องไปแจ้งสถานการณ์ที่กรมขุนนางโดยเร็วที่สุด ส่วนเขาจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อใดนั้น เจ้าหน้าที่กรมขุนนางจะมาแจ้งทีหลัง เขาที่เป็นเพียงขุนนางท้องถิ่นคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติเข้าเฝ้าโดยตรงได้อย่างไร ต้องรอฮ่องเต้ส่งคนมาแจ้ง เขาจึงจะเข้าวังได้
มู่ซืออวี่ยามที่เกียจคร้านก็เกียจคร้าน นางได้แต่เตร็ดเตร่ไปทั่ว
“ฮูหยิน มีคนเชิญท่านไปดื่มชาขอรับ” ชายหนุ่มในชุดผู้คุ้มกันคนหนึ่งขวางทางนางเอาไว้
นางเงยหน้ามองโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม
ที่นั่นมีคนอยู่ ทว่าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนพลันตระหนกขึ้นมา
“ฮูหยิน จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
“ในเมื่อมีคนเชิญไปดื่มชา เราย่อมไม่อาจผิดต่อความหวังดีของผู้อื่นได้ ลองไปดูเถอะ”
ดูจากฝีมือของคนผู้นี้แล้ว ถึงแม้พวกนางจะอยากหลีกเลี่ยงก็คงไม่อาจทำได้
ในโรงน้ำชา ท่วงทำนองของเสียงฉินดังขึ้น
ทันใดนั้น ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า
ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังจิบชา เมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่ใกล้เข้ามา จึงยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มาแล้วหรือ?”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า” มู่ซืออวี่เห็นคนคุ้นเคยจึงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ข้าคิดว่าเพิ่งมาเยือนเมืองหลวงครั้งแรกก็วิ่งเข้าหาปัญหาเสียแล้ว แต่เมื่อลองคิดดู ที่นี่ก็ไม่มีคนรู้จักข้า จะมีคนเกลียดขี้หน้าตั้งแต่มาถึงได้อย่างไร”
เหวินอี้เอ่ยว่า “ลองลิ้มรสชาที่นี่ดูสิ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่เมืองหลวง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ทุกความเคลื่อนไหวของพวกท่านในเมืองฮู่เป่ยอยู่ภายใต้สายตาของซี” เหวินอี้ไม่ได้ปิดบังความสนใจของจงอ๋องที่มีต่อพวกเขา
“เจ้าบอกข้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะกลัวหรือ?” มู่ซืออวี่มองเขา “สุขภาพของเจ้าดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว หรือว่าเจ้าไปพบหมอเทวดามา?”
“เพียงแค่ใช้ของล้ำค่าทุกชนิดมาชดเชยเท่านั้น” เหวินอี้เอ่ย “ระยะนี้ท่านสร้างคำเล่าลือมากมายให้กับเมืองฮู่เป่ย ในเมื่อพบกันแล้ว ข้าก็จะบอกอะไรสักหน่อย ท่านนำกลับไปเอ่ยเตือนใต้เท้าลู่ของท่านด้วย”
“อืม เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้ว” มู่วืออวี่ตั้งใจฟังโดยละเอียด
“เรื่องขบวนการลักพาตัวเด็ก ตรวจสอบพบว่ามีเด็กนับร้อยถูกลักพาตัว หนึ่งในนั้นเป็นบุตรชายคนโตของเจิ้นกั๋วกง*[1] ท่านอาจไม่รู้จัก ทว่าหากกลับไปบอกใต้เท้าลู่ เขาคงพอนึกออกเป็นแน่ เมื่อสามปีก่อน บุตรชายคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงถูกลักพาตัวไป หลายปีมานี้ก็ยังหาเขาไม่พบ ครั้งนี้ถูกใต้เท้าลู่ของพวกท่านช่วยเอาไว้ อีกทั้งยังตระเตรียมส่งกลับบ้าน”
“เจิ้นกั๋วกงได้บุตรชายคนโตที่หายตัวไปกลับมา เดิมทีนี่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าทันทีที่บุตรชายคนโตกลับถึงบ้าน เขาก็อธิบายว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับขุนนางเก่าแก่ที่มีความแค้นกันในราชสำนัก ตอนแรกนี่เป็นเพียงคดีขบวนการลักพาตัวเด็กในหมู่ราษฎร ทว่าบัดนี้กลับสร้างความหวาดระแวงซึ่งกันและกันให้กับขุนนางในราชสำนัก ฮ่องเต้กลัดกลุ้มเพราะเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงเรียกตัวใต้เท้าลู่มา ประการแรกเพราะทราบถึงความสำเร็จของใต้เท้าลู่ ประการที่สองเพราะคดีนี้”
“การที่ใต้เท้าลู่ของพวกเราตรวจสอบเรื่องนี้ก็มีความผิดหรือ? เขาช่วยลูกชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นมาแล้วยังผิดอีกหรือ?”
“ไม่ เพียงแต่ด้วยผลประโยชน์บางอย่างจึงเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้น แน่นอนว่า ความสำเร็จของใต้เท้าลู่ในเมืองฮู่เป่ยแพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวงก่อนที่จะเกิดคดีขบวนการลักพาตัวเด็กเสียอีก พวกขุนนางได้เขียนหนังสือเลื่อนขั้นให้เขาเข้ามาเป็นขุนนางที่นี่แล้ว นึกไม่ถึงว่าทันทีที่เรื่องขบวนการลักพาตัวเด็กออกมาจะเกิดข้อพิพาทขึ้น”
มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก ทว่าเมื่อเหวินอี้กล่าวว่าเรื่องนี้สำคัญมาก นางจึงจดจำเอาอย่างถี่ถ้วนและนำไปบอกลู่อี้ในภายหลังเพื่อให้เขาเตรียมตัวรับมือ
“อันที่จริง ตอนที่พวกเจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ด้วยความสามารถของพี่เซี่ยข้างกายใต้เท้าลู่ ไม่นานคงสืบทราบเรื่องนี้ ข้าเพียงแค่ถือโอกาสแสดงน้ำใจ” เหวินอี้เอ่ย “ไม่ช้าก็เร็วใต้เท้าลู่ก็ต้องได้เลื่อนขั้น รอพวกท่านเข้าเมืองหลวงแล้ว ภายหน้า ซีก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่าน”
“นับแต่จงอ๋องเข้าเมืองหลวงมา ที่นี่ก็เกิดความเคลื่อนไหวมากมาย ข่าวลือไม่น้อยลือไปไกลถึงเมืองฮู่เป่ย”
หลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว ได้ยินมาว่าจงอ๋องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ขุนนางอาวุโสหลายคนล้วนถูกเขาทุบตี
เหวินอี้จิบชาหนึ่งอึก “ในเมื่อผู้อื่นต้องการให้เขาเป็นอย่างนี้ เขาก็ทำได้เพียงเป็นจงอ๋องผู้โหดเหี้ยม เพราะจงอ๋องที่เป็นเช่นนี้มีประโยชน์ต่อพวกเขา”
“พวกเราไม่พบกันนานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงเชิญข้ามาดื่มชา?” มู่ซืออวี่เอ่ยต่อ “ในเมืองหลวงแห่งนี้มีอะไรบ้าง ระยะนี้ข้าเอาแต่วุ่นอยู่กับกิจการ ไม่มีสหายอยู่ด้วย ไม่สู้เจ้าพาข้าไปเดินเล่นเป็นอย่างไร?”
[1] กั๋วกง คือ ตำแหน่งใหญ่สุดในขั้นกง บรรดาศักดิ์ของขุนนางในจีนโบราณได้แก่ อ๋อง กง โหว