สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 79 ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘คนอัธยาศัยดี’ อีกต่อไป

บทที่ 79 ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘คนอัธยาศัยดี’ อีกต่อไป

บทที่ 79 ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘คนอัธยาศัยดี’ อีกต่อไป

มู่ซืออวี่เดินออกมาพร้อมเงินในมือ และมองเห็นเฟิงซื่อกำลังกล่าวบางสิ่งต่อลู่จื่ออวิ๋นพอดี

ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังเหมือนอย่างเคย

ในขณะที่มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป จากนั้นจึงกล่าวอย่างเย็นชา “พี่เฟิง”

“หือ!” เฟิงซื่อเงยหน้าขึ้น “แม่ฉาวอวี่ ข้ากำลังพูดคุยกับแม่หนูอวิ๋น! เจ้าควรสั่งสอนลูกสาวให้ดี เจอผู้ใหญ่แล้วไม่รู้จักทักทายหรือทำความเคารพไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกนะ”

มู่ซืออวี่กล่าวเสียงแผ่วเบา “อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้ทักทายหรือทำความเคารพท่านหรือ? นางคงไม่รู้จักท่านน่ะสิ ข้ามักสอนนางว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ให้ระวังตัวเวลาพบคนไม่รู้จัก ข้าไม่อนุญาตให้พูดคุยหรือเจรจากับคนพวกนั้น เรื่องเพียงเท่านี้ท่านไม่ควรถือสา ลูกสาวของข้าไม่รู้จักท่านจริง ๆ เอาล่ะ อวิ๋นเอ๋อร์ นี้คือป้าเฟิง จากนี้ไปก็กล่าวทักทาย อย่าทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจอีกล่ะ”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงหันไปมองเฟิงซื่อ “แม่ใหญ่เฟิง… อ๊ะ ไม่สิ ป้าเฟิง”

นางตระหนักได้ว่าตนพูดผิดจึงแลบลิ้นออกมาอย่างไร้เดียงสา

เฟิงซื่อ “…”

นางชักจะโกรธ แต่ไม่อาจหาทางระบายอารมณ์ได้

“เอาล่ะ ข้าเพิ่งจำได้ว่าไข่ที่พี่เฉินนำมาเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อไข่ของท่านเพิ่ม ขอบคุณมากสำหรับความปรารถนาดี” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไข่เพียงยี่สิบฟองเนี่ยนะ…” เฟิงซื่อหัวเราะแห้ง “ครอบครัวของเจ้ามีลูกมาก กินเพียงสิบวันก็หมดแล้ว”

“แต่อากาศร้อนเช่นนี้คงเก็บไว้นานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไข่จะแตก เน่าเสียซะเปล่า ๆ ท่านนำไปขายให้ผู้อื่นเถิด” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างใจเย็น “ข้ามีการงานต้องทำอีกมาก ขอตัวก่อน”

อันที่จริงไข่ยี่สิบฟองที่อีกฝ่ายนำมาไม่ใช่ปัญหาหากจะซื้อไว้ นางสามารถนำไปขายต่อในเมืองหรือนำไปทำไข่ต้มชาแล้วส่งขายให้กับภัตตาคารเจียงซื่อ แต่…

การได้เห็นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่มีความสุขนั้นทำให้นางทรมานใจมาก นางจึงไม่จำเป็นต้องเป็น ‘คนอัธยาศัยดี’ อีกต่อไป

นางไม่ได้เป็นกังวลในเรื่องการขาย การนำสินค้าเข้าไปขายในเมืองนั้นจำเป็นต้องจ่ายภาษีที่ทำให้ลำบากใจอยู่ไม่น้อย

“เอาเถิด ลืมเรื่องนี้ไปเสีย” เฟิงซื่อหน้ามุ่ย “ขี้เหนียวเสียจริง”

หลังกล่าวจบ นางก็เดินจากไป

นางเดินอย่างเชื่องช้าพลางสังเกตว่ามู่ซืออวี่กำลังทำสิ่งใด แต่แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้นางได้เห็น

“หึ!” เฟิงซื่อจึงล้มเลิกความตั้งใจแล้วเดินจากไปทันที

ขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นกำลังปิดประตู นางพลันมองเห็นลู่ฉาวอวี่เดินกลับมาพร้อมแบกฟืนไว้บนหลัง เด็กหญิงรีบเข้าไปช่วยทันที “ท่านพี่ ข้าจะช่วยเอง”

“ไม่ต้อง หากไม่ระวังมือเจ้าจะเป็นรอยได้” ลู่ฉาวอวี่หลบหลีก “ข้าทำเองได้”

ลู่จื่ออวิ๋นเดินตามหลังลู่ฉาวอวี่ราวกับพยายามจะช่วยเหลือเขา

ลู่ฉาวอวี่มักจะเย็นชาและหัวเสียกับผู้อื่นได้ง่าย แต่เขามีความอดทนต่อน้องสาวเป็นอย่างมาก

“เมื่อครู่นี้ใครมา?”

“ท่านแม่บอกว่านางคือป้าเฟิง” ลู่จื่ออวิ๋นทำหน้ามุ่ย “ข้าไม่ชอบนางเอาเสียเลย เมื่อเข้ามาในบ้านเรา นางก็เอาแต่สำรวจ เอาแต่ถามว่าท่านแม่ทำสิ่งใด พอข้าไม่ตอบ นางก็หาว่าข้าหยาบคาย ขอให้ท่านแม่สั่งสอนข้า ฮึ! คนนิสัยเสีย”

ลู่จื่ออวิ๋นที่ดูร่าเริงเริ่มแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของนางออกมา

ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองผู้เป็นน้องสาว “หากไม่ชอบก็อย่าไปข้องเกี่ยวกับนาง”

“อื้อ ท่านแม่ช่วยระบายความโกรธของข้าไปบ้างแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเผยรอยยิ้มซุกซน “ท่านแม่ใช้วาจาได้อย่างยอดเยี่ยม! ป้าเฟิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยล่ะแต่ไม่กล้าตอบโต้ ข้าอยากเรียนรู้จากท่านแม่มาก”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรือ?

วาจาปากร้ายเช่นนั้นควรเรียนรู้และเอาเป็นเยี่ยงอย่างหรือ?

“ท่านพี่ออกไปหาฟืนตลอดทั้งวัน เหตุใดจึงได้มาเพียงเท่านี้เล่า? ขายฟืนให้กับลุงหวังจากหมู่บ้านข้าง ๆ อีกแล้วหรือ?”

“เงียบไว้!” ลู่ฉาวอวี่เคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน

“ข้าจะไม่บอกผู้ใดแม้แต่ท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นสัญญาอย่างเชื่อฟัง “แต่ท่านแม่ของเราใจดีกว่าเมื่อก่อนมาก เหตุใดท่านจึงพยายามหาเงินโดยไม่บอกนาง?”

“เพราะข้าต้องหาเงินด้วยตนเอง” ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลง “เจ้าไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้น”

ลู่ฉาวอวี่กลับมายังห้องนอนของตน ก่อนจะมุดลงใต้เตียงแล้วหยิบขวดโหลเก่า ๆ ออกมา

เขาเปิดจุกขวดโหล เหลือบมองเหรียญทองแดงที่อยู่ด้านใน จากนั้นจึงหยิบออกมานับ

“หนึ่ง สอง… สิบห้า… ยี่สิบสอง”

เขาใส่เงินที่เพิ่งได้รับมาจากการขายฟืนลงไป รวมทั้งสิ้นจึงมีจำนวน 23 อีแปะ

เงินทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ถูกใช้จ่ายไปกับการซื้ออาหาร ไม่เช่นนั้นเขาและน้องสาวจะต้องอดตาย

คราวก่อนน้องสาวของเขาเคยไปขโมยผักของหวังซื่อมากินเพราะความหิวโหย ตอนนั้นเขาไม่มีเงิน จึงทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นมากมาย

เมื่อหวนนึกถึงผู้เป็นแม่ในยามเมื่อก่อนและปัจจุบัน พวกเขาก็พบว่านางเปลี่ยนไปจากเดิมมาก อาจเป็นเพราะทวยเทพกำหนดชีวิตพวกเขาให้พบเจอกับเรื่องราวที่น่าสังเวช ก่อนจะข้ามผ่านวันที่แสนมืดมน

แต่ถึงกระนั้น ลู่ฉาวอวี่ก็ไม่ล้มเลิกแผนการในการหาเงินของเขา แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ก็ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตน วันหนึ่งเขาจะต้องดูแลและปกป้องน้องสาวของตนเองได้ ไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกนาง

“ฉาวอวี่ ไปดูหน่อยเถิดว่ายายของเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” มู่ซืออวี่ตะโกน “หากนางอยู่ในบ้าน ก็เรียกให้มาหาข้า บอกนางว่าข้ามีเรื่องให้ช่วยเหลือ”

“อืม” ลู่ฉาวอวี่เดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” มู่ซืออวี่ตะโกนหยุดเขา

ลู่ฉาวอวี่จึงหยุดลง ก่อนจะหันมามองด้วยความสงสัย “มีอะไรอีก?”

“ใบหน้าของเจ้าเปื้อนฝุ่นหมดแล้ว” มู่ซืออวี่หยิบผ้ามาเช็ดหน้าให้ลูกชาย “เช็ดให้สะอาดก่อนเถิด”

ลู่ฉาวอวี่รู้สึกได้ถึงนิ้วเรียวยาวอันแสนอบอุ่นกำลังลูบไล้บนใบหน้าของเขา เด็กชายจึงหลบเลี่ยง

“อย่าขยับ ตรงนี้สกปรกมาก ต้องเช็ดให้ดี” มู่ซืออวี่เช็ดหน้าให้ลูกชายอย่างจริงจัง “ที่บ้านเรายังเหลือฟืนอีกมาก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่จำเป็นต้องออกไปเก็บ เหตุใดถึงไม่เชื่อฟัง? ดื้อรั้นจริง ๆ เอาล่ะ สะอาดสะอ้านขึ้นแล้ว”

ถงซื่อและมู่เจิ้งหานรีบวิ่งเข้ามา พวกเขารับรู้ทันทีว่าการขอความช่วยเหลือเป็นเพียงเรื่องโกหก แท้จริงแล้วนางเรียกพวกเขามาเพื่อรับประทานอาหาร

“แม่กับหานเอ๋อร์ทำกินกันเองได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกเรามาบ่อยครั้งนัก เพียงเท่านี้ชาวบ้านก็ซุบซิบนินทากันมากแล้ว” ถงซื่อกล่าวอย่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจลูกสาว “ลูกเขยของข้าเป็นคนใจกว้างก็จริง แต่เจ้าอย่าเอาแต่คิดถึงแม่จนทำให้สามีลำบากใจ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะใจกว้างเพียงใดก็ไร้ความสุข”

“เขาไม่มีวันเป็นเช่นนั้น” มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วย “เพราะจิตใจเขากว้างดุจแม่น้ำใหญ่”

เนื้อตุ๋นรสเลิศส่งกลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล ทำให้ท้องของผู้คนมากมายต่างร้องโครกคราก

เฟิงซื่อผู้เกลียดชังมู่ซืออวี่กำลังซุบซิบนินทาอีกฝ่ายกับผู้อื่น นางแพร่งพรายความตระหนี่ของมู่ซืออวี่ อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมอบเนื้อตุ๋นรสเลิศให้แก่เฉินซื่อ แต่ไม่ได้มอบให้กับนาง นางจึงกล่าวดูถูกอีกฝ่ายอย่างออกรส

เมื่อสตรีราวสองสามคนที่อยู่กับเฟิงซื่อได้ยินว่าเฉินซื่อเป็นผู้ได้รับน้ำใจมากที่สุด พวกนางก็อยากจะผูกมิตรกับมู่ซืออวี่ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฟิงซื่อก็ล้มเลิกความคิดนั้นทันที

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ อย่างน้อยผู้คนในหมู่บ้านที่คิดจะฉกฉวยผลประโยชน์จากมู่ซืออวี่ก็ไม่จำเป็นต้องเพ้อฝันอีกต่อไป

ในวันที่สอง ชายหนุ่มจากภัตตาคารเจียงซื่อก็เดินทางมารับสินค้า

“พี่เฟิงเจิง?” มู่ฉาวอวี่จ้องมองด้วยความประหลาดใจ “จำข้าได้หรือไม่? เราเคยพบกันมาก่อน สามีของข้านามว่าลู่อี้”

เฟิงเจิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่จะได้พบในวันนี้คือครอบครัวของลู่อี้ เขาเผยรอยยิ้มทันที “กลายเป็นเจ้าได้อย่างไร?”

ย้อนนึกถึงวันที่ลูอี้เป็นกังวลในร้านอาหารแห่งนั้น เขาเองก็เป็นกังวลต่อลู่อี้อย่างมากจนไม่ได้เพ่งความสนใจไปยังภรรยาที่อยู่เคียงข้าง นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่อาจจำมู่ซืออวี่ได้ในทันที

แต่มู่ซืออวี่จำได้ดี นางรับรู้ได้ว่าชายผู้นี้ตรงไปตรงมาและมีความสัมพันธ์อันดีกับลู่อี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นางประทับใจในตัวเขาตั้งแต่แรกเจอ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset