บทที่ 78 เด็กคนนี้โง่เขลาหรืออย่างไร
บทที่ 78 เด็กคนนี้โง่เขลาหรืออย่างไร
มู่ซืออวี่ผละออกจากงาน เช็ดมือด้วยผ้าขนหนูก่อนจะเดินออกมาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องขออภัยที่รบกวน หากมีเวลาข้าจะไปเป็นธุระให้ จะได้ตอบแทนท่านนะ!”
“เรื่องเล็กน้อย เราถือว่าเป็นคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้นหรอก”
ขณะที่เฉินซื่อกล่าว สายตาของนางก็จับจ้องไปยังงานไม้ที่วางอยู่ไม่ไกล
“นี่คือ…”
“ข้ารับประดิษฐ์งานไม้ให้กับผู้อื่น แม้จะได้เงินไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยจุนเจือครอบครัว” มู่ซืออวี่กล่าว “นับเป็นโชคดีที่ครั้งหนึ่งข้าได้บังเอิญเจอกับช่างไม้ชรา ข้าได้เรียนรู้งานใหม่จากเขามามาก เมื่อลองทำด้วยตนเองก็พบว่าทำได้จริง พอประดิษฐ์เป็นสิ่งของแล้วนำมาขายก็พบว่าขายดีทีเดียว ท่านคิดว่านี่เป็นการอวยพรจากเทพเบื้องบนหรือไม่?”
“ข้าได้ยินชาวบ้านเล่าขานกันมาว่าเจ้าทำเตียงนอนให้กับแม่เจ้าและเสี่ยวหานด้วยตนเอง แต่ข้าคิดว่าพวกเขาเพียงกล่าววาจาไร้สาระ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” เฉินซื่อถามด้วยความตกใจ
“เป็นเรื่องจริง ดูเหมือนว่าข้าจะมีพรสวรรค์ในด้านนี้มากทีเดียว” มู่ซืออวี่ยิ้ม “ถือว่าเป็นเรื่องดี ข้าจะได้ไม่ต้องเบื่อหน่ายและคิดฟุ้งซ่านทั้งวัน จากนี้ไปข้าจะช่วยสามีดูแลลูกและครอบครัวของเราให้ดีที่สุด ชีวิตจะได้ดีกว่านี้”
“นี่คือการอวยพรจากเทพเบื้องบน ในที่สุดครอบครัวของเจ้าก็มาถึงจุดสิ้นสุดแห่งความยากลำบากแล้ว” เฉินซื่อประสานมือเข้าด้วยกัน “และเด็กทั้งสองก็ได้รับการอวยพรเช่นเดียวกัน เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ทำงานของเจ้าต่อไปเถิด”
“เดี๋ยวก่อน…” มู่ซืออวี่กล่าวว่า “รอสักประเดี๋ยว ข้ามีบางอย่างจะมอบให้”
“อะไรหรือ?” เฉินซื่องุนงง
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในห้องโดยไม่ตอบกลับ
ลู่จื่ออวิ๋นดึงชายแขนเสื้อของเฉินซื่อไว้อย่างแผ่วเบา “ท่านป้า ข้าเองก็ขอบคุณนะเจ้าคะ”
“ปากหวานจริงเชียว พี่ชายของเจ้าเล่า?” เฉินซื่อหลงรักลู่จื่ออวิ๋นไปแล้ว
ในอดีต ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นมักจะถูกแม่ของพวกเขาทรมาน พ่อของพวกเขาออกไปล่าสัตว์แต่เช้าและกลับดึกทุกวัน อีกทั้งอาของพวกเขายังป่วยหนัก เด็กทั้งสองราวกับต้องอาศัยในป่าใหญ่ ใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก ตอนนั้นเฉินซื่อไม่คาดคิดเลยว่าใบหน้าที่แท้จริงของเด็กน้อยจะน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ ยิ่งเมื่อได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่และมีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านก็ยิ่งยากที่จะละสายตาได้
“ออกไปเก็บฟืนเจ้าค่ะ” ลู่จื่อวิ๋นกล่าว “ท่านแม่ไม่ยอมให้เขาไป แต่เขายังคงยืนกรานที่จะไป”
มู่ซืออวี่เดินออกมาพร้อมกับชามหนึ่งใบในมือ ก่อนจะยื่นให้เฉินซื่อ “นี่คือเนื้อตุ๋นที่ข้าปรุงเอง ท่านนำไปรับประทานที่บ้านเถิด”
“ข้ามาเพื่อต้องการเนื้อเสียที่ไหน?” เฉินซื่อปฏิเสธที่จะรับ “ไม่ต้อง ข้ารับจากเจ้าไปแล้วเมื่อคราวก่อน”
“ท่านช่างดื้อรั้นเสียจริง หากเป็นเช่นนั้น ในอนาคตข้าคงไม่ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือสิ่งใดแล้ว” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นโกรธเคือง “นี่ไม่ใช่เนื้อมีค่าอะไร ท่านสามารถนำกลับไปรับประทานได้อย่างสบายใจ แล้วนี่ก็เงินสำหรับค่าไข่”
“เอาเป็นว่าข้าจะรับไว้เพียงเนื้อตุ๋น เจ้าเก็บเงินค่าไข่กลับไปเสีย” เฉินซื่อจ้องมองมู่ซืออวี่ “ไข่เพียงไม่กี่ฟอง ไม่ได้มีมูลค่ามากมายนัก”
“ไก่ต้องกินธัญพืชเป็นอาหารไม่ใช่หรือ? ไข่เพียงหนึ่งฟองสามารถขายได้เงินถึง 2 อีแปะ ท่านขายให้ผู้อื่นด้วยเงิน แล้วเหตุใดจึงไม่ขายให้ข้าด้วยเงินเช่นเดียวกัน? ข้าไม่ได้ให้ท่านไปมากกว่าผู้ใดเลย รับเอาไปเถิด”
“เจ้าช่าง… เจ้าให้ทั้งเงินและเนื้อแก่ข้า จะไม่ให้ข้าเกรงใจได้อย่างไร? ครั้งนี้ข้าจะรับไว้ แต่ครั้งหน้าเจ้าจงอย่าทำเช่นนี้อีกนะ” เฉินซื่อกล่าว
มู่ซืออวี่เผยรอยยิ้มโดยที่ไม่ได้ตอบกลับ
แน่นอนว่าหากมีครั้งต่อไป นางก็ยังจะจ่ายด้วยวิธีการเช่นนี้
น้องชายของนางจัดการเรื่องเงินอย่างสัตย์ซื่อ นางไม่ต้องการเอาเปรียบผู้อื่นเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซื่อยังคู่ควรกับมิตรภาพอย่างแท้จริง หนี้บุญคุณยากยิ่งจะชำระคืน ดังนั้นน้ำใจจึงเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด
ลู่จื่ออวิ๋นเดินนำเฉินซื่อเพื่อไปส่งที่หน้าประตู จากนั้นจึงโบกมือพลางกล่าวว่า “ลาก่อนท่านป้า”
“อวิ๋นเอ๋อร์ หากมีเวลาก็มาเล่นที่บ้านของข้าบ้างนะ!” เฉินซื่อจ้องมองด้วยความเอ็นดู
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าตอบกลับ “เจ้าค่ะ”
เฉินซื่อจึงเดินจากไปอย่างมีความสุข
ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการดูแลเด็กทั้งสอง แต่ในเวลานั้น มู่ซืออวี่ไร้เหตุผลและมักเอาชนะเสมอ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการนำปัญหาเข้ามาสู่ครอบครัว นางแอบมอบอาหารให้แก่ลู่จื่ออวิ๋น ทว่าลู่ฉาวอวี่ดื้อรั้นตั้งแต่เด็ก แม้ลู่จื่ออวิ๋นจะยอมรับอาหารจากเฉินซื่อด้วยความยินดี แต่เด็กชายตัวน้อยไม่เป็นเช่นนั้น
“พี่เฉิน พี่เฉิน…”
สตรีมากมายต่างเข้ามารุมล้อมนาง
“ท่านเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่?”
“นั่นสิ! แม่ฉาวอวี่กำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ? นางมีชื่อเสียงโด่งดังจนคนมั่งมีรู้จักได้อย่างไร?”
เฉินซื่อยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวว่า “อืม เอาไว้พวกเจ้าจะรู้เองนั่นแหละ!”
นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทว่านี่ก็ไม่ใช่ความลับ สักวันหนึ่งพวกเขาคงจะค้นพบด้วยตนเอง
“ท่านนำสิ่งใดมา? เนื้อหรือ?”
“ภรรยาของลู่อี้มอบให้หรือ?”
“ยอมรับเลยว่าพี่เฉินฉลาดมาก! แสร้งเข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อนข้างบ้านเพื่อหมายจะเอาเนื้อตุ๋นจากพวกเขา ไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่ยอมบอกเรา! ภรรยาของลู่อี้ติดสินบนท่านใช่หรือไม่?”
เฉินซื่อขมวดคิ้ว “ติดสินบนอะไรกัน? พวกข้าทำทุกสิ่งอย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องละอายเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากพวกเจ้าอยากรู้ก็ไปถามนางด้วยตนเอง ต้องการสิ่งใดจากข้ากัน?”
“เมื่อครู่เจ้าเข้าไปพร้อมไข่ไม่ใช่หรือ? ทว่าตอนนี้ไข่กลับหายไปแล้ว เจ้านำไปแลกกับเนื้อใช่หรือไม่? เจ้ามีไข่ราวยี่สิบถึงสามสิบฟอง เหตุใดจึงยอมแลกกับเนื้อเพียงไม่กี่ชิ้น? ข้าคิดมาโดยตลอดว่าเจ้าฉลาดเฉลียว แต่กลับกลายเป็นโง่เขลาซะอย่างนั้น”
“กล่าววาจาไร้สาระอะไร? แม่ฉาวอวี่ให้เงินข้าเพื่อแลกไข่ ส่วนเนื้อตุ๋นนี้นางแบ่งให้ข้านำกลับไปกินที่บ้าน”
เฉินซื่อไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับคนเหล่านี้มากนัก นางจึงเดินหนีเข้าบ้านไปทันที
ทางด้านมู่ซืออวี่ที่กำลังขะมักเขม้นทำงาน จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เป็นอีกครั้งที่ลู่จื่ออวิ๋นรับหน้าที่เปิดประตู นางพบใบหน้าที่คุ้นเคยราวสองสามคน แต่ไม่อาจจดจำหรือเอ่ยชื่อของคนเหล่านั้นได้ เด็กน้อยจึงหันมามองมู่ซืออวี่และเรียกราวกับต้องการขอความช่วยเหลือ
“ท่านแม่”
มู่ซืออวี่หยุดทำงานพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลริน
ใบหน้ายิ้มแย้มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ผู้มาเยือนกล่าวว่า “แม่ฉาวอวี่ พวกข้าไม่ได้รบกวนเจ้าใช่หรือไม่?”
แน่นอนว่าแม้อีกฝ่ายจะสำนึกผิดพร้อมทำดีด้วยใจจริง มู่ซืออวี่ก็ไม่อาจดีตอบไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังต้องการรักษาบุคลิกและนิสัยดั้งเดิมของร่างนี้อยู่
ร่างเดิมผู้นี้ชอบเย้ยหยัน ประชดประชัน นิสัยแข็งกระด้าง ฉะนั้นนางจะไม่เสียเปรียบผู้ใดในเรื่องฝีปาก
“พี่เฟิง เชิญนั่งก่อนเถิด”
เฟิงซื่อเดินเข้ามาพลางจ้องมองขี้เลื่อยซึ่งกระจายอยู่ทั่วลานบ้าน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ฉาวอวี่ เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?”
“ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจหรอก” มู่ซืออวี่หลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริง “พี่เฟิง สบายดีใช่หรือไม่?”
“สบายดี ข้าได้ยินมาว่าเจ้าต้องการซื้อไข่ ข้าเพิ่งเก็บได้จากแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมาได้ตั้งยี่สิบฟองแน่ะ ข้าเลยนำมาให้เจ้า”
มู่ซืออวี่จ้องมองตะกร้าก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “เอาล่ะ! เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณพี่แล้ว รอที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะไปนำเงินมาให้”
เฟิงซื่อจ้องมองบริเวณโดยรอบ สายตาที่เฉียบคมของนางราวกับสามารถมองทะลุทะลวงทุกสิ่งได้
ลู่จื่ออวิ๋นเกลียดชังแววตาของหญิงคนนี้ เด็กหญิงตัวน้อยเดินมายังหน้าลานงานไม้ของมมู่ซืออวี่
“แม่หนูอวิ๋น แม่ของเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ? ที่นี่มีท่อนไม้มากมาย นางนำมาใช้เป็นฟืนหรือ? แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีมากมายถึงเพียงนี้ไม่ใช่หรือ?”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามู่ซืออวี่จะมีพรสวรรค์ในด้านงานไม้ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาทั้งหลายไม่สงสัยในเรื่องนี้
ลู่จื่ออวิ๋นส่ายศีรษะโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
“หนูน้อย เจ้าโง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” เฟิงซื่อกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ไม่เห็นหรือว่าข้าคุยกับเจ้า! เหตุใดเจ้าจึงคุยกับข้าเหมือนอย่างที่คุยกับเฉินซื่อไม่ได้ พูดไม่เป็นหรืออย่างไร?”