บทที่ 437 ในที่สุดก็ได้พบนาง
บทที่ 437 ในที่สุดก็ได้พบนาง
“อันที่จริง ท่านพบว่าพวกเขามีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่แรกใช่หรือไม่?” โม่อู๋เว่ยกล่าว “ถึงแม้เริ่มแรกจะไร้ช่องโหว่ แต่ท่านก็พบปัญหาแล้ว”
ลู่อี้เหลือบมองโม่อู๋เว่ย “ในหมู่บ้านมีสตรีน้อยเกินไป ไม่พบเด็กเล็กแม้เพียงคนเดียว ถึงแม้สตรีเหล่านั้นจะปรากฏตัวขึ้นและพยายามจะตบตา แต่ก็ยังมองออกว่าความสัมพันธ์ของพวกนางกับบุรุษเหล่านี้ไม่เหมือนภรรยากับสามีแม้แต่น้อย เหมือนคนมีความแค้นต่อกันมากกว่า”
“ใช่ ท่านพูดถูก บัดนี้เมื่อมาคิดดูก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดหมู่บ้านนี้จึงให้ความรู้สึกแปลก ๆ ตอนนั้นสตรีในหมู่บ้านโผล่ออกมา เพื่อทำอาหารให้พวกเรา แต่พวกนางก็เอาแต่ขานรับคำสองคำ อีกอย่าง ชายเหล่านั้นก็ไม่ปล่อยให้พวกนางมีโอกาสพูดคุยแม้แต่น้อย หมู่บ้านใหญ่โตเพียงนี้กลับไม่มีเด็ก ๆ แม้แต่คนเดียว บ่งบอกว่าชาวบ้านตัวจริงคงถูกพวกเขาควบคุมเอาไว้หมดแล้ว”
ซูเซิ่งและคนอื่น ๆ ทราบจากคำบอกเล่าของสตรีเหล่านั้นว่า ชาวบ้านตัวจริงถูกขังไว้ในถ้ำบนภูเขา จึงตระเตรียมคนไปช่วยเหลือทันที
เมื่อชาวบ้านกลับมาแล้วก็พากันขอบคุณพวกเขาอย่างซาบซึ้ง คุกเข่าลงกราบกรานพวกเขาประหนึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลังผ่านเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ ยามค่ำคืนก็ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนจึงรีบนอนหลับพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้พวกเขายังต้องเดินทางต่อไปอีก มิเช่นนั้นเกรงว่าจะล่าช้าไปอีกหนึ่งวัน ราษฎรคงอดตายเพิ่มขึ้นไม่น้อย
สองวันต่อมา พวกเขาก็มาถึงเมืองฮู่เป่ย
เวินเหวินซงทราบว่าคณะบรรเทาทุกข์จะผ่านทางมายังเมืองฮู่เป่ย จึงต้องวางงานในมือแล้วรุดไปยังหน้าประตูเมืองเพื่อต้อนรับ
“ใต้เท้าลู่” เมื่อเวินเหวินซงเห็นลู่อี้ ดวงตาเขาก็แทบถลนออกมาจากเบ้า “ข้ามองไม่ผิดใช่หรือไม่? ท่านไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่แล้วหรือ เหตุใดยังต้องมาบรรเทาทุกข์อีก?”
“จงอ๋องแต่งตั้งข้า ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่สำคัญเช่นนี้ร่วมกับเขา”
ฟ่านหยวนซีโผล่หน้าออกมาจากรถม้า เมื่อได้ยินคำพูดของลู่อี้ เขาก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จอมปลอม! ใต้เท้าเวิน ไหนสมบัติล้ำค่าทั้งสามของเมืองฮู่เป่ยพวกท่านเล่า?”
“สมบัติล้ำค่าทั้งสาม?” เวินเหวินซงยังคงไม่เข้าใจ
“สวนสนุก สะพาน เถ้าแก่เนี้ยมู่ นี่คือสมบัติล้ำค่าทั้งสามของเมืองฮู่เป่ย” ฟ่านหยวนซีลงจากรถม้า “สมบัติสองอย่างแรกก็แล้วไปเถิด ไม่น่าสนใจอะไร ทว่าสมบัติอย่างที่สามต่างหากที่ทำให้ยากจะลืมเลือน”
เวินเหวินซงประกบมือ เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “พี่สะใภ้ไปหารือเรื่องการค้าที่เมืองเตียนอวี้ ไม่อยู่ในเมืองขอรับ”
“นางอยู่เฉย ๆ ไม่ได้จริง ๆ” ฟ่านหยวนซีมองลู่อี้ “ใต้เท้าลู่ ดูเหมือนว่ามีท่านหรือไม่มีท่านก็ไม่ต่างกันมาก ฮูหยินลู่มีวิธีมากมายเพื่อฆ่าเวลา”
“แต่ไหนแต่ไร นางก็ไม่เหมือนสตรีคนอื่น ๆ” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ “ขอแค่เพียงนางมีความสุข ข้าจะสนับสนุนทุกการตัดสินใจ”
“ท่านอ๋อง ใต้เท้าทุกท่าน หลังจากทราบข่าว ข้าก็ได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้แล้ว เชิญทางนี้ขอรับ” หลังจากเวินเหวินซงเอ่ยจบ เขาก็หันมาบอกลู่อี้ “ใต้เท้าลู่ก็กลับบ้านเถิด ข้าน้อยไม่จัดเตรียมให้ท่านแล้ว”
“ขอบคุณ”
โม่อู๋เว่ยเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่ ท่านยินดีรับรองเราเป็นแขกหรือไม่?”
“แม่นางโม่ติดตามท่านอ๋องไปเถิด บ้านข้าไม่ค่อยสะดวกรับแขกนัก” สิ้นคำ ลู่อี้ก็ควบม้ากลับไปที่บ้านทันที
เขาอดใจรอพบครอบครัวแทบไม่ไหวแล้ว
เขาไปที่ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ เป็นอันดับแรก
เมื่อเฟิงเจิงเห็นลู่อี้ก็แสดงสีหน้าเหมือนกับเวินเหวินซงไม่มีผิด เขาหยิกแขนคนงานข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่?”
“ผู้จัดการ ข้าเจ็บจะตายแล้วขอรับ” คนงานเอ่ยขึ้น “เหตุใดท่านต้องตื่นเต้นเพียงนี้? เมื่อวานท่านเขียนหนังสือสัญญาซื้อขายห้าพันตำลึงเงินยังไม่เห็นจะตื่นเต้นปานนี้เลย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าตื่นเต้นแทนอาจารย์ข้า” เฟิงเจิงทักทายลู่อี้ “พี่อี้ เหตุใดท่านจึงกลับมาแล้ว? คงไม่ใช่ว่าท่านถูก… ถุย ๆ ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ”
“ข้าติดตามคณะบรรเทาทุกข์มา คณะบรรเทาทุกข์ผ่านเมืองฮู่เป่ย ต้องการพักผ่อนที่นี่สักพัก อาจารย์เจ้าตอนนี้อยู่ที่ใด?”
“นางไปเมืองเตียนอวี้แล้ว”
“ที่ใดของเมืองเตียนอวี้?”
“ท่านจะไปหานางหรือ? ได้ ข้าจะบอก…”
สองวันต่อมา ณ เมืองเตียนอวี้ มู่ซืออวี่พูดคุยเรื่องแบบเครื่องเรือนกับลูกค้า และพาลูกศิษย์หลายคนที่ยังเรียนไม่จบหลักสูตรมาวิเคราะห์วัสดุ กว่างานจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ท้องของนางร้องโครกคราก ดังนั้นเพื่อตกรางวัลให้ตนเองที่ทำงานหาเงินอย่างหนัก นางจึงตั้งใจว่าจะออกไปภัตตาคารสักแห่งเพื่อทานอาหารรสเลิศสักมื้อ สั่งสุราชั้นเยี่ยมสักไห ดื่มกินกับสาวใช้สองคนเพื่อคลายความเหนื่อยล้า
ทว่าเพียงแค่ลงมาชั้นล่าง นางก็ได้ยินเสียงคนสอบถามหมายเลขห้องของตัวเองกับผู้จัดการร้าน
เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางประหลาดใจนัก
นับตั้งแต่ชื่อเสียงของนางโด่งดังขึ้นมา ก็มี ‘ซือเซิง’*[1] มากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งพวกเขาก็มาติดตามชีวิตนาง
เพียงแต่เสียงของคนผู้นั้น…
มู่ซืออวี่มองคนที่อยู่ตรงข้าม
รูปร่างคุ้นตา น้ำเสียงคุ้นหู ใบหน้าคุ้นเคย…
จะเป็นไปได้อย่างไร?
นางคงคิดมากเกินไปแล้วเป็นแน่
ใต้หล้านี้มีคนหน้าตาเหมือนกันถึงเพียงนี้
ไม่สิ ไม่ใช่หน้าตาเหมือน…
“ลู่อี้?” มู่ซืออวี่เอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก
ลู่อี้หันหน้ากลับมา เมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่ สายตาก็อ่อนโยนลงราวกับมีน้ำหล่อเลี้ยง
“ยังไม่ถึงปี แม้กระทั่ง สามี ก็ไม่เรียกแล้ว เปลี่ยนเป็นเรียกชื่อแล้วหรือ?” ลู่อี้เดินเข้ามาหาภรรยา
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
“นายท่านจริง ๆ หรือ?”
“สวรรค์! เหตุใดนายท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
มู่ซืออวี่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน
ลู่อี้ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนและตระกองกอดไว้ “ในที่สุดก็หาเจ้าเจอแล้ว ฮูหยิน”
มู่ซืออวี่กระแอมเบา ๆ หนึ่งครั้ง “ตรงนี้มีคนมากมาย พวกเราไปพูดคุยกันที่อื่นเถอะ”
“ได้” ลู่อี้รับคำ “เจ้าจะออกไปที่ใด?”
“ทานข้าว”
“เช่นนั้นพวกเราไปหาที่ทานอาหารแล้วนั่งคุยกัน”
ลู่อี้เคยมาที่เมืองเตียนอวี้ อีกทั้งยังรู้จักสถานที่ในเมืองนี้เป็นอย่างดี
เขาพานางไปยังภัตตาคารที่ดีที่สุด หาห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง จากนั้นก็ดื่มกับนางเพียงลำพัง
ครั้งนี้จื่อซูและจื่อเยวี่ยนไม่ได้ไม่ดูตาม้าตาเรืออีก พวกนางสั่งอาหารสองสามอย่างทานกันอยู่ข้างนอก
“เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เหตุใดจึงคล้ำขึ้นมากเพียงนี้? น้ำดินในเมืองหลวงไม่เข้ากับท่านหรือ?”
“ไม่เกี่ยวอันใดกับน้ำดินในเมืองหลวง แต่เป็นเพราะฮูหยินไม่อยู่ข้างกาย ข้าจึงไม่อยากอาหาร” ลู่อี้เอ่ย “ครานี้ข้า…”
เขาเล่าเรื่องที่ได้รับการแต่งตั้งจากฟ่านหยวนซีให้มาบรรเทาทุกข์
“จงอ๋องกำลังช่วยท่าน” มู่ซืออวี่เอ่ย “หน้าที่อย่างการบรรเทาทุกข์อาจจะดูเป็นงานยากลำบากและไร้ค่า ทว่าตราบใดที่ท่านสร้างความซาบซึ้งไว้ในใจคนได้ เช่นนี้ก็จะง่ายต่อการทำให้ชื่อเสียงอันดีงามขจรขจายไป สุดท้ายท่านก็จะมีความสำคัญในสายตาเบื้องบนผู้นั้นมากขึ้น”
“จงอ๋องตั้งใจจะช่วยข้าจริง ทว่าเขาก็มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวด้วยเช่นกัน สำหรับเขาแล้ว แทนที่จะเปลี่ยนเป็นขุนนางคนอื่นที่ยากแก่การควบคุม พาข้าที่เป็นคนคุ้นเคยเก่ามาช่วยเหลือย่อมดีกว่า อย่างน้อยข้าก็จะไม่ทำร้ายเขา”
“เขาทำถูกแล้ว ท่านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ด้วยสถานะที่น่ากระอักกระอ่วนในราชสำนัก ขุนนางคนอื่น ๆ ไม่อาจหลบเลี่ยงเขาได้ แต่ก็ไม่อาจผูกมิตรกับเขาเช่นกัน”
ดังนั้น คนที่จงอ๋องใช้ได้จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“ไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้แล้ว” ลู่อี้คว้ามือนางมากุม “ข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่เมืองเตียนอวี้ ยังไม่กลับไปที่บ้าน ข้าจึงมาหาเจ้าก่อน ที่จริงข้าควรรอให้เจ้ากลับไป แต่ข้ารอไม่ไหว”
“ใต้เท้าลู่ได้เลื่อนขั้นแล้ว แต่แม้กระทั่งปากก็ยังได้เลื่อนระดับด้วยหรือ ถึงได้เอ่ยถ้อยคำหวาน ๆ เหล่านี้ออกมา ท่านคงไม่ได้ใช้ถ้อยคำหวาน ๆ เหล่านี้ออดอ้อนสตรีอื่นกระมัง?” มู่ซืออวี่หัวเราะคิกคักเบา ๆ
ลู่อี้ “…”
จู่ ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา
หากฮูหยินเห็นโม่อู๋เว่ย คงไม่เข้าใจผิดกระมัง?
เขาไม่ได้เอ่ยถ้อยคำหวานหูอันใดกับสตรีผู้นั้น และยิ่งไม่ได้เอ่ยสัญญาอะไรด้วยซ้ำ
[1] ซือเซิง (私生) หรือก็คือ ‘ซาแซง’ ในภาษาเกาหลี ซึ่งเป็นคำใช้เรียกผู้ที่ชอบตามติดชีวิตส่วนตัวของคนดังหรือคนที่สนใจมากจนเกินไป มักใช้ในความหมายด้านลบ