บทที่ 54 ของเจ้ายังขายไม่ออก ถ้าอย่างนั้นมาขายของข้าก่อน
บทที่ 54 ของเจ้ายังขายไม่ออก ถ้าอย่างนั้นมาขายของข้าก่อน
ลู่อี้มองไปยังชายที่กำลังเดินเข้ามาหา เขายังคงสีหน้าเย็นชาไว้เช่นนั้น ก่อนจะตอบไปแค่คำเดียวว่า “อืม”
เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินสิ่งที่เขาตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า ‘อืม’ นางก็รู้สึกถึงความฉุนเฉียวใจร้อนของเขา ทำให้รู้ว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน
“แม่นางผู้นี้… คือพี่สะใภ้สินะ?” ถังหมิงฉงหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอพี่สะใภ้กับพี่อี้ ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆ”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วขึ้นแล้วชายตามองไปที่อีกฝ่าย
กิ่งทองใบหยก?
นางตระหนักได้ว่าคนแบบนี้เป็นเช่นไร พูดแบบนี้ไม่ได้เจตนาดีเป็นแน่
“สามี คนคนนี้เป็นน้องของเจ้าหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้มแฉ่ง
ลู่อี้ “…”
เขาเหลือบมองนางก่อนจะตอบว่า “เพื่อนสมัยเรียนน่ะ”
“พี่อี้เป็นดาวเด่นประจำสำนักของเราในอดีตน่ะ” ถังหมิงฉงเจตนาเน้นคำว่า ‘ในอดีต’ เพื่อตั้งใจล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด
มู่ซืออวี่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม นางยิ้มแฉ่งมากกว่าเดิม “จริงหรือ? สามีของข้าน่าทึ่งจริง ๆ”
แววตาของถังหมิงฉงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
สาวชาวบ้านก็คือสาวชาวบ้าน ขี้เหร่ แถมยังโง่อีกด้วย
หากถังหมิงฉงมีโอกาสได้เจอเจ้าของร่างเดิมก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ใช้คำว่า ‘ขี้เหร่’ มาประเมินนางในตอนนี้หรอก
เจ้าของร่างเดิมไม่เพียงแต่อ้วนเท่านั้น แต่ยังมีสิวเต็มหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง หากมองดูมู่ซืออวี่ในปัจจุบัน เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดสะอ้าน ผมเผ้าหวีจนเรียบ สิวบนหน้าก็หายไปเยอะแล้ว น้ำหนักก็ลดลงไปตั้งเยอะ ถึงได้กลายมาเป็น ‘ขี้เหร่’ ในแบบนี้
“ในเมื่อเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนจนเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันแบบนี้” มู่ซืออวี่พูดอย่างจริงจัง “เช่นนี้แล้วเจ้าจะมาแบกแพะตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่คนเดียว แล้วปล่อยให้เขาอยู่ข้าง ๆ ได้แต่มองดูเจ้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
ลู่อี้หยุดฝีเท้า เลิกคิ้วขึ้น แล้วมองสีหน้าไร้เดียงสาของมู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ
มุมปากของถังหมิงฉงกระตุก “นี่เจ้า…”
“เมื่อสักครู่เจ้ายกย่องข้าเป็นท่านพี่สะใภ้มิใช่รึ?” มู่ซืออวี่ขัดจังหวะถังหมิงฉง
ถังหมิงฉงพูดเบา ๆ “ก็ใช่”
ทุกคนไม่ได้เรียกกันแบบนี้หรอกหรือ?
ก็เหมือนกับการที่ได้เจอกับคนที่ไม่ชอบ พอเจอกันก็เรียก ‘พี่’ กันทั้งนั้นแหละ และแน่นอนว่าภรรยาของลู่อี้ก็คือ ‘พี่สะใภ้’
นี่ถือว่าเป็นมารยาท ผู้หญิงคนนี้ไม่ปกติรึเปล่า ไม่เข้าใจหรือไง?
“เช่นนั้นสามีจะมาเห็นแก่ตัวแบบนี้ไม่ได้” มู่ซืออวี่คว้าแขนของลู่อี้ และมองเขาอย่างจริงจัง “คุณชายท่านนี้ก็เคยเรียนที่สำนักเดียวกันกับเจ้า ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป อาจจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียได้”
เดินมาจนถึงประตูเมืองจนได้ ถังหมิงฉงก็มิอาจทำความเข้าใจได้ว่าเหตุใดสถานการณ์กลับกลายเป็นว่าเขามาช่วยลู่อี้แบกสัตว์ป่า
เหตุใดเขาไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกนะ?
ไม่สิ ถังหมิงฉงเองก็อยากปฏิเสธอยู่หรอก แต่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปิดปากด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มจะเอ่ยปากพูด ผู้หญิงคนนี้ก็จะหาเหตุผลนานัปการมาปิดปากเขาไว้ ทำให้เขางุนงงหลงช่วยลู่อี้แบกของป่าเช่นนี้
แพะก็ตัวใหญ่มาก แถมยังไม่ตายเสียด้วย แล้วก็ยังดิ้นไปมาอยู่เรื่อย ทำให้ร่างกายของเขาที่อ่อนแรงอยู่แล้วซวนเซหนักกว่าเดิม
ถังหมิงฉงกัดฟันอดทน
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้คนอื่นมาสบประมาทเขาไม่ได้ มิฉะนั้นผู้หญิงคนนี้จะมองว่าเขาเป็น ‘บัณทิตที่เก่งแต่ในตำรา’
ลู่อี้ตัวสูง ส่วนถังหมิงฉงเตี้ยกว่า เช่นนี้แล้วน้ำหนักส่วนใหญ่ก็เทมายังถังหมิงฉงที่ต้องเป็นคนรับไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ถังหมิงฉงก็เริ่มท่าไม่ดี
ลู่อี้ยิ้มมุมปาก
ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกจริง ๆ
แถมยังเจ้าเล่ห์ไม่เบา
ถ้าขนาดนี้แล้วยังดูไม่ออกว่านางแตกต่างจากมู่ซืออวี่คนเดิม แสดงว่าเขาไม่คู่ควรกับฉายาอัจฉริยะแล้ว
“นั่นไม่ใช่พี่ถังหรอกรึ?”
“นั่นใช่พี่อี้หรือเปล่า?”
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเฉียนจงอวิ๋นและถังหมิงฉงเป็นสุนัขรับใช้ของฟางโจวอวี่ และฟางโจวอวี่ก็เกลียดลู่อี้มาก ครั้นได้เห็นถังหมิงฉงและลู่อี้เข้ากันได้เช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
ฟางโจวอวี่ยิ้มแห้ง “พี่อี้ก็นับว่าเรียนที่เดียวกันมา หมิงฉงช่วยก็สมควรแล้วล่ะ”
ตุ้บ!
ถังหมิงฉงล้มตัวลงไปนั่งบนพื้น
ในร้านน้ำชา บัณฑิตสองสามคนยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง เมื่อเห็นฉากดังกล่าว พวกเขาก็หันมามองฟางโจวอวี่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณชายถัง! ไอ้หยา! ดูเหมือนว่าการที่ท่านหมกตัวอยู่ในสำนักเอาแต่อ่านตำราคงไม่ดีแล้วล่ะ ร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้ว นี่ถ้าลมพัดมา ตัวท่านคงปลิวไปแน่ ๆ แล้ว ทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย?”
ถังหมิงฉงลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เสื้อผ้าบนตัวเขาปรากฏรอยขาดขนาดใหญ่
เขาจ้องไปที่มู่ซืออวี่ด้วยความโกรธจนลนลาน ไม่สามารถปกปิดความหน้าซื่อใจคดของเขาได้อีกต่อไป
แต่มู่ซืออวี่จะไปเปิดโอกาสให้เขาอีกได้อย่างไร?
นางฉีกยิ้มพลางพูดว่า “พอเถอะ เช่นนั้นท่านก็ส่งแพะมาก็แล้วกัน! อย่างไรท่านก็อ่อนแอซะขนาดนี้ เดินต่อไม่ไหวแล้วล่ะ สามี พวกเราไปกันเถอะ!”
ลู่อี้ยกแพะขึ้นมาแบก พยักหน้าให้ถังหมิงฉงแล้วเดินตามมู่ซืออวี่ไป
เสียงของถังหมิงฉงดังมาจากด้านหลัง “โธ่เว้ย!”
โครม! ไม่รู้ว่าเขาเตะโดนอะไร
ส่วนอีกด้าน มู่ซืออวี่กำลังอารมณ์ดี ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
นางยิ้มอย่างอบอุ่น แม้แต่ใบหน้า ‘มู่ซืออวี่’ ที่เขาเคยรังเกียจก็ยังทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินได้มากมาย
เมื่อมองดูนางท่ามกลางแสงแดดแล้ว ดูราวกับว่านางกำลังส่องแสงเปล่งประกาย เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นอย่างไร นางชื่ออะไร มาจากที่ไหน และเคยประสบพบเจอเจออะไรมาบ้าง
แต่นางก็น่าจะเป็นผู้หญิง
เพราะทักษะงานฝีมือยอดเยี่ยม ทั้งยังปฏิบัติต่ออวิ๋นเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนราวกับเป็นแม่แท้ ๆ
นางเหมือนกลับมาแก้แค้น ถ้าถูกยั่วยุ นางก็จะไม่ทนแน่นอน นอกจากนี้ฝีไม้ลายมือเวลาทะเลาะกับแม่เฒ่าเจียงและคนอื่น ๆ ก็มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้
หากเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็คงจะแปลกที่รู้จักงานฝีมือช่างไม้ ครอบครัวของนางอาจจะเป็นช่างไม้ถึงได้เลี้ยงลูกสาวให้มีฝีมือด้านงานไม้ที่โดดเด่นได้ขนาดนี้
ถ้าอย่างนั้นนาง…
แต่งงานหรือยัง?
มีคนรักหรือเปล่า?
ลู่อี้รู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นปริศนาที่เขาต้องไขให้ได้
“ปกติแล้วเจ้าเอาเหยื่อไปขายให้ใคร?” มู่ซืออวี่หันกลับมาถามเขา
“ร้านอาหาร”
“เช่นนั้นเราก็ตรงไปร้านอาหารกัน”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ลู่อี้ก็แบกแพะเดินออกจากร้านอาหาร
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่ซืออวี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็เข้ามาถามว่า “มีอะไรหรือ?”
“ไปกันเถอะ!” สีหน้าของลู่อี้ไม่สู้ดีนัก
มู่ซืออวี่เห็นเขาไม่พูดอะไรก็ไม่อยากถามไปมากกว่านี้
“พี่อี้” เฟิงเจิงวิ่งออกมาจากด้านใน
“เฟิงเจิง ขอบใจที่เจ้าช่วยพูดแทนข้า แต่วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกเลย มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่องานของเจ้าที่นี่” ลู่อี้กล่าว
“ข้าไม่กลัวหรอก! ที่นี่ไม่ต้องการข้า อย่างมากข้าก็ไปที่อื่น ข้าขยันและตั้งใจทำงาน พี่อี้ไม่รู้หรอกว่ามีเถ้าแก่อีกตั้งหลายคนต้องการให้ข้าไปช่วยงานพวกเขา” เฟิงเจิงไม่สนใจแล้วก็พูดต่อ “แต่พี่อี้ เจ้าของร้านไม่ยอมรับสินค้าจากพี่ แล้วพี่จะทำอย่างไรต่อไป? ร้านเราเล็ก แต่เป็นร้านอาหารร้านเดียวที่ค้าขายดี ถ้าเขาไม่รับสินค้าจากพี่ ร้านอื่นก็ไม่น่ารับแล้ว ตัวใหญ่ขนาดนี้ ลูกค้าคงกินไม่หมด”
“ไม่เป็นไร อย่างมากก็ไปเมืองที่ไกลออกไปอีก ร้านอาหารที่นั่นมีมากมาย ร้านที่อยากได้แพะตัวใหญ่ขนาดนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย” ลู่อี้พูด “เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
เสียงเจ้าของร้านที่อยู่ข้างในตะโกนเรียกเฟิงเจิงดังออกมา ครั้นได้ยินเสียงดังกล่าวก็รับรู้ได้ว่าเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ชัดเจนว่าเจ้าของร้านโกรธเฟิงเจิงที่เอาเรื่องภายในมาบอกคนนอก
ไม่ว่าเฟิงเจิงจะไม่พอใจแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ต้องกลับเข้าไป เพราะเดือนนี้เขายังไม่ได้รับเงิน เขาปลอบลู่อี้อีกสองสามคำ จากนั้นก็กลับเข้าไปในร้านอย่างไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรนะ ยังมีข้าอยู่ทั้งคน!“ มู่ซืออวี่พูด “สินค้าของเจ้ายังขายไม่ออก ถ้าอย่างนั้นมาขายของข้าก่อนแล้วกัน!”