ความคิดของเธอนั้นสับสนเป็นอย่างมาก ทำได้เพียงเค้นคำพูดออกมาหลายประโยคตามใจคิด แทบจะวางสายโทรศัพท์ด้วยความตะขิดตะขวงใจ ต้นสายโทรศัพท์นั้น เย่ชูหวินยังอยู่ในท่าถือโทรศัพท์เอาไว้
“เธอไม่ได้ชอบคุณ คุณกับฉันก็น่าสมเพชไม่ต่างกัน”เสียงเหน็บแนมของอ้าวเสว่ดังมาจากทางประตู
“เนี่ยนโม่ตามหาคุณตลอด และอีกไม่นานก็น่าจะหาคุณเจอ”เย่ชูหวินวางโทรศัพท์ลง ลุกขึ้นเดินตรงมาทางเธอ
บนหน้าของอ้าวเสว่เต็มไปด้วยความดีใจ เธอรู้ดีว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่มีทางไม่เหลียวแลเธอ เย่ชูหวินเดินมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเธอ คล้ายกับว่ามองเธอด้วยความสงสัย “คุณจะดีใจไปทำไม? จุดประสงค์ที่เขาตามหาคุณนั้นเพื่ออะไรอย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้อย่างนั้นเหรอ?”
สองคนก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกัน สายตาทั้งคู่ตกลงมาที่ท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยของอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ไม่มีอะไรจะคัดค้าน เธอไม่ควรจะดีใจจริงๆนั่นแหละ เย่เนี่ยนโม่ตามหาเธอก็เพื่อเด็กคนนี้
ทันใดนั้นเอง เธอก็มีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาเด็กที่ไม่ใช่ของเขาเอง งั้นก็ให้เขาหาไปเถอะ!
เย่ชูหวินมองสีหน้าของเธอที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แม่บ้านก็พุ่งตรงเข้ามากะทันหัน “คุณเย่ ด้านนอกมีรถมาจอดอยู่หลายคันเลยค่ะ”
เย่ชูหวินพยักหน้าเบาๆ ให้แม่บ้านไปนำเสื้อโค้ตมาให้อ้าวเสว่ เพื่อที่จะแก้แค้น อ้าวเสว่จึงไม่ได้ต่อต้านมาก สวมเสื้ออย่างเชื่อฟัง
เย่ชูหวินหยิบนมมาหนึ่งแก้ว “ดื่มเถอะ วันนี้คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
หลายวันมานี้ เขาดูแลอย่างครอบคลุมทั่วถึงมาก นี่ทำให้อ้าวเสว่ค่อนข้างอิจฉา ไม่มีข้อสงสัย เธอดื่มนมหมดอย่างเชื่อฟัง ขึ้นมานั่งบนรถ เย่เนี่ยนโม่ช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างรอบคอบ รถยนต์บุกทะลุวงล้อม ไม่มีใครกล้าที่ขวางเบื้องหน้าพวกเขา ได้แต่กล้าไล่ตามอยู่ด้านหลัง
“พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?”อ้าวเสว่มองรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่บนภูเขาที่ลับตาคน ถามออกไปอย่างแปลกใจ
เย่ชูหวินหันศีรษะมามองเธออย่างรีบเร่ง สายตามีความละอายใจ และมีความแน่วแน่เป็นอย่างมาก อยู่ดีๆเขาก็กล่าวขอโทษออกมา “ขอโทษ”
“คุณจะทำอะไร!”อ้าวเสว่มองเขาที่ขับพุ่งตรงไปบนภูเขาและเริ่มเกิดความหวาดกลัว อยากที่จะไปแย่งพวงมาลัยมาแต่กลับพบว่าตัวเองนั้นทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรงที่จะใช้เลย เธอทำได้เพียงเบิกตาจ้องมองเขาอย่างไร้หนทาง
สายตาของเย่ชูหวินเต็มไปด้วยความเสียใจ “ผมใส่ยานอนหลับลงไปในนมนิดหน่อย เพื่อความสุขของพวกเขา พวกเราถอยออกมาด้วยกันเถอะ ถ้าหากว่ามีชาติหน้า ผมจะชดใช้คืนให้คุณเอง”
อ้าวเสว่ส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของเธอ ข้างหูได้ยินเสียงยางรถยนต์ลื่นไถลไปกับพื้นทางด้านหลังของรถอย่างรางเลือน
เย่ชูหวินค่อยๆนำมือซ้ายมาวางไว้บนดวงตาของเธอ รถยนต์เปลี่ยนเป็นโคลงเคลงเนื่องจากควบคุมโดยใช้มือข้างเดียว ฝ่ามือของเขาถูกน้ำตาทำให้เปียกชื้นไปหมดเรียบร้อย เขาค่อยๆปล่อยมือข้างขวาของตัวเอง นำมือข้างขวามาวางที่บนดวงตาของตัวเอง
รถยนต์เสียการควบคุม ขับไปด้านหน้าอย่างเละเทะไร้ทิศทาง ตัวรถที่อยู่บนเส้นทางขรุขระไม่หยุดที่จะสั่นโคลงเคลง ทำให้คนเวียนหัวตาลาย เย่ชูหวินเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้าทุกรูปแบบ จิตใจสงบเยือกเย็น แต่หูกลับได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมา
“ไม่ ขอร้องละคุณอย่าเลยนะ ฉันยังไม่อยากตาย!”อ้าวเสว่พึมพำอย่างไร้สติตลอด น้ำตาไหลลงมายิ่งรุนแรงมากขึ้น นั้นน่าจะเป็นเสียงร้องที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้คนไม่มีวิธีที่จะมองข้ามไปได้
เย่ชูหวินถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นี่เขากำลังทำอะไรอยู่! ทำไมเขาถึงตัดสินใจที่จะปลิดชีวิตคนสองคนแบบนี้ได้? มือทั้งสองข้างของเขาวางบนพวงมาลัยอีกครั้ง เหยียบเบรกจังหวะสุดท้ายที่รถยนต์จะลื่นลงไปทางหน้าผาพอดี
หลังจากที่เย่เนี่ยนโม่รีบร้อนกลับประเทศไป ติงยียีก็ติดต่อเขาได้น้อยมาก นี่ก็เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ เธอกดหมายเลขโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ยังคงเป็นเสียงของเย่ป๋อ เธอมองเวลา เอ่ยถาม: “นี่ยังประชุมไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“ใช่ครับ คุณติง คุณชายมีบางเรื่องต้องจัดการ”น้ำเสียงของเย่ป๋อเรียบเฉยไร้คลื่นลม ติงยียีรู้ดีว่าเขาจะไม่บอกอะไรกับตัวเองมากไปกว่านี้ ทำได้แค่เพียงวางสายไป
เธอไม่สามารสที่จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ออกมาได้อย่างชัดเจน เพียงแต่รู้สึกว่าในใจนั้นว่างเปล่า ตั้งแต่หลังจากวันนั้นที่เย่เนี่ยนโม่กลับประเทศไปอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกเหมือนว่ามีเรื่องอะไรจะต้องเกิดขึ้น แต่ว่าเธอรู้ว่าไม่มีใครยอมบอกเธอ
และทำให้เธอรู้สึกไม่สงบเป็นที่สุด นั่นก็คือโทรศัพท์ของเย่ชูหวินไม่มีคนรับสายมาโดยตลอด ตอนนี้ปารีสเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ทิวทัศน์เมืองยามค่ำคืนช่างสวยไม่มีที่ติ แต่ว่าติงยียีนั้นกลับไม่รู้สึกร่วมเลยแม้แต่น้อย
นอนไม่หลับอย่างแท้จริง เธอเองก็เกรงใจที่จะรบกวนชิวไป๋ให้มาคุยเป็นเพื่อนเธอ จึงลุกขึ้นฉับพลันมาเปิดสำรวจโรงแรม นี่เป็นโรงแรมที่เป็นแบบครบวงจรโรงแรมหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีห้องพัก ยังมีห้องอาหาร ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำที่เป็นรายการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เพิ่งจะออกมาจากประตู ท้องของเธอก็ร้องเสียงดังโครกคราก ตบท้องน้อยที่แบนราบ คิดขึ้นมาได้ว่าที่โรงแรมเหมือนว่าจะมี เคาน์เตอร์ขายขนมที่เปิดบริการ24ชั่วโมงอยู่ เธอเดินตามทางเดินยาวของโรงแรมไปอย่างช้าๆ
ที่ระเบียงมีสาวงามแต่ละประเทศเดินเข้ามาบ่อยๆ เธอลงบันได เดินไปทางร้านขายขนมที่มีอยู่ในความทรงจำของตัวเอง ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ติงยียีก็พบว่าคนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเธอโชคไม่ดีพบว่าตัวเองน่าจะหลงทางซะแล้ว
สถานที่ที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้กับลักษณะที่พักของตัวเองนั้นไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง บนพรมเป็นดอกหงอนไก่ดอกใหญ่ บนกำแพงมีรูปภาพแขวนเรียงรายตั้งซ้ายไปขวา ติงยียีที่ไม่ได้ใส่คอนแทกต์เลนส์ทำได้เพียงใช้ดวงตาที่พร่ามัวมองดูรูปเหมือนเหล่านี้ รู้สึกเลือนรางว่ามีหลายรูปที่ตัวเองนั้นเหมือนว่าจะรู้จัก
ประตูไม้ขนาดใหญ่สีแดงเบื้องหน้าแง้มไว้ มีแสงสว่างลอดออกมาจากช่องประตูที่ปิดไม่สนิท เธอคิดว่าน่าจะต้องมีคนทำงานอยู่ด้านใน เลยตัดสินใจว่าจะเข้าไปถามทาง เธอเคาะประตูเบาๆ
ไม่มีคนตอบรับ ภายในห้องเงียบสงัด เธอเคาะประตูอีกครั้ง รออยู่หลายนาทีก็ยังไม่มีคนตอบรับ เธอจึงได้แค่ผลักประตูเข้าไป พอเข้าประตูไปก็ถูกภาพฉากที่อยู่ในห้องทำให้ตกใจ
ภายในห้องเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ที่มีห้องหลายห้องเรียงรายกัน ยึดครองพื้นที่ประมาณสี่ห้าร้อยตารางเมตรกว้างขวางโอ่อ่า ภายในห้องแบ่งแยกออกจากกันในแต่ละทิศด้วยความสูงสามเมตร ตามทิศทางตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน บนตู้วางรองเท้าคู่หนึ่ง กระเป๋าและเครื่องประดับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้านหน้า และตรงกลางห้องมีตู้เสื้อผ้าแน่นขนัด
นี่มันคิดทะเลแห่งเสื้อผ้าจริงๆ! ติงยียีเดินขวักไขว่ผ่านกองเสื้อผ้า เดี๋ยวเดียวก็ลืมจุดประสงค์ของตัวเองว่าคืออะไรไปจนหมด “นี่คุณมาทำอะไรที่นี่?”
น้ำเสียงแหลมดังขึ้นมาฉับพลันมันที ติงยียีตกใจจนสะดุ้งรีบหันหัวกลับมา ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอนั้นเป็นชายชรารูปร่างผอมตัวเล็ก สูงเพียงหนึ่งเมตรห้าสิบกว่าเซนติเมตรเท่านั้นเอง ชายชรานั้นกูเหมือนจะมีจิตใจที่ไม่เลว ถึงผมจะหงอกหมดทั้งหัวแล้ว แต่ว่าสายตาอันหลักแหลมนั้นกลับทะลุหักเหออกมาจากแว่นตาข้างเดียวออกมา
“ขอโทษค่ะ ฉันมาที่นี่เพราะว่าอยากจะถามทาง”ติงยียีถูกสายตาของเขาจ้องมองจนกลัวขนลุก รีบร้อนพูด
ชายชราไม่ได้ฟังคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาเคาะไม้เท้าที่อยู่บนมือลงบนพื้นอย่างแรง ขมวดคิ้วพูด: “คุณดูซิว่าชุดที่คุณใส่เนี่ยเหมือนอะไร?”
ติงยียีก้มหัวลง ส่วนบนของเธอสวมเสื้อสีพื้นตัวหลวม ส่วนล่างใส่กางเกงยีนมีรู และเพิ่มรองเท้าผ้าสีขาวหนึ่งคู่ ใส่แบบนี้มันแย่มากเลยเหรอ?
ชายชรายังคงพูดเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านข้าง ติงยียีพูดอย่างระมัดระวัง: “สวัสดีค่ะ ความจริงแล้วฉันมาเพื่อถามทางนะคะ”
ชายชราจ้องมองเธอ ทันใดนั้นเองก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้า เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันศีรษะกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว “ทำไมยังไม่ตามมาอีก!”
ติงยียีถอนหายใจ ในใจคิดว่าที่แท้ก็เป็นคนปู่ที่ไม่ชอบฟังคนอื่นพูดนี่เอง ชายชราเดินอย่างว่องไว ลักษณะท่าทางไม่เหมือนคนที่อายุใกล้จะเจ็ดสิบแปดสิบปีเลยแม้แต่น้อย
เดินมาตรงด้านหน้าแถวของชุดกระโปรง ชายชราเลือกชุดออกมาจากกองเสื้อผ้า มีเสื้อผ้าหลุดออกมาจากไม้แขวนเสื้อไม่หยุด ติงยียีทำเพียงออกไปรับอย่างลำบาก
หลังจากเลือกเสื้อผ้าแล้วก็ตามมาด้วยรองเท้าแล้วเครื่องประดับกระเป๋า สักพัก บนมือของติงยียีก็มีสิ่งของทับซ้อนกันมากมายเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ค่อยเข้าใจจึงหันไปมองไปที่ชายชรา ดวงตาของชายชราจ้องเขม็ง ใช้ไม้เท้าที่ประดับอัญมณีเคาะกับพื้นจนเกิดเสียง “คุณเป็นท่อนไม้หรือไง! ขยับไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ติงยียีกอดเสื้อผ้ากองใหญ่ เหลือบมองเวลาบนนาฬิกาของตัวเอง พูดเตือนอีกครั้ง: “คุณปู่คะ ฉันแค่มาถามทาง”
“ฉันรู้ว่าคุณนั้นมาถามทาง”ชายชราขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ หรี่ตามองเธอ “ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ รีบไปเปลี่ยนเถอะ ดวงตาของฉันเกือบจะถูกกลิ่นความเชยบนตัวเธอทำร้ายจนเป็นทุกข์ตาย”
ชายชราพูดภาษาอังกฤษทั้งไวทั้งเป็นสำเนียงอังกฤษ ติงยียีถอนหายใจ ตัดสินใจอย่างรวดเร็วฉับไว หลังจากเติมเต็มความต้องการของชายแก่จนพอใจแล้วค่อยออกมาถามทาง
สิบนาทีผ่านไป ติงยียีถูกตัวเองที่อยู่ในกระจกทำให้ตกใจ เสื้อสายเดี่ยวผ้าชีฟองหนึ่งชุด ด้านหลังเสื้อนั้นเกือบจะเปลือยเปล่า มีเพียงอาศัยเชือกไม่กี่เส้นพันประคองเอาไว้ ส่วนล่างเป็นกางเกงขากว้างลายขวาง บนเท้าเป็นรองเท้าหนังปลายแหลม
ติงยียียื่นมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ อยากจะป้องกันด้านหลังเอาไว้ จนกระทั่งแขนได้รับความเจ็บปวดเล็กน้อยแผ่นซ่านกลับมา ชายแก่ยกไม้เท้าขึ้นมา “บังอะไรกันหนักหนา ไม่อนุญาตให้บัง!”
ติงยียีอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก “คุณปู่คะ ฉันมาเพื่อจะถามทางจริงๆ”
ครั้งนี้ชายแก่ไม่มีท่าทางโกรธ สายตาอันแหลมกวาดตามองจากบนลงล่างมองเธออีกครั้ง สุดท้ายก็โบกมืออย่างรังเกียจ “ไปไปไป!”
“ค่ะ คุณปู่”ติงยียีเตรียมตัวอย่างเห็นดีเห็นงามไปด้วยหยิบเสื้อผ้าของตัวเองเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หาไปรอบหนึ่งก็พอว่าเสื้อผ้าของตัวเองนั้นหายไปในอากาศแล้ว
ชายแก่แค่นเสียงออกมา “เสื้อผ้าพวกนั้นของคุณฉันเอาไปทิ้งแล้ว พวกนี้ให้คุณ”
ติงยียีจนใจเป็นอย่างมาก เธอมองออกอยู่ว่ารองเท้าคู่นี้ที่อยู่บนเท้านั้นเป็นของChanel ดูท่าทางเสื้อผ้ากางเกงเองก็ราคาไม่เบาทีเดียว และบนร่างกายของตัวเองที่สวมนั้นเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อเพราะราคาถูกจากตลาดนัดเท่านั้นเอง
สมองของเธอคิดไปต่างๆนานา พอตั้งสะติได้ชายแก่ก็หายตัวไปในกองเสื้อผ้าอีกครั้ง เธอถอนหายใจ หลังจากเดินออกจากประตูถึงจะพบว่าสุดท้ายแล้วคุณปู่ก็ยังไม่ได้บอกตัวเธอเลยว่าเธออยู่ที่ไหน
เดินอ้อมไปหนึ่งรอบ ติงยียีจำใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมที่จะขอความช่วยเหลือกับชิวไป๋ เพิ่งจะเปิดโทรศัพท์มือถือก็พบการแจ้งเตือนว่ามีสายไม่ได้รับอยู่หนึ่งสาย
ในใจของติงยียีกระตุก มองเวลา ผ่านไปแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมง เธอคิดหน้าคิดหลัง ความคิดถึงในใจก็ชนะไปได้อย่างสงบเสงี่ยม เธอกดโทรกลับอย่างรวดเร็ว
“ยียี?”ได้ยินเสียงของเย่เนี่ยนโม่ ติงยียีรู้สึกสงบนิ่งลง เธอเดินช้าๆอย่างไร้จุดหมาย ตอบกลับอย่างมีความสุข: “อืม”
เย่เนี่ยนโม่ได้ยินเสียงเดิน “นี่คุณอยู่ที่ไหน?”