บทที่ 69 งานฉลองมงคลสมรสในหมู่บ้าน
บทที่ 69 งานฉลองมงคลสมรสในหมู่บ้าน
ณ เมืองซูโจว เรือนหมิงอัน
“ท่านหมอลี่ สุขภาพของลู่เซวียนดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
แววตาอันลึกล้ำของลู่อี้จับจ้องไปยังชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายชราผู้มีใบหน้าที่สง่างามคลำชีพจรของอีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นจึงลูบเคราอันงดงามของตนแล้วคลายคิ้วที่ขมวดไขว้อย่างเชื่องช้า
ลู่เซวียนหลับตาลงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากของเขาเม้มสนิท แสดงให้เห็นความหดหู่ได้ชัดเจน เขาไม่แปลกใจกับผลลัพธ์เท่าไรนัก
ร่างกายที่แตกสลายนี้มีประโยชน์อะไรเล่า? มีแต่สร้างปัญหาให้พี่ชาย
“ระยะนี้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเจ้าหรือ?” ท่านหมอลี่ปล่อยมือ “นานมากแล้วที่ร่างกายของเจ้าไม่ได้รับการฟื้นตัวอย่างดีเช่นนี้”
สองพี่น้องจ้องมองไปยังหมอชราด้วยความประหลาดใจ
พวกเขามารักษาตัวที่เรือนหมิงอันมากว่าสามปีและใช้จ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่ไม่เคยได้ยินหมอชราเอ่ยคำพูดที่ทำให้พวกเขามีความหวังเช่นนี้เลย
ทุกครั้งที่มาเพื่อเข้ารับการตรวจ ชายชรามักแสดงสีหน้าราวกับหมายจะบอกว่า ‘จงใช้ชีวิตทุกวันที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า’ แต่ต่อให้เขาจะไม่พูดอะไร ทุกคนก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสุขภาพของลู่เซวียนไม่ดีขึ้นเลย ไม่ต้องพูดถึงการรักษาให้หายขาด ตอนนี้ทำได้เพียงพยุงอาการไม่ให้แย่ลงเท่านั้น
“ไม่มีขอรับ” ลู่เซวียนเอ่ย “นอกเหนือจากยาที่ท่านหมอสั่งจ่ายให้ ข้าก็ไม่ได้ทานยาหรือสมุนไพรอื่นใดเลย”
“สุขภาพพวกเจ้าดีขึ้นมาก ที่ผ่านมาได้ทานอาหารดี ๆ ใช่หรือไม่?” ท่านหมอลี่จ้องมองไปยังสองพี่น้อง
“สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยด้วยหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“แน่นอนว่าเกี่ยวข้อง” ท่านหมอลี่กล่าว “แม้ตัวยาที่ข้าสั่งจ่ายจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ยังมีส่วนผสมของยาพิษ หากกินหรือดื่มอย่างถูกวิธีก็ไม่จำเป็นต้องกังวล การได้รับประทานอาหารดีน่ะ จะดีต่อร่างกายยิ่งกว่ายาที่ข้าสั่งจ่ายให้เสียอีก”
“มีบางสิ่งเกิดขึ้นในครอบครัวของเรา และทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าเดิม” ภาพของมู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋นที่เข้ากันได้ดีปรากฏขึ้นในหัวลู่อี้ ความอ่อนโยนพลันฉายอยู่ในแววตาของเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็ยอดเยี่ยม ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอาการป่วยของลู่เซวียน สภาพแวดล้อมในครอบครัวจะส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ของผู้ป่วย และอารมณ์ของผู้ป่วยก็จะส่งผลต่อร่างกายเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นในโลกนี้คงไม่มีผู้คนที่เสียชีวิตไปด้วยอาการซึมเศร้าหรอก”
“แล้วร่างกายของลู่เซวียน…”
“ดีขึ้นมาก ต่อให้จะเอ่ยอย่างเต็มปากไม่ได้ว่าจะมีอายุยืนยาว แต่ข้ารับรองได้ว่าจะอยู่ถึงวันแซยิด*[1]แน่”
ลู่เซวียนเผยรอยยิ้มอันผ่อนคลายก่อนจะหันมองลู่อี้ พี่น้องทั้งสองจ้องมองกันด้วยรอยยิ้ม ความเศร้าหมองทั้งหมดที่เคยปรากฏบนใบหน้าของลู่เซวียนพลันเลือนรางจางหายไป ราวกับแสงตะวันที่สาดส่องมาหลังพายุฝน คนเช่นเขามองเห็นความหวังชัดเจนขึ้นบ้างแล้ว
“ลู่เซวียน”
หลังจากเดินออกจากเรือนหมิงอัน ลู่เซวียนก็พลันได้ยินบุคคลปริศนาเรียกชื่อ
สองพี่น้องจ้องมองไปก็พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง แลดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
“เป็นเจ้าจริงด้วย! ลู่เซวียน” ชายผู้นั้นจ้องมองพลางเดินไปหาลู่เซวียนด้วยความประหลาดใจ “เนิ่นนานแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจ้า เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด จริงสิ จวนเอ๋อร์ มาดูเถิดว่าข้าพบผู้ใด?”
เด็กหญิงผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม นางเป็นเด็กที่ดูน่ารักน่าชัง เมื่อเห็นลู่เซวียน นางก็ก้มศีรษะลง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา
เมื่อลู่เซวียนได้พบคนทั้งสอง สีหน้าและแววตาที่หม่นหมองของเขาก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
วันนี้มีงานฉลองมงคลสมรสในหมู่บ้านของตระกูลลู่ ทุกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวของเหยาซื่อก็ต่างเดินทางไปช่วยจัดเตรียมงาน ลานที่เคยว่างเปล่าในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน กำลังครึกครื้นมีชีวิตชีวา
มู่ซืออวี่รับหน้าที่ ‘แม่ครัวใหญ่’ ในวันนี้ นางจึงกลายเป็นบุคคลที่สาละวนอยู่กับงานมากที่สุด นางให้เหล่าแม่บ้านในหมู่บ้านมาช่วยเหลือ ในครัวจึงเต็มไปด้วยส่วนผสมและจานชามทุกชนิด ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“ท่านป้าถง ข้าเห็นแม่เฒ่าเจียงเมื่อครู่ ระวังตัวด้วย อย่าเผลอเข้าไปเผชิญหน้ากับนางล่ะ” เฉินซื่อกล่าวเตือนขณะกำลังล้างจาน
“ข้าจะอยู่คอยช่วยเหลือลูกอวี่ จะไม่ไปที่ใดหรอก” ถงซื่อกล่าวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
ความทุกข์ทรมานที่เคยได้รับจากแม่เฒ่าเจียงมาเป็นเวลาหลายปีฝังแน่นในใจนาง เมื่อได้ยินว่าหญิงชราอยู่ไม่ไกล ร่างกายของนางก็แข็งทื่อทันที
“ดอกไม้ประดับบนหัวเจ้างดงามมาก”
“ชุดของเจ้าก็งดงามเช่นเดียวกัน”
“ผมทรงนี้ทำอย่างไรหรือ? ผู้ใดกันที่ทำผมให้กับเจ้า? ข้าไม่เคยเห็นทรงผมเช่นนี้มาก่อน”
ลู่จื่ออวิ๋นถูกห้อมล้อมโดยเด็กหญิงวัยเดียวกันราวสองสามคน นางบอบบางและเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยสิ่งใด ราวกับว่าการพูดเสียงดังอาจทำให้นางตกใจได้ ผิวที่ดูไหม้แดดของเด็กหญิงตัวเล็กเหล่านี้แตกต่างจากผิวที่ดูบอบบางอมชมพูราวกับได้กินมะเขือเทศหลากหลายสายพันธุ์ของลู่จื่ออวิ๋นอย่างมาก
ลู่ฉาวอวี่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือลู่จื่ออวิ๋น แต่กลับถูกเด็กชายผิวคล้ำที่อยู่ด้านข้างห้ามไว้ เด็กชายผู้นั้นเกิดในวันเดือนปีเดียวกันกับลู่ฉาวอวี่ แต่มีความสูงมากกว่าเขาเกินครึ่งศีรษะ
“พวกนางกำลังเล่นหยอกล้อกัน เจ้าจะเข้าไปทำไม? น้องสาวข้าเองก็อยู่ตรงนั้น ไม่มีผู้ใดรังแกน้องสาวของเจ้าหรอก”
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองไปตามทิศทางมือของเด็กชายผิวคล้ำ
เด็กชายผู้นี้ไม่เพียงมีใบหน้าที่คล้ำหมอง แต่มือของเขาเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย กระนั้นก็ยังดูน่ารักน่าชม
“เจ้าสาวมาแล้ว!” เสียงตะโกนดังขึ้น
การแต่งงานของผู้คนในชนบทมีกฎเกณฑ์ไม่มากนัก พวกเขายืมเกวียนของเพื่อนบ้านเพื่อพาเจ้าสาวไปเข้าร่วมพิธี
เจ้าสาวสวมชุดแต่งงานที่ไม่พอดีตัวนัก แต่ดอกไม้สีแดงที่ประดับประดาบนศีรษะและใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางนั้นดูงดงามยิ่งกว่าผู้ใด
“เชิญนั่งก่อนเถิด ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น” เหยาซื่อกล่าวทักทายครอบครัวฝ่ายตรงข้าม
พ่อแม่และพี่ชายของเจ้าสาวถูกส่งไปต้อนรับแขก ผู้เป็นพี่ชายดูแข็งแรงและสูงโปร่ง ส่วนผู้เป็นพ่อแม่ดูสัตย์ซื่อและน่านับถือ
ชาวบ้านมากมายต่างนั่งแทะเมล็ดทานตะวันซุบซิบกัน เหล่าผู้หญิงพูดคุยถึงเรื่องราวในการสอนลูก ส่วนผู้ชายจะพูดถึงพืชผลในปีนี้ รวมถึงวิธีการจัดการงานแต่งงานสำหรับลูกของตนในอนาคต การได้พูดคุยกันทำให้ต่างคนต่างมีความสุขที่หาได้ยาก
“เหอะ!” แม่เฒ่าเจียงจ้องมองมู่ซืออวี่ “หญิงที่เอาแต่กอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองเช่นนี้หรือจะมีจิตใจช่วยเหลือผู้อื่น ไร้ยางอายสิ้นดี”
จงซื่อที่อยู่ด้านข้างรีบดึงแขนเสื้อแม่เฒ่าเจียงไว้ “หัวหน้าหมู่บ้านดูอยู่ ท่านอย่าสร้างปัญหาเลย วันนี้เป็นงานมงคลของต้าจู้ หัวหน้าหมู่บ้านย้ำเตือนหลายครั้งว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดสร้างปัญหาในวันนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะขับไล่บุคคลผู้นั้นออกจากหมู่บ้าน”
แม้ว่าแม่เฒ่าเจียงจะไม่เต็มใจนัก แต่นางก็ทราบดีว่าหากผู้ใดฝ่าฝืนคำย้ำเตือนของหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก
“ต้าจู้ ช่างได้เจ้าสาวที่งดงามยิ่งนัก!” พี่ชายที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อลู่ต้าจู้กล่าวพลางตบไหล่เขา “น้องชายโชคดีจริง ๆ!”
“เจ้าสาวเป็นดั่งดอกไม้งามแห่งหมู่บ้านตระกูลจาง ข้าไม่อาจรู้ได้ว่ามีชายหนุ่มมาสู่ขอนางกี่คน แต่นางไม่เคยตกลงปลงใจแต่งงานกับชายใดเลยนอกจากเจ้า เจ้าทำสิ่งใดให้นางประทับใจหรือ? ช่วยเล่าให้ฟังทีเถิด”
“นั่นสิ ช่วยเล่าให้ฟังทีเถิด…”
เสียงตะโกนของฝูงชนดังขึ้น ทำให้ลู่ต้าจู้รู้สึกเขินอายอย่างมาก “จะให้ข้าเล่าสิ่งใด? ไม่มีอะไรเลย”
“ลูกพี่… ลูกพี่… ออกมาก่อนเถิด!” เสียงตะโกนของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก “ลูกพี่! ท่านจะทำลายงานมงคลสมรสของผู้อื่นไม่ได้ ท่านออกมากับข้าก่อน”
ลานกว้างที่เคยเต็มไปด้วยเสียงกึกก้องพลันเงียบลงทันใด
ทุกคนจ้องมองกันด้วยความงุนงง
เจ้าสาวที่กำลังอยู่ในพิธีได้ยินเสียงโวยวายก็พลันลุกขึ้นยืน
เนื่องจากผู้มาเยือนเห็นว่าประตูลานกว้างไม่ได้ปิดไว้ จึงบุกเข้าไปทันที
เมื่อครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวได้ยินเสียงโวยวายก็รีบเข้ามาขวางร่างของชายหนุ่มไว้ “วันนี้เป็นวันสำคัญของลูกพี่ลูกน้องเจ้า ไม่สร้างปัญหาได้หรือไม่? ถือว่าข้าขอร้อง!”
[1] วันแซยิด คือวันที่มีอายุครบ 5 รอบนักษัตรตามคติของจีน นั่นคือครบ 60 ปีบริบูรณ์a