บทที่ 77 เรื่องซุบซิบนินทามีอยู่ทุกยุคสมัย
บทที่ 77 เรื่องซุบซิบนินทามีอยู่ทุกยุคสมัย
ขณะนี้หมู่บ้านตระกูลลู่อยู่ในช่วงฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิต ผู้คนมากมายที่ทำไร่นาต่างมารวมตัวและพูดคุยกัน
บรรดาเด็กเล็กวิ่งเล่นใต้ต้นไม้ สมาชิกในครอบครัวตะโกนร้องห้ามเป็นระยะ ทว่าพวกเขาซนเกินกว่าจะห้ามปรามได้ อย่างไรก็ตาม การตักเตือนก็ย่อมดีกว่าไม่เอ่ยสิ่งใดเลย
เด็กไม่เคยล้มจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บปวด? แน่นอนว่าพวกเขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาสนทนากันถึงเรื่องวันแต่งงานของลู่ต้าจู้ ขณะที่มู่ซืออวี่และถงซื่อเดินกลับมาพร้อมลูกทั้งสอง
มู่ซืออวี่เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ออก ถงซื่อเองก็หอบหิ้วห่อผ้าเล็กใหญ่มาด้วย
“ป้าเจียง ดูลูกสะใภ้ของท่านสิ อยู่กับลูกสาวแล้วดูชีวิตดี๊ดี สมัยที่แต่งงานใหม่ ๆ นางไม่มีแม้เสื้อผ้าสวยงามจะสวมใส่ แต่ดูตอนนี้เถิด…”
จงซื่อกล่าวยุยงแม่เฒ่าเจียงราวกับกลัวว่าโลกนี้จะสงบสุข
“ลูกสะใภ้อะไรกัน? คนเช่นนี้ไม่มีผู้ใดต้องการหรอก” แม่เฒ่าเจียงกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าดีหรือ? นั่นไม่ใช่ของดีสักหน่อย ลูกชายคนโตของข้าเดินทางไปทำงานในเมือง เขาย่อมเอาของดีกลับมาเป็นเกียรติยศให้ข้าแน่”
เมื่อกล่าวถึงลูกชายคนโต สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ทว่าความภาคภูมิใจนั้นพลันหายไปเมื่อได้เห็นสีหน้าของถงซื่อ
“แค่เห็นหน้าทุกข์ระทมของนางก็ทำให้ข้าโกรธแล้ว นางควรหย่าไปตั้งนานแล้ว การจากไปของนางทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น เห็นหรือไม่ว่าทันทีที่นางจากไป ลูกชายคนโตของข้าก็ได้กลายเป็นเจ้านาย ส่วนเจียวเอ๋อร์ก็ได้กลายเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ลูกคนที่สามของเราก็กำลังได้ดิบได้ดีในตระกูลหวัง ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของนายน้อยแห่งตระกูลหวังอีกด้วย”
แม่เฒ่าเจียงพอใจมาก แต่หญิงสาวชาวบ้านที่อยู่ข้างนางกลับอิจฉาริษยาถงซื่อ นั่นเป็นสิ่งที่นางไม่ปรารถนาจะได้ยิน
“แล้วลูกคนที่สองของเจ้าเล่า? หากไม่มีภรรยาก็ไม่มีทายาทสืบสกุล เจ้าบอกว่าได้หาหญิงงามที่เหมาะสมไว้ให้เขาแล้วไม่ใช่หรือ? จะจัดงานแต่งงานให้กับเขาเมื่อใดเล่า?”
แม่เฒ่าเจียงกล่าวอย่างเฉยเมย “เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก? ข้าต้องหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งเขายังมีอายุมากแล้ว หากไม่ได้แต่งงานก็ไม่จำเป็นต้องแต่ง ต่อให้เขามีลูกยามแก่ชราจนกระทั่งจดจำลูกหลานของตนไม่ได้ แต่ทายาทเหล่านั้นก็ยังถือเป็นผู้สืบสันดานไม่ใช่หรือ?”
ชาวบ้านผู้นั้นเผยสีหน้า ‘สงสัย’ ในทันที
มู่ต้าซานน่าจะยังจินตนาการว่าแม่ของเขาจะให้แต่งงานกับลูกสะใภ้ที่มีอายุน้อยและงดงาม แต่น่าเสียดายที่นั่นอาจเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน
แม้ว่าแม่เฒ่าเจียงจะมีเงินทองมากมายและยินดีจ่าย แต่แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องยากที่จะมีหญิงงามคนใดเต็มใจแต่งงานกับชายอายุมาก อีกทั้งเรื่องที่แม่เฒ่าเจียงทรมานลูกสะใภ้ยังแพร่สะพัดไปทั่ว มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะยินดีแต่งงานเข้าไปในครอบครัวนี้
“ภรรยาลู่อี้! พวกเจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองอย่างนั้นหรือ?”
เสียงตะโกนของบุคคลหนึ่งถามมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว”
“วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด เจ้าเข้าไปทำสิ่งใดในเมืองหรือ? ภรรยาลู่อี้ สามีของเจ้าล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ อีกทั้งยังต้องหาเงินมาเพื่อจ่ายค่ารักษาให้กับลู่เซวียน เจ้าควรช่วยเขามัธยัสถ์ อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยนักเลย”
มู่ซืออวี่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจริงใจหรือเสแสร้ง แต่นางกล่าวด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่มองหน้าบุคคลนั้นเลย “ขออย่าเป็นกังวล ข้าจัดสรรทุกอย่างได้ด้วยตนเองเป็นอย่างดี และตอนนี้ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ ขอตัวก่อนนะ”
แม่เฒ่าเจียงที่บังเอิญได้ยินประโยคเหล่านั้นด้วยก็ตะคอกอย่างเย็นชา
ถงซื่อสั่นสะท้านทันทีโดยสัญชาตญาณ
มู่เจิ้งหานที่ยืนอยู่เบื้องหลังถงซื่อจ้องมองไปยังแม่เฒ่าเจียงด้วยความโกรธเกรี้ยว
สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงเต็มไปด้วยความดุดัน นางด่าทอออกมาไม่หยุด “จิ้งจอกตาขาว*[1]! หึ!”
มู่เจิ้งหานราวกับต้องการจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับถูกลู่ฉาวอวี่คว้ามือไว้
“ท่านจะทำอะไร? ยิ่งต่อปากต่อคำกับนางมากเท่าใด นางก็ยิ่งภูมิใจมากเท่านั้น วิธีรับมือที่ดีคือการเพิกเฉยต่างหาก”
“หานเอ๋อร์ เจ้าต้องเรียนรู้จากฉาวอวี่เอาไว้ เด็กชายคนนี้อายุน้อยกว่าเจ้ามาก แต่เขานิ่งเฉย สุขุมดุจดังสัตว์ร้ายเลยล่ะ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าเองก็กำลังจะเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ควรเคียดแค้นกับเรื่องเพียงเท่านี้”
“ฉาวอวี่ฉลาดมาก” มู่เจิ้งหานกล่าวพลางเกาศีรษะ “ข้าจะเรียนรู้จากฉาวอวี่”
“ข้าเองก็คิดว่าท่านพี่ฉลาดมากเช่นกัน” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ในสายตาของข้า พี่ชายข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด”
ลู่ฉาวอวี่ค่อย ๆ หันมาจ้องมองน้องสาวอย่างระมัดระวัง ใบหูของเด็กชายแดงเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามแสร้งปกปิดความเขินอายเอาไว้ ดูแล้วน่าเอ็นดูไม่น้อย
หลังจากที่ออกจากบ้านได้ไม่นาน รถม้าคันหนึ่งก็มาถึงหอหลิงอวิ๋น ชายแข็งแกร่งสองคนเดินออกมาพร้อมขนไม้ลงจากรถม้าเป็นจำนวนมาก
“ระวังด้วย อย่าให้มีรอยขีดข่วน”
มู่ซืออวี่สั่งให้พวกเขาขนถ่ายสินค้า
ชายคนหนึ่งที่มาเพื่อขนถ่ายสินค้ากล่าวกับมู่ซืออวี่ว่า “แม่นาง นี่คือสิ่งที่คุณหนูรองของเราต้องการ หากข้าจะขอให้เจ้าประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นอีก เจ้าจะสามารถทำให้เสร็จสิ้นได้เมื่อใด? ข้าจะเดินทางมารับด้วยตนเอง อ้อ ข้าชื่อเจียอี้นะ”
“อืม ไม่มากนัก คาดว่าสามวัน! เจ้ามารับได้ในอีกสามวันข้างหน้า”
มู่ซืออวี่จ้องมองหีบขนาดเล็กทั้งห้าที่สามารถประดิษฐ์ให้เสร็จสิ้นได้ภายในหนึ่งวัน ส่วนหีบขนาดกลางจำนวนสองหีบและขนาดใหญ่อีกหนึ่งหีบต้องใช้เวลาดำเนินการราวหนึ่งวันครึ่ง ส่วนอีกครึ่งวันที่เหลือ นางจะใช้เพื่อตรวจสอบและปรับแต่งผลงานให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด
“เอาล่ะ เช่นนั้นเราต้องขอตัวก่อน”
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่รถม้าจากไป ผู้คนมากมายในหมู่บ้านต่างออกมาเดินเตร็ดเตร่ราวกับสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ในสมัยโบราณเช่นนี้ไม่มีรายการบันเทิงให้ได้รับชม สิ่งเดียวที่จะทำให้ผู้คนจรรโลงใจคือการข้องเกี่ยวกับชีวิตของผู้อื่น ไม่ต่างจากยุคสมัยปัจจุบันที่ผู้คนมักอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น มู่ซืออวี่เข้าใจดี ดังนั้นนางจึงสามารถเพิกเฉยได้
เสียงซุบซิบดังขึ้นจากลานกว้าง
“เหตุใดภรรยาของลู่อี้จึงดูแปลกประหลาดและน่าสงสัยเช่นนี้? นางยุ่งอยู่กับสิ่งใดทั้งวัน?”
“ใช่แล้ว เมื่อครู่คือรถม้าใช่หรือไม่? นางรู้จักคนมั่งมีเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด?”
เฉินซื่อเดินกลับมาพร้อมไข่ในมือ เมื่อเห็นผู้คนมากมายมุงดูหน้าประตูบ้านลู่อี้ นางจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าขอพูดคุยกับนางสักนิด พวกเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
“แม่นาง มาที่นี่เร็วเข้า เจ้าคุ้นเคยกับครอบครัวพวกเขาเป็นอย่างดี ช่วยถามได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดผู้มั่งมีจึงมาเยือนบ้านของพวกเขา?”
“เหตุใดข้าจึงต้องถาม?” เฉินซื่อกล่าวด้วยความโกรธ “พวกเจ้าไปจัดการเรื่องของตนเองเถิด อย่ายุ่งกับเรื่องของครอบครัวผู้อื่นเลย ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แล้วมันเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าอย่างไรหรือ?”
“เราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เหตุใดจึงไม่ควรสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านเล่า? อีกทั้งตอนนี้ลู่อี้และลู่เซวียนก็ไม่อยู่บ้าน เราไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าแม่นางมู่จะดุร้ายราวกับถูกผีเข้าเมื่อใด เราต้องช่วยดูแลลูกทั้งสองของนาง รวมถึงดูแลครอบครัวของพวกเขาด้วย”
“ถูกต้องแล้ว เราต่างมีเจตนาดี”
“แม่ของฉาวอวี่ดีขึ้นนานแล้ว ไม่เห็นหรือว่านางเอาใจใส่ลูกทั้งสองมากกว่าเมื่อก่อน นางไม่เคยยอมให้พวกเขาต้องหิวโซเลย พอเถิด เลิกข้องเกี่ยวกับครอบครัวของผู้อื่น การกระทำเช่นนี้ดีอย่างไรหรือ?”
เฉินซื่อหมดความอดทน รีบเดินเข้าไปเคาะประตูทันที
เหล่าฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างกระจายตัวออกพลางจ้องมองประตูจากไกล ๆ
ประตูถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าน่าเอ็นดูของลู่จื่ออวิ๋นที่โผล่ออกมา
“อวิ๋นเอ๋อร์ ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงหนึ่งวัน เหตุใดเจ้าจึงน่ารักน่าชังมากกว่าเดิมเช่นนี้?” เฉินซื่อสัมผัสใบหน้าเรียวเล็กของลู่จื่ออวิ๋น
นางกล่าวกับลู่จื่ออวิ๋นด้วยรอยยิ้ม ความรักใคร่เอ็นดูที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้
“ป้าเฉิน” ลู่จื่ออวิ๋นหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่อยู่ที่บ้าน เชิญเข้าไปด้านในก่อนเถิด”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะมาเพื่อพบแม่ของเจ้า เจ้ารู้ถึงจุดประสงค์ของข้าได้อย่างไร? ข้าอาจจะมาเพื่อพบเจ้าก็เป็นได้”
“ข้าเองก็อยู่บ้านเจ้าค่ะ!”
“ฮ่าฮ่า น่ารักน่าชังเสียจริง” เฉินซื่อรู้สึกขบขัน “แม่ฉาวอวี่ เมื่อวานนี้เจ้าบอกข้าว่าต้องการซื้อไข่ ข้าจึงนำมาให้”
ไก่ที่มู่ซืออวี่เลี้ยงไว้ยังเล็กเกินกว่าจะวางไข่ได้ นางต้องการบำรุงร่างกายให้กับลูก ๆ แต่ก็เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะออกล่าสัตว์ทุกวัน นางจึงต้องการสารอาหารจากไข่แทน
[1] จิ้งจอกตาขาว หมายถึง คนเนรคุณ คนที่ไม่รู้จักบุญคุณ