บทที่ 82 ผู้เป็นพ่อล้มป่วย
บทที่ 82 ผู้เป็นพ่อล้มป่วย
เมื่อแยกจากเฉินซื่อที่หน้ากระท่อมของลู่อี้ ถงซื่อก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน
มู่ซืออวี่เห็นว่าผู้เป็นแม่ตัวเปียกเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่ยหลายจุดก็เอ่ยถาม “ตกน้ำมาหรือ?”
“เฮ้อ” ถงซื่อจึงได้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากไม่ใช่เพราะข้า เฉินซื่อก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หน้าของนางยังมีรอยเล็บอยู่เลย”
“คนในหมู่บ้านเกลียดฝีปากจงซื่อกันทั้งนั้น ไม่น่าแปลกใจที่พี่เฉินทำแบบนั้น ไม่ใช่เพียงแค่พี่เฉินผู้เดียวที่เกลียดชังนางเสียหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ดูท่าว่าพี่เฉินทำไปเพื่อช่วยท่านน่ะสิ ท่านแม่ เต้าหู้เย็นวางอยู่นั่นน่ะ เอาไปแบ่งพวกเขาเถอะ”
ปกติแล้วนางมักจะเอาเนื้อตุ๋นไปฝากเฉินซื่อเสมอ แต่เฉินซื่อรู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะรับไหว และเพื่อแทนคำขอบคุณ นางจึงสั่งให้ผู้เป็นแม่นำเต้าหู้ไปแบ่งให้แทน เต้าหู้เย็นเป็นของหายาก แม้แต่ในภัตตาคารเจียงซื่อก็ขายดีมาก เฉินซื่อและครอบครัวควรจะได้ลิ้มลอง
ถงซื่อถือชามในมือพลางเคาะประตูบ้านของลู่ชุนเซิง
โดยปกติแล้ว สามีและลูกชายของเฉินซื่อมักจะเดินทางไปทำงานในเมืองหลวง แต่เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว พวกเขาก็จะเดินทางกลับมาที่บ้าน ส่วนในฤดูอื่นพวกเขาจะเข้าไปทำงานในเมืองเพื่อหารายได้ มีเพียงเฉินซื่อและลู่เจินเจินเท่านั้นที่อยู่ประจำที่นี่
“มาแล้ว” ลู่เจินเจินเดินออกมาเปิดประตู
เมื่อเห็นถงซื่อ นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าถง เชิญด้านในก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก” ถงซื่อเอ่ย “นี่คือเต้าหู้เย็นที่ครอบครัวเราปรุง ข้าแบ่งให้พวกเจ้าชิมดู กินเป็นมื้อเย็นก็ดีนะ วัตถุดิบหายากเชียวล่ะ อย่าปฏิเสธข้าเลย”
“ฝีมือการทำอาหารของพี่อวี่ไม่เคยธรรมดา ตอนนี้พวกข้าหิวโซจนแทบอดตายอยู่แล้ว จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร?” แววตาของลู่เจินเจินเป็นประกาย “แต่พี่สะใภ้ย้ำไม่ให้ข้ารับของจากพวกท่าน ได้ของจากบ้านท่านทุกวันข้าก็ละอายใจนะ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
“อย่างไรเราก็เพื่อนบ้านกัน ข้าเพียงอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศ เอาไปใส่ชามของพวกเจ้าเถอะ ข้าจะรอ” ถงซื่อกล่าว
แม้ลู่เจินเจินจะเป็นสตรีที่รู้จักเจียมตัว แต่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของถงซื่อ “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านป้าโปรดรอข้าสักครู่”
เฉินซื่อเดินออกมาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้น เมื่อเห็นลู่เจินเจินเดินเข้ามาในบ้านพร้อมชามในมือ จึงเหลือบมองถงซื่อที่กำลังรอคอยอยู่หน้าประตูด้วยความไม่พอใจ
ลู่เจินเจินแลบลิ้นด้วยท่าทีหยอกล้อพลางเดินถือชามเข้าไปในห้องครัว
“ท่านป้า บอกแม่ฉาวอวี่ให้หน่อยว่าไม่ต้องแบ่งปันให้เราแล้ว นางดูแลเราเป็นอย่างดี จะให้ข้าเป็นภาระชีวิตแต่งงานของนางได้อย่างไร?” เฉินซื่อกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร นี่เป็นของหายากที่นางอยากจะให้ อย่าลังเลที่จะรับไว้เลย! ยินดีเถอะ” ถงซื่อกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ เจ็บมากหรือไม่?”
“ไม่เป็นอะไร รอยข่วนเพียงไม่กี่ครั้งจะทำอะไรข้าได้? คิดเสียว่าข้าถูกแมวข่วนเถอะ” เฉินซื่อกล่าวอย่างเฉยเมย
ลู่เจินเจินเดินออกมาพร้อมชามเปล่าใสกิ๊ง
“ท่านป้า ขอบคุณมากเจ้าค่ะ!” ลู่เจินเจินกล่าวด้วยความนอบน้อม
“ด้วยความยินดี งั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
เมื่อถงซื่อเดินพ้นประตู เสียงพร่ำบ่นของเฉินซื่อที่มีต่อลู่เจินเจินก็ดังขึ้น “เจ้ารับไว้ได้อย่างไร เจ้าเองก็รู้ว่าชีวิตครอบครัวของลู่อี้ลำบากเพียงใด เหตุใดจึงไม่เห็นใจพวกเขา ข้าบอกอย่ารับของจากพวกเขา เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟัง?”
“พี่ซืออวี่ทำอาหารอร่อยจะตาย เหตุใดจึงต้องปฏิเสธเล่า?” ลู่เจินเจินกล่าว “หากมันผิดถึงเพียงนั้น ข้าจะไปขอโทษพี่อวี่ ซักเสื้อผ้าให้นางเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
…
แค่กแค่ก!
เสียงไอหนักหน่วงดังขึ้น
ถงซื่อมองไปตามทิศทางของเสียง เมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้น นางก็หันกลับมาพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“แม่หานเอ๋อร์” เสียงแหบพร่าดังขึ้น
ถงซื่อเดินต่อไป
“ภรรยา” น้ำเสียงของชายผู้นั้นสั่นเครือ น่าเวทนาราวกับสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง
ถงซื่อหยุดเดินทันที นางกล่าวอย่างแผ่วเบาโดยไม่หันกลับมามอง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ข้า… ข้ามาหาเจ้า” มู่ต้าซานกล่าวอย่างเศร้าใจ “ข้าป่วย ป่วยทั้งกายทั้งใจ หากมีเจ้าอยู่ด้วย เจ้าคงขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาสมุนไพรมาให้ข้า สมุนไพรที่เจ้าเคยนำมาให้ก่อนหน้ามีประโยชน์มาก แต่ข้ากลับได้กินเพียงสองครั้งเท่านั้น ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง มีแค่เจ้าที่ห่วงใยข้าและครอบครัวของเรา แม่ของข้า… ไม่ยอมจ่ายเงินสักอีแปะเพื่อให้ข้าได้พบหมอด้วยซ้ำ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า” ถงซื่อกล่าวพลางหลบตา “ข้าไม่ใช่สะใภ้ของครอบครัวเจ้าแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องครอบครัวเจ้ากับข้าอีก”
ไม่ว่าถงซื่อจะอ่อนแอเพียงใด ความเกลียดชังที่มีต่อมู่ต้าซานก็ไม่ได้จางหายไป นางอดทนเพื่อเขามาตลอดหลายปี แต่สุดท้ายก็ถูกเฉดหัวทิ้งอย่างไร้ความปรานี
อีกอย่าง ตอนนั้นนางถูกความร้อนลวกจนเกือบตาย…
เขาไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้หรืออย่างไร?
“ภรรยา…”
ฟุ่บ!
มู่ต้าซานคุกเข่าลง
“ไม่มีเจ้า ข้าอยู่ไม่ได้หรอก”
หากไร้นาง เขาคงไม่ได้ทานอาหารปรุงสดใหม่อีก
พี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ของเขาย้ายไปอยู่ในเมืองแล้ว เช่นเดียวกันกับน้องชายคนที่สาม เข้าไปเรียนในเมืองตั้งแต่อายุเจ็ดหนาว ที่บ้านมีเพียงเขาและมารดาที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
แม่เฒ่าเจียงด่าทอและต่อว่าเขาทุกวัน นางบอกว่าเขาขี้เกียจ ไร้ประโยชน์ ไม่รู้จักช่วยทำงานบ้านเรือน เขาเป็นดั่งทาสในครอบครัวนี้ ได้ยินคำสาปแช่งกรอกหูทุกวัน
เขากล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า เมื่อเห็นดังนั้น ถงซื่อก็ไม่กล้าก้าวขาไปที่ใด
“ท่านแม่” มู่เจิ้งหานถือฟืนเดินเข้ามา “เหตุใดจึงยังไม่เข้าไป?”
เขากล่าวพลางจ้องมองมู่ต้าซาน แววตาเปี่ยมด้วยความเฉยเมย
มู่ต้าซานจ้องมองลูกชายที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความลำบากใจและเป็นทุกข์
“ข้า… ข้า…”
“ท่านแม่ ท่านมีลูกชาย” มู่เจิ้งหานจ้องมองนาง “ลูกชายของท่านกตัญญูต่อท่านมาก ไม่เคยรังแกหรือกระทำผิดต่อท่าน อีกทั้งท่านยังมีลูกสาว ลูกสาวและลูกเขยที่รักและกตัญญูต่อท่าน ดังนั้น….”
ท่านจะต้องการคนผู้นี้ไปเพื่ออะไร?
เพียงเท่านี้ชีวิตยังลำบากไม่พอหรือ?
แอ๊ด…
ประตูถูกเปิดออก
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองพวกเขาทั้งสองคน “เหตุใดพวกท่านถึงยังไม่เข้าไป? อาหารเย็นหมดแล้ว”
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ถงซื่อเช็ดน้ำตา “ข้ามาแล้ว”
มู่เจิ้งหานจ้องมู่ต้าซานเขม็ง ก่อนจะดึงแขนผู้เป็นแม่เข้าไปในบ้าน
ปึง!
เสียงปิดประตูดังลั่น
มู่ต้าซานล้มลงกับพื้นทันที
ถงซื่ออ้าปากค้าง จ้องมองมู่เจิ้งหานอย่างกระวนกระวาย “หานเอ๋อร์ แม่…”
“ท่านแม่ ระหว่างเขากับลูกชาย ท่านจะเลือกผู้ใด?” มู่เจิ้งหานจ้องมองด้วยสีหน้าจริงจัง “หากท่านไม่ต้องการลูกชายแล้วก็ให้อภัยเขาเถอะ แล้วข้าจะแสร้งทำราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีพ่อกับแม่”
“ไม่ ไม่ แม่จะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า” ถงซื่อพลันหนักใจจนร่างกายสั่นสะท้าน
มู่ซืออวี่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เมื่อเห็นว่าถงซื่อถูกมู่เจิ้งหานตำหนิ นางก็ลอบยกนิ้วชื่นชมน้องชาย
มู่เจิ้งหานเผยรอยยิ้มก่อนจะรีบเม้มริมฝีปาก
พี่น้องของลู่อี้ไม่แม้แต่จะแสดงความคิดเห็น ในมุมมองของพวกเขา ผู้ที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวในเรื่องครอบครัวเช่นนี้ได้มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูง พวกเขาถือเป็นคนนอก เรื่องราวเหล่านี้ควรให้ถงซื่อเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง!
“ต้าซาน! ช่วยด้วย ต้าซานหมดสติไปแล้ว” ชาวบ้านที่บังเอิญพบมู่ต้าซานที่นอนหมดสติอยู่ตะโกนขอความช่วยเหลือ
เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ผู้คนในละแวกนั้นได้ยิน พวกเขาออกมาช่วยกันแบกเขากลับไปหาแม่เฒ่าเจียง
“เวรกรรม! พวก ‘ขาเผือก’ นี่เยอะเสียจริง”