บทที่ 31 กลัวแทบตาย[รีไรท์]
ก่อนหน้าที่พวกตำรวจจะมา พวกเขาได้ตรวจสอบประวัติของฉู่เหินอย่างละเอียดแล้ว ฉู่เหินคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาอย่างแน่นอนและไม่รู้จักคนมีอำนาจที่ไหน ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่ชายชราพูดนั้นคือการพูดพล่ามไร้สาระอย่างแน่นอน
“ไอ้พวกบัดซบ ต่อให้แกรู้จักเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่มีประโยชน์! จะบอกให้พวกแกรู้ไว้ พวกฉันมาจับคนตามคำสั่งของเบื้องบน ตอนนี้พวกแกตามฉันขึ้นรถมาซะดี ๆ อย่าให้ต้องพูดซ้ำอีก!”
เดิมทีฉู่เหินคิดจะลงมือ แต่ด้วยความที่เขาเชื่อว่าคำพูดของพี่ใหญ่หวง ว่านั้นต้องมีอะไรอย่างแน่นอน ดังนั้นหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจไปกับคนพวกนี้ จากนั้นทั้งหกคนก็แบ่งไปกับรถสองคัน ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังด้านนอกของหมู่บ้าน กว่าชาวบ้านในหมู่บ้านจะรู้ข่าว ฉู่เหินก็ถูกพาออกไปเรียบร้อยแล้ว
ต้องรู้ว่าฉู่เหินนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนในพื้นที่มาก อีกทั้งเขายังเป็นคนอ่อนโยน บอกได้ว่าเรื่องที่คนทั้งหมู่บ้านต่างก็ชอบเขานั้น ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนรู้ว่า ฉู่เหินถูกจับต่างก็พากันนั่งไม่ติด เป็นผลให้ชาวบ้านจัดตั้งตัวแทนขึ้นภายใต้การนำของผู้ใหญ่บ้านเพื่อเดินทางเข้าไปร้องเรียนที่เทศบาลเมือง
นายกเทศมนตรีของเมืองเหลียวโค่วเป็นคนที่ขยันมาก ตอนนี้เขากำลังวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับการดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุน ในขณะที่เขากำลังอ่านเอกสารเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หลังจากยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาก็พบว่ามันเป็นเบอร์ส่วนตัวของเขา และจำนวนคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขานั้นนับได้ไม่เกินมือเดียวอย่างแน่นอน อีกทั้งคนเหล่านี้อาจเป็นหัวหน้าเก่าของเขาหรือหัวหน้าของคนปัจจุบัน ดังนั้นท่านผู้นำคนนี้จึงไม่ลังเลและรับสายอย่างรวดเร็ว
“เหล่าหวังใช่ไหม ฉันคือจางโหย่วเซิง คิดจะแข็งข้อใช่ไหม! แม้แต่พ่อของฉันก็กล้าที่จะจับตัวไป แถมยังเป็นการจับตัวไปอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ต้องพูดถึงแค่เมืองเหลียวโค่วของนาย ต่อให้เป็นทั่วทั้งประเทศจีนก็มีแค่ไม่กี่คนที่กล้าแตะต้องพ่อของฉัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หวังเทียนเต๋อก็ตกตะลึงไปทันที จางโหย่วเซิงชื่อนี้คุ้นหูมาก และในวินาทีต่อมาเขาก็นึกออกทันที ผู้ว่าการจังหวัดที่เพิ่งย้ายมาใหม่ดูเหมือนว่าจะชื่อจางโหย่วเซิงใช่ไหม?
“แม่งเอ๊ย ใครมันกล้าจับพ่อของผู้ว่าการจังหวัดมาวะ?” ต้องรู้ว่าชายชราผู้นั้นไม่ใช่แค่พ่อของผู้ว่าการจังหวัด เขายังเป็นนายพลเก่าในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นอีกด้วย บุคคลเช่นนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด ๆ ต่างก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ แต่ว่าตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นในเมืองเหลียวโค่วของเขา นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากด่ากราดออกมาทันที
จากนั้นเขาก็กดโทรศัพท์ทั้งด้านซ้ายและขวาเพื่อโทรออกทันที เรื่องตลกแบบนี้ฝ่ายที่ปัดความรับผิดชอบไม่พ้นที่สุด ก็คือสำนักความมั่นคงพลเรือนนี่แหละ
วันนี้เป็นวันที่ดี เกาเทียนหลินผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนนั่งอยู่ดื่มอยู่ที่โต๊ะในบ้านของเขา เขากำลังมีความสุขมาก เนื่องเพราะตอนนี้เขากลายเป็นปู่แล้ว ยิ่งมองดูเด็กตัวเล็กที่มีหัวโตคนนี้ เขาก็ยิ่งชมชอบจากก้นบึ้งของหัวใจ เดิมทีการหยุดพักผ่อนกับภรรยาของเขาซัก หนึ่งวัน สองวันก็เพียงพอแล้ว แต่เนื่องจากเขาชอบหลานตัวน้อยนี้มาก เขาจึงตัดสินใจหยุดเพิ่มอีกสามวัน
ในขณะที่กำลังจิบไวน์พลางหยอกล้อเล่นกับหลานชาย เขาก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรที่สุขไปกว่านี้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าเหล่าเกาคนนี้อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกทั้งสองของเขาพูดอย่างไรก็ไม่ยอมมีลูก แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ต่างก็มีงานที่มั่นคง พวกเขาจึงคิดที่จะมีลูก เหล่าเกาคิดในใจว่า เขากำลังจะเกษียณแล้ว หลังจากเกษียณเขาจะเป็นพี่เลี้ยงเต็มเวลาอยู่บ้านเลี้ยงหลาน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งมีความสุข! จากนั้นก็ดื่มไวน์อีกแก้วหนึ่ง ขณะที่เขากำลังมีความสุขอยู่นั่นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
โทรศัพท์สายนี้ถือผิดปกติเป็นอย่างมาก นอกจากเพื่อนสนิทแล้วก็มีแค่หัวหน้าเก่าและใหม่ไม่กี่คนที่รู้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับอย่างรวดเร็ว “เหล่าเกา คุณยังอยู่ในช่วงพักร้อนที่บ้านเหรอ? รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ เกิดเรื่องแล้ว เรื่องใหญ่มาก”
เมื่อเกาเทียนหลินได้ยินเสียงจากในโทรศัพท์ หน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที ฉันเพิ่งลาหยุดได้ไม่กี่วัน ก็ดันมาเกิดเรื่องใหญ่เนี่ยนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ ฉันจะต้องขุดมันออกมาให้หมด ไอ้พวกบัดซบครั้งนี้มันไปล่วงเกินใครกันแน่ ดูท่าครั้งนี้จะเกิดเรื่องพลิกฟ้าคว่ำดินเป็นแน่!
หลังจากวางสาย เกาเทียนหลินก็รีบโทรหาผู้ช่วยของเขาทันที ซึ่งหลังจากวางสายจากสถานีตำรวจ! ตอนนี้พวกเขากำลังสวดภาวนาอยู่ในใจ ไอ้พวกบัดซบทั้งหลายออกไปช่วยคนก่อเรื่องโดยพลการ ถ้าหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ จะต้องวุ่นวายจนเดือดร้อนกันไปหมดแน่ ๆ
ไม่ต้องพูดถึงพวกหัวหน้าหน่วยเล็ก ๆ พวกนั้น น่ากลัวว่า แม้แต่ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนก็ไม่สามารถหนีพ้นได้ ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่การที่ควบคุมลูกน้องไม่เข้มงวดปล่อยให้ไปก่อความผิด เขาก็ไม่สามารถหลีกหนีความผิดข้อนี้ได้
ฉู่เหินไม่รู้ว่าตอนนี้ด้านนอกยุ่งวุ่นวายขนาดไหน พวกเขานั่งสบาย ๆ อยู่ในรถตำรวจขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักงานเขต ตอนนี้ทั้งเมืองเหลียวโคว่กำลังสับสนอลหม่าน นายกเทศมนตรีหวังเทียนเต๋อ เหล่าเกาจากสำนักความมั่นคงพลเรือน ผู้ช่วยของเขา และบุคลากรเกือบทั้งหมดของเทศบาลเมืองต่างถูกเรียกตัวออกมา!
ครั้งนี้มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ โดยเฉพาะพวกผู้นำ พวกเขาทุกคนต่างทำหน้าปั้นยาก เพราะหลังจากการสอบถามไปหลายรอบ พวกเขาต่างก็ไม่ได้รับรายงานเลยแม้แต่น้อย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือนี่เป็นการกระทำส่วนตัวของคนระดับล่าง แต่การกระทำส่วนตัวของคนระดับล่างในครั้งนี้กลับ ทำให้คนที่อยู่เบื้องบนตกใจแทบตายแล้ว
ตอนนี้บนทางหลวง อาวดี้ เอหก กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ในเวลานี้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถ เขาอายุประมาณสี่สิบปี คิ้วของเขาพาดเฉียง ใบหน้ารูปเหลี่ยม แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนเลือดร้อน!
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือจางหยี่ที่กำลังเดินทางไปเมืองเหลียวโค่วนั่นเอง และเขาคนนี้นี่เองที่เป็นลูกชายของผู้อาวุโสจางอีกด้วย!
“เสี่ยวหลิว อีกนานเท่าไรจึงจะถึงเมืองเหลียวโค่ว” แม้ว่าจางหยี่จะนั่งอยู่ด้านหลัง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเป็นกังวลอยู่ ไม่มีทางเลือก เขาจะไม่รีบได้ยังไงในเมื่อพ่อที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีของเขาถูกจับไปแล้ว
“หัวหน้าครับ เลี้ยวข้างหน้าก็เข้าเขตเมืองเหลียวโค่วแล้วครับ พวกเราจะไปที่ทำการเมืองเหลียวโค่วก่อนหรือจะไปที่ว่าการมณฑลฝูหยวนก่อนครับ” เสี่ยวหลิวคนขับรถถามขึ้นมาขณะที่ขับรถอยู่ เขาขับรถให้หัวหน้าคนนี้มาสามถึงสี่ปีแล้วแต่ไม่เคยเห็นหัวหน้าเป็นกังวลขนาดนี้มาก่อน
“ไปที่ที่ว่าการมณฑลฝูหยวนก่อน” จางหยี่กล่าวทันที ตอนนี้ที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของพ่อของเขา อย่างอื่นนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ตราบใดที่พ่อของเขานั้นสบายดี
เมื่อรถเริ่มแล่นเข้าเขตชานเมือง เสี่ยวหลิวเชื่อว่าด้วยความเร็วของเขาอีกสิบถึงยี่สิบนาทีก็จะถึงที่ว่าการมณฑลฝูหยวน หลังจากผ่านการตรวจสอบอย่างยาวนาน เหล่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็ได้พบผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ ที่แท้ต้นเหตุของเรื่องในครั้งนี้ก็คือสำนักงานความมั่นคงของพลเรือนส่งคนออกไปจับประชาชนคนหนึ่ง
ถ้าพูดตามเหตุผลแล้ว ต่อให้ฉู่เหินทำผิดขึ้นจริง ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่สำนักงานความปลอดภัยพลเรือนแห่งนี้ จะเข้ามาแทรกแซง แต่ตอนนี้เรื่องนั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญคือในที่สุดผู้กระทำผิดก็ถูกค้นพบ ว่าแล้วบรรดาผู้นำแต่ละคนก็ขึ้นรถของตัวเองและรีบไปที่สถานีตำรวจ เมื่อพวกเขาไปถึง รถสองคันที่ถูกส่งออกไปก็ยังไม่กลับมาเสียที
ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน และอากาศข้างนอกก็ร้อนมาก แต่ไม่มีคนใดในบรรดาผู้นำเหล่านี้ที่จะกล้าเข้าไปในอาคารเพื่อหลบร้อน พวกเขาทั้งหมดต่างก็ยืนเผชิญหน้าแสงแดดที่ร้อนระอุ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ละคนก็เริ่มมีเหงื่อไหลท่วมตัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครไปกล้าที่จะหลบในที่ร่ม
สิบนาทีต่อมารถอาวดี้ เอหก ก็มาถึง หลังจากลงจากรถจางหยี่ก็ไม่พูดมาก เขาถามสั้น ๆ ด้วยความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ภายในดวงตา จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างนอกภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นเดียวกันคนอื่น ๆ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในสถานีตำรวจเล็ก ๆ แห่งนี้ต่างก็พากันงงเป็นไก่ตาแตก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? พระเจ้าช่วย…