บทที่ 48 สะบัดออก
บทที่ 48 สะบัดออก
มู่เจิ้งหานไม่คิดว่ามู่ซือเจียวจะตั้งใจวิ่งมาตะโกนเรียกชื่อเขาและแม่ของเขาเหมือนคนบ้า สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธเคือง
“เรื่องในครอบครัวของข้า ท่านเกี่ยวด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
มู่ซือเจียวพูดเตือน “น้องหาน เจ้าถูกหลอกแล้ว นางจงใจยุยงให้แม่เจ้าเลิกกับอารอง ดูสิ ตอนนี้นางไม่สนใจพวกเจ้าด้วยซ้ำ ต่อไปพวกเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไร? เจ้าจะถูกนางหลอกใช้อย่างโง่เขลาอย่างนั้นหรือ?”
“ข้ามีสมอง ข้ารู้ว่าใครจริงใจกับข้าและใครจงใจสร้างปัญหา” มู่เจิ้งหานพูดอย่างเย็นชา
“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าใช้อะไรมองถึงคิดว่าข้าบ้า” มู่ซืออวี่ชักจะหงุดหงิด “การย้ายออกไปอยู่คนเดียวเป็นความคิดของท่านแม่และน้องหาน ข้านับถือความคิดของพวกเขา ถ้าเจ้าเป็นห่วงพวกเขาจริง ๆ เช่นนั้นก็ดีเลย ยามนี้พวกเขาย้ายบ้านใหม่ แต่ในบ้านไม่มีอะไรเลย เจ้าจะต้องรู้จักใส่ใจคนอื่น ซื้อของกินให้พวกเขาอย่างไรล่ะ เจ้ามีจิตใจที่งดงามเช่นนี้คงจะไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”
“ท่านย่าเป็นหัวหน้าครอบครัว ข้าจะไปแตะของในบ้านได้อย่างไร เจ้าพูดล้อเล่นอะไรอยู่?” เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่และมู่เจิ้งหานไม่ยอมรับ มู่ซือเจียวก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย
นางมองไปยังลู่อี้ด้วยสายตาคับแค้นใจ
ในฐานะที่เป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้าน หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านมักจะคอยตามป้วนเปี้ยนนางเสมอ พวกเขายอมทุกอย่างเพื่อทําให้นางมีความสุข มีแค่ลู่อี้คนนี้ที่ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็เหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่เคยแม้แต่จะชายตาแลนาง
นางจงใจสร้างปัญหาเพียงเพื่อให้พวกเขาหย่าร้างกัน ทางที่ดีที่สุดคือลู่อี้ต้องรีบขับไล่มู่ซืออวี่ออกไป
นางยืนอยู่นานแล้ว แต่เขากลับมองนางราวกับมองตัวตลก
“ช่างเถอะ ข้าทำเพื่อเจ้า ถ้าไม่ฟังก็ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้าไม่มีเงิน ไม่มีที่ดิน และยังถูกขับไล่ออกไปอยู่คนเดียว พวกเจ้าสองคนอดตายอยู่ข้างนอกแน่”
มู่ซือเจียวปรากฏตัวด้วยความโกรธ และจากไปด้วยความโกรธ
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสับสน “เหตุใดนางถึงมาที่นี่?”
“พยายามยุยงแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยจากไปด้วยความโกรธน่ะสิ” ลู่ฉาวอวี่พูดเบา ๆ “ทึ่มจริง ดูไม่ออกเลยรึ?”
“ใครจะเหมือนคนที่ฉลาดที่สุดในตระกูลอย่างเจ้าล่ะ”
เมื่อมู่ซือเจียวส่งเสียงเอะอะ ผู้คนในหมู่บ้านก็ได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง
ตอนแรกทุกคนค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดของมู่ซือเจียว แต่หลังจากได้ยินมู่เจิ้งหานบอกว่าเป็นความตั้งใจของถงซื่อ จึงไม่มีใครกังวลใจอีก
“ลู่อี้รับสองคนนั้นไปก็จริง แต่ขนาดครอบครัวของเขาเอง เขายังเลี้ยงไม่รอดเลย จะรับคนอื่นมาได้อย่างไร ถงซื่อคงจะร้องไห้จนตาย แล้วแบบนี้นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร?”
“ถงซื่อขยันมาก งานยุ่งทั้งในบ้านนอกบ้าน นางทำงานคนเดียวมากกว่าผู้ชายสามคนซะอีก อยู่กับแม่เฒ่าเจียงไม่ไหวหรอก ย้ายออกมาก็ดี”
คนในหมู่บ้านนี้ไม่เคยหยุดนินทาเรื่องชาวบ้าน
จงซื่อเป็นผู้หญิงขี้ซุบซิบที่รู้จักกันดีในหมู่บ้าน
“พี่ใหญ่เจียง พี่ใหญ่เจียง…” จงซื่อยืนอยู่นอกลานที่มีรั้วล้อมพลางร้องเรียกคนที่อยู่ข้างใน
แม่เฒ่าเจียงกำลังกวาดลานในขณะที่กำลังด่าลูกสะใภ้คนโตว่าเป็นคนเกียจคร้านที่กลับชาติมาเกิด ด่าถงซื่อว่าอกตัญญูบุญคุณที่เลี้ยงมาหลายปี ด่ามู่ต้าซานว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่แม้แต่จะสนใจผู้หญิง จึงทำให้ยุ่งยากตอนแก่
นางด่าทุกคนยกเว้นลูกชายคนโตและหลานชายคนโตที่ได้ร่ำเรียน แม้แต่มู่ซือเจียวอันเป็นที่รักก็ยังถูกนางด่า
นับตั้งแต่ถงซื่อและมู่เจิ้งหานออกไป ครอบครัวมู่ก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
เดิมทีถงซื่อและมู่เจิ้งหานเป็นคนที่ทำงานมากที่สุดในครอบครัว เมื่อพวกเขาจากไป งานก็ถูกแบ่งให้กับคนอื่น ๆ
มู่ต้าไห่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาสนใจแต่เรื่องที่ดินเท่านั้น ไม่สนใจว่าจะมีถงซื่อและมู่เจิ้งหานหรือไม่
ในอดีต ถังซื่อเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีที่สุดในหมู่บ้าน นางแก่กว่าถงซื่อห้าปี แต่ดูอ่อนกว่าสิบปี นางปากหวาน สามารถเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าเจียงให้ยิ้มด้วยคำพูดไม่กี่คำ ประกอบกับครอบครัวนางสามารถหาเงินได้ แม่เฒ่าเจียงจึงดีกับนาง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่! ตอนนี้ถงซื่อไปแล้ว ไม่มีคนทำงานบ้าน มีเพียงผู้หญิงสองสามคนในบ้านเท่านั้นที่ช่วยกันทำงานบ้าน
ถังซื่อยังคงขี้เกียจเหมือนเมื่อก่อน แม่เฒ่าเจียงจึงต้องทำงานแม้ว่านางจะไม่เต็มใจก็ตาม ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสิบวัน ผมหงอกของนางก็เพิ่มขึ้น และร่างกายของนางก็ซีดเซียวลงมาก
ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าเจียงจะไม่ให้มู่ซือเจียวทำงาน เพราะกังวลว่ามือของนางจะหยาบจนไม่สามารถเป็นนางบำเรอให้เศรษฐีได้ แต่ตอนนี้หญิงชราไม่สามารถควบคุมอะไรได้มาก ครั้นเห็นมู่ซือเจียว ก็จะสั่งให้นางไปทำงานทันที
แต่มู่ซือเจียวและแม่ของนางก็เหมือนปลาที่ชอบซ่อนตัวเมื่อมีโอกาส ตอนนี้จึงมีเพียงมู่ต้าซานเท่านั้นที่แม่เฒ่าเจียงสามารถจับตัวไปทำงานได้
“ทำอะไรอยู่? เรียกสติสิ!”
แม่เฒ่าเจียงอารมณ์ไม่ดี คำพูดของนางก็ฟังไม่เข้าหูมากกว่าปกติ
จงซื่อเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “ท่านพี่ ใครยั่วโมโหท่านหรือ? ไม่ว่าใครจะยั่วโมโหก็อย่าระบายความโกรธใส่ข้าสิ ข้าเจตนาดีนะ”
แม่เฒ่าเจียงไม่เปิดประตูลานบ้าน ตะโกนใส่จงซื่อผ่านรั้ว “บอกข้าที! เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ข้ามามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าลูกสะใภ้รองกับหลานเจ้าถูกลูกเขยกับหลานสาวเจ้าขับไล่ออกมาแล้ว” จงซื่อพูดอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ
ดวงตาของแม่เฒ่าเจียงเบิกกว้าง สีหน้ากระวนกระวายใจพลันหายไป ความตื่นเต้นกลับเข้ามาแทน
นางเปิดประตูลานบ้าน เดินออกมาถามจงซื่อว่า “ขับไล่? ขับไล่อย่างไร?”
“พวกเขาถูกขับไล่ไปได้อย่างไร? ข้าคิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” จงซื่อพึมพำ “เมื่อครู่ตอนที่ผ่านบ้านลู่ ข้าเห็นลูกสะใภ้รองของเจ้ากำลังร้องไห้ยกใหญ่”
“ว่าแล้ว!” แม่เฒ่าเจียงยิ้มยินดี “ข้าก็ว่าก่อนหน้านี้ต้องมีคนหนุนหลังแน่ ผ่านไปตั้งหลายวันก็ยังไม่ถูกไล่”
“ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้าแก่ขึ้นนะ แบบนี้ไม่ใช่ทางออกหรอก ในเมื่อลูกสะใภ้รองของเจ้าถูกขับไล่ เจ้าก็ควรไปแสดงน้ำใจพานางกลับมา ดูเหมือนนางจะหายดีแล้ว คงกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม คิดดูสิ นางถูกขับไล่คงจะเสียหน้าน่าดู ถ้าเจ้าแสดงน้ำใจกับนางในตอนนี้ นางจะไม่ซาบซึ้งเจ้าหรือ ต่อไปนางจะเป็นทาสรับใช้ของเจ้าแน่ อาจจะทำงานดีกว่าเดิมก็เป็นได้”
“เหอะ! คิดจะกลับมารึ ฝันไปเถอะ” ครั้นความมั่นใจของแม่เฒ่าเจียงเต็มเปี่ยม นางก็หยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อย ๆ “เว้นแต่นางจะคุกเข่าสามครั้ง ก้มกราบอีกเก้าครั้งเป็นการขอโทษข้า มิฉะนั้นนางจะไม่อาจกลับมาตระกูลมู่ของพวกเราได้อีก ลูกชายของข้าไม่ต้องการหญิงแก่อัปลักษณ์คนนั้นแล้ว”
จงซื่อกลอกตา
ผิวหนังของถงซื่อไหม้เพราะถูกน้ำร้อนลวก ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าอีกฝ่ายเคยเดินผ่านประตูนรกมาแล้ว แต่ก็ยังต้องการให้มาขอโทษคนกระทำอีก หญิงชราคนนี้บ้าไปแล้วหรือ?
“ถือว่าข้าบอกเจ้าแล้วก็แล้วกัน จะฟังหรือไม่ก็ช่างมันเถอะ” แน่นอนว่าจงซื่อไม่ได้มีเจตนาที่ดี นางก็แค่มาดูเรื่องน่าขันเท่านั้น “ข้าจะกลับไปอุ้มหลาน ไม่คุยกับเจ้าแล้ว”