บทที่ 88 หนีไม่พ้นเนื้อเรื่องต้นฉบับ
บทที่ 88 หนีไม่พ้นเนื้อเรื่องต้นฉบับ
ณ ศาลาว่าการ นายอำเภอฉินจ้องมองบันทึกคดีความในมือพลางกล่าวว่า “ยอดเยี่ยม”
ลู่อี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวอย่างยินดี “ขอบคุณขอรับ”
“ข้าเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ เพียงไม่กี่วันเจ้าก็สามารถจัดการบันทึกคดีความที่ค้างคามานานหลายปีได้ ฝีมือและความสามารถของเจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งที่ดีกว่านี้ คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากเจ้าสังกัดฝ่ายราชทัณฑ์ เจ้าจัดทำเอกสาร ดำเนินการสอบสวนเองได้หรือไม่?” ผู้พิพากษามองลู่อี้ด้วยสายตาชื่นชม
ลู่อี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ลู่อี้ เจ้าต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แม้ตอนนี้จะยังไม่มีชื่อเสียง แต่เจ้าฉลาดเฉลียว วันหนึ่งก็คงไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ ศาลไม่ได้ไม่ดูดำดูดีผู้มีความสามารถหรอกนะ”
ลู่อี้ประสานมือพลางกล่าวว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะทำอย่างดีที่สุด”
นายอำเภอฉินจ้องมองไปยังลู่อี้พลางทอดถอนใจ “นี่แหละผู้มีพรสวรรค์! แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเจ้าเสียโฉม เจ้าหน้าที่ศาลไม่อาจมีใบหน้าเช่นนี้ได้ แต่หากเจ้ายอมสนับสนุนเราด้วยเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ข้ารับประกันได้ว่าจะเป็นการแลกที่คุ้มค่า”
“นายท่าน” เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านข้าง “เพียงคัดลอกบันทึกคดีความ ผู้ใดก็ย่อมทำได้ เหตุใดท่านจึงชื่นชมลู่อี้นัก?”
“ลองดูแล้วเจ้าจะรู้เอง” นายอำเภอฉินมอบบันทึกคดีความในมือให้ชายข้างกาย
เมื่อชายผู้นั้นเปิดมันออก สีหน้าของเขาก็เผยความประหลาดใจ
“ลู่อี้คนนี้ไม่เพียงคัดลอกบันทึกคดีความเท่านั้น แต่เขายังสามารถหาคำตอบให้กับคดีที่ยังไม่คลี่คลายได้ เขาค้นพบประเด็นที่น่าสงสัยจากคำให้การของโจทก์ จำเลย และพยาน ช่างเป็นบุคคลที่น่าประหลาดใจ”
ลู่อี้เปลี่ยนสังกัดตามคำสั่งของนายอำเภอฉิน เพียงก้าวเท้าเข้าไปในคุก เขาก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้ง
“ฮ่าฮ่า เสมียนเช่นพวกท่านคงไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่? อย่ากลัวเลย อีกไม่นานท่านก็จะชิน” หัวหน้าผู้คุมเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่ท่านจะได้สอบปากคำในวันนี้ปากแข็งไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปริปาก ท่านหาวิธีอื่นแง้มปากเขาเถอะ อย่าประหม่าล่ะ”
เพียะ! เพียะ!
หัวหน้าเรือนจำฟาดแส้ใส่ชายที่ถูกแขวนอยู่ผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผล ไหลนองราวกับแอ่งน้ำอยู่บนพื้น
“ไม่ได้อะไรเลย พี่เฉิน ชายผู้นี้ยังคงไม่ยอมเอ่ยอะไร”
“ข้าขอดูบันทึกคดีความของเขาได้หรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ย่อมได้ ท่านต้องอ่านมันอยู่แล้ว” หัวหน้าผู้คุมเฉินกล่าว “เสมียนผู้ที่ทำการจดบันทึกก่อนหน้านี้ป่วยกะทันหัน เขาเลยฝากเรื่องนี้ไว้กับท่าน”
ลู่อี้เปิดดูเนื้อหาของบันทึกคดีความ เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงเลือดหยดกระทบลงพื้นภายในคุกอันเงียบงัน
ผู้คุมสองสามคนหมดความอดทน พวกเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านข้างพลางงีบหลับ
เมืองนี้มีคดีร้ายแรงไม่มากนัก พวกผู้คุมจึงชินกับการอยู่นิ่งในวันทำงาน ไม่ชินกับการจัดการคดีนาน ๆ พอนักโทษผู้นี้ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไร อีกทั้งยังถ่วงเวลาไว้ ผู้คุมจึงโกรธ ลงโทษเขาอย่างหนัก
“ปล่อยเขาไป เขาไม่ใช่ฆาตกร” ลู่อี้ปิดบันทึกคดีความ “ข้าจะนำบันทึกคดีความกลับบ้านแล้วจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ว่าอย่างไรนะ?” หัวหน้าผู้คุมเฉินเอ่ยถามด้วยความงุนงง “หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ฆาตกร? เขาไม่ใช่ฆาตกรอย่างนั้นหรือ? แต่หลักฐานทั้งสิ้นล้วนชี้ไปที่ตัวเขา”
“ข้าจะบอกนายอำเภอฉินเอง เฝ้าดูชายคนนี้ให้ดีก่อน อย่าเพิ่งทุบตีเขา หากยังไม่อยากให้เขาตายเพราะน้ำมือตัวเองก็พาไปหาหมอ ไม่เช่นนั้น…”
ลู่อี้ทำเพียงปรายตามองชายหนุ่มที่ถูกแขวนไว้ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“พี่เฉิน ชายผู้นี้เป็นผู้ใดกัน? เราสอบปากคำมานานนับครึ่งเดือน แต่เขามาเพียงวันเดียวกลับบอกว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ฆาตกร”
หัวหน้าผู้คุมเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทำตามคำสั่งเขา! นายอำเภอฉินออกคำสั่งให้เขาเป็นผู้ดูแลคดีนี้ หากมีคำสั่งก็ต้องปล่อยตัว แต่เราทุบตีเขาหนักเช่นนี้… เราจะทำอย่างไรดี?”
“เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เราไม่ผิด แต่หากชายผู้นี้ไม่ใช่ฆาตกรก็ไม่อาจถูกสังหาร อย่าเพิ่งกังวลอะไร พาเขาไปหาหมอก่อน จากนั้นค่อยเรียกเก็บเงินจากครอบครัวเขา ต้นตระกูลของเขาได้รับการสืบทอดมาสามชั่วอายุคนแล้วไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนจะร่ำรวยไม่น้อย”
ไม่นานนัก หมอก็ถูกเชิญมาตามคำสั่งของนายอำเภอฉิน
ลู่อี้เดินออกมาจากศาลาว่าการ พบว่ามีกลุ่มคนเดินเข้ามาหาเขา
“ลู่อี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เฉียนจงอวิ๋นเอ่ยถามพลางจ้องมองไปยังฟางโจวอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความสับสน
ลู่อี้ถามกลับไปว่า “แล้วผิดปกติตรงไหน?”
“เราต่างเป็นสหายร่วมชั้น ไม่ค่อยได้พบหน้า เรามาดื่มฉลองกันดีหรือไม่? ข้าจ่ายเอง” ฟางโจวอวี่กล่าวเสียงเบา
“ไม่ล่ะ ข้าต้องขอตัวกลับบ้านก่อน” ลู่อี้กล่าวพลางเตรียมจะจากไป แต่กลับถูกถังหมิงฉงหยุดไว้
ลู่อี้จ้องเขม็งไปที่ถังหมิงฉง
ถังหมิงฉงตกตะลึงกับแววตาคู่นั้น เขารีบผละออกมาทันที
“ลู่อี้ ทำเช่นนี้ไม่หยิ่งผยองไปหน่อยหรือ ไม่ไว้หน้ากันเลยหรืออย่างไร?”
“เราคุ้นเคยกันหรือ?” ลู่อี้ถามกลับด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากไม่มีเรื่องสำคัญก็หลีกทางให้ข้า”
“ลู่อี้ เจ้าทำงานในศาลาว่าการรึ?” ฟางโจวอวี่จำเสื้อผ้าที่ลู่อี้สวมใส่ได้
ลู่อี้ไม่สนใจตอบกลับ เขาเลือกที่จะเดินผ่านไป
“ดูท่าทีหยิ่งยโสของเขาสิ ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนสักนิด ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นลู่อี้ที่มีความสามารถมากที่สุดของสำนักหรืออย่างไร?”
“ต้องสืบให้ได้ว่าเขาทำอะไรในศาลาว่าการ”
“ไม่ใช่เรื่องยาก ลูกพี่ลูกน้องของข้าทำงานในศาลาว่าการ” เฉียนจงอวิ๋นกล่าว “ข้าจะไปถามเขาเอง”
ครืด! ครืด!
เสียงงานช่างไม้ดังขึ้นจากลานหน้าบ้าน
ลู่อี้เร่งฝีเท้า เปิดประตูเข้าไปจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะผ่อนคลายลงในที่สุด
มู่ซืออวี่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้น “กลับมาแล้วสินะ ข้ากำลังรอเจ้ากินอาหารเย็นอยู่เลย”
“อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องรอข้า” ลู่อี้ปิดประตู “พวกเจ้ากินก่อนก็ได้”
“เจ้าเลิกงานตรงตามกำหนดไม่ใช่หรือ? หากไม่ไปกินเลี้ยงข้างนอก ก็คงกลับมาถึงบ้านทันเวลาทานอาหารเย็น ต่อให้เจ้าไม่กลับมา เราก็รู้ว่าเจ้าไปกินเลี้ยงข้างนอก เช่นนั้นเราก็ไม่รอหรอก”
ระหว่างมื้ออาหาร ลู่อี้ได้พูดถึงเรื่องที่เขาเปลี่ยนสังกัด
พรูด!
น้ำแกงถูกพ่นออกมาจากปาก
ทุกคนบนโต๊ะอาหาร “…”
ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยแววตาเหยียดหยาม “เจ้าน่ารังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? พ่นสิ่งสกปรกเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?!”
มู่ซืออวี่รีบกล่าวขอโทษ “ข้าต้องขออภัย น้ำแกงร้อนไปหน่อยน่ะ ข้ารีบซดมากเกินไปก็เลยลืมเป่า”
ลู่อี้ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง
มู่ซืออวี่รับผ้าเช็ดหน้าไว้ “ขอบคุณมาก ข้าจะคืนให้หลังจากทำความสะอาดแล้ว”
“เจ้าเก็บไว้เถอะ ข้ายังมีอีกมาก”
“งานใหม่ทำงานยากหรือ?” มู่ซืออวี่วางผ้าเช็ดหน้าลงพลางเอ่ยถาม
“อืม แต่ค่าตอบแทนสูงกว่า การทำงานจะไม่ต่างจากเดิมนัก หากมีคดี เสมียนก็ต้องทำการตรวจสอบ ทางการจะมีค่าเดินทางมอบให้อีก”
“หากเป็นเช่นนั้นก็จงระวังตัวให้ดี อย่าเพิ่งเร่งรัดประสบความสำเร็จ เราเองอยู่อย่างมัธยัสถ์ได้ อย่าโลภในสิ่งที่ไม่ควรเป็นของเราล่ะ”
“พูดถึงอะไรของเจ้า เจ้าพูดราวกับพี่ชายของข้าจะได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแล้วยักยอกทรัพย์” ลู่เซวียนกล่าวด้วยความไม่ชอบใจ “ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าคิดว่าการทำงานในศาลาว่าการจะทรงอำนาจได้ถึงเพียงนั้นหรือ?”
“ข้าตักเตือนด้วยความห่วงใยไม่ได้หรือ? ทำงานในฝ่ายราชทัณฑ์อันตรายมาก พี่ชายของเจ้ายังไม่แกร่งพอ หากเขาต้องทุกข์ทรมานล่ะ? ครอบครัวเรายังต้องพึ่งพาเขานะ” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“พี่ชายของข้าเป็นเสมียนที่เคยออกล่าสัตว์มานานหลายปี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างมีกินมีใช้เพราะหยาดเหงื่อของเขา เช่นนั้นแล้วเจ้ายังต้องกังวลอะไรอีก?” ลู่เซวียนเอ่ย คิดว่ามู่ซื่ออวี่กังวลเกินเหตุ
ลู่อี้มองเข้าไปในแววตาของนางราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง แววตาคู่นั้นเผยประกายมุ่งมั่นบางอย่าง
มู่ซืออวี่ไม่เอ่ยอะไรอีกต่อไป เพราะยิ่งพูดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างความเข้าใจผิดมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เส้นทางชีวิตของลู่อี้ตรงตามต้นฉบับทุกประการ แสดงว่าหนทางข้างหน้าของเขา…
ไม่ได้การแล้ว นางต้องหาทางเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดให้ได้