บทที่ 38 ร่วมทางกับผู้กอง[รีไรท์]
“ในเมื่อซาอี๊เรียก หนึ่งหมื่นหยวน เราก็จะให้ หนึ่งหมื่นหยวน ไหน ๆ คุณก็เลี้ยงพี่สะใภ้ผมมา ถ้าพูดจาดี ๆ จะเรียก ห้าหมื่น แสนหยวน สองแสนหยวนหรือห้าแสนหยวนเราก็จะให้ เอาไปเลย แต่ตอนนี้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่แล้ว เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมจะให้ ห้าหมื่นหยวนเป็นค่าเลี้ยงดู” ป้าเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง เธอไม่นึกว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้เธอไม่อยากจะเชื่อเลย เธอรีบพยักหน้าและกล่าวว่าจะไม่กลับมาสร้างความลำบากใจอีก
จากนั้นซูวี่เหมย ก็เดินมายื่นบัตรเอทีเอ็มมาให้ฉู่เหิน “เคนซี่ ฉันมีเงินแสนหยวน อย่าเพิ่งไปไหนนะ รอเอาเงินไปก่อน” ฉู่เหินรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอเมื่อได้ยิน มันเป็นอย่างที่เขาเดาไว้จริง ๆ พี่สะใภ้ของเขาเก็บออมเงินไว้โดยไม่กล้าใช้สักแดง
“พี่สะใภ้ เก็บบัตรไว้เถอะ ไม่ต้องห่วง ผมมีเงินน่า วันนี้ผมตั้งใจจะเอาเงินมาให้อยู่แล้วแต่ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ส่วนเรื่องอื่นไว้คุยกันทีหลังเถอะ” เมื่อซูวี่เหมยถามอีก ฉู่เหินก็รีบตัดบท
จากนั้น เธอเห็นฉู่เหินเอาเงินออกมาจากกระเป๋าห้าปึก เงินทุกปึกทีหยิบออกมามีค่าหมื่นหยวน ถึงห้าหมื่นจะไม่ใช่เงินมากมาย แต่ก็เป็นเงินจำนวนมาก เขาเอาเงินห้าหมื่นใส่มือซาอี๊และส่ายหัวอย่างเอือมระอา มนุษย์ทำอะไรไว้ สวรรค์มีตา ความอยุติธรรมจะต้องได้รับการลงโทษ นี่คือชีวิต
ฉู่เหินรู้สึกหดหู่ในใจขณะมองซาอี้กับลูกชายที่กำลังเดินจากไปพร้อมเงินห้าหมื่นหยวน จริง ๆ แล้วเขาอยากให้ไปสักสองแสนหยวนและหวังว่าซาอี๊จะไม่ต้องเปลี่ยนเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างถึงเพียงนี้ การป็นคนที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยเฉพาะคนที่เป็นญาติกันเช่นนี้ นี่มันจะไปต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานกัน
ฉู่เหินนำเงินห้าหมื่นหยวนออกมาให้พี่สะใภ้ หากพี่ชายไม่ยอมรับเงิน ฉู่เหินไม่มีทางเลือกนอกจากเอาข้อความในมือถือมาให้ดู ทั้งคู่ตื่นตะลึงเมื่อเห็นข้อความ พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฉู่เหินออกไปจากห้องแล้ว
เมื่อพี่ชายของเขาถามไล่เรียงความเป็นมา ฉู่เหินจึงอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่พี่ชายของเขาก็ยังไม่เชื่อ เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วตบหัวน้องชาย
ฉู่เหินจึงต้องอธิบายอยู่เนิ่นนานเพื่อให้พี่ชายเข้าใจ เขากลัวว่าพี่ชายจะซักไซ้ต่อ จึงต้องรีบเดินออกไป แต่ก่อนกลับ ฉู่เหินได้แวะเข้าพบคุณหมอเรื่องผลการรักษาของพี่ชาย ดูเหมือนพี่ของเขาจะฟื้นตัวดี แต่ถึงอย่างงั้นการพักฟื้นให้หายสนิทก็ยังเป็นกระบวนการที่ยาวนาน
หมอเจ้าของไข้แนะนำให้พี่ชายของเขาพักที่โรงพยาบาลต่อ ถ้ากลับไปพักต่อที่บ้านเขาอาจหายเป็นปกติในเวลาสองถึงสามปี แต่นั่นก็มีโอกาสที่เขาอาจไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก ฉู่เหินเชื่อเสมอว่าคนดีผีคุ้ม ขาของพี่ชายของเขาต้องกลับมาใช้งานได้อีกครั้งแน่ ๆ ถ้าได้กลับไปพักที่บ้านก็คงจะดีอย่างน้อยพี่ชายเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเหมือนตอนนี้
หลังออกจากโรงพยาบาล ฉู่เหินเห็นว่าตำรวจยังรออยู่ด้านนอก ต้องขอบคุณคุณตำรวจไม่อย่างนั้นเรื่องคงบานปลายกว่านี้ ซึ่งตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ยุติลงแล้ว
“คุณตำรวจ ผมขอบคุณจริง ๆ ที่สละเวลามาจัดการเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย ถ้าต้องการอะไรในภายภาคหน้าก็บอกผมแล้วกัน” เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉู่เหิน ตำรวจก็ดีใจมากเพราะเขารอฉู่เหินหน้าโรงพยาบาลอยู่นานขนาดนี้ ก็เป็นเพราะกำลังรอฉู่เหินพูดประโยคนี้นี่แหละ
“ไม่เป็นไรเลย คุณฉู่ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องคิดมาก” ตำรวจกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณฉู่จะไปทำอะไรต่อรึเปล่า”
“ผมจะไปหาน้องสาวที่โรงเรียนเฉิงไช่ ผมไม่ได้เจอหน้าน้องมาครึ่งเดือนกว่า ๆ แล้วไม่รู้ว่ายัยเด็กนั้นจะตั้งใจเรียนอยู่รึเปล่า” ฉู่เหินอดส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มไม่ได้เมื่อพูดถึงหวงลี่ลี่ เขาให้เธอเรียกว่าอา แต่สุดท้ายเธอกลับมาเรียกเขาว่าพี่ชาย และไม่ว่าเขาจะบอกกี่ครั้งเธอก็ไม่ยอมเปลี่ยน พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มชินเสียแล้ว
“ถ้าคุณฉู่ไม่ว่าอะไร ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมล่ะ” เมื่อเกาฉีได้ยินประโยคนี้ก็พูดพร้อมหัวเราะเหอะ ๆ
“ถ้าได้ก็ดีครับ ผมเข้าไปในโรงเรียนลำบาก มันเป็นโรงเรียนปิดที่มีรั้วรอบขอบชิด กว่าจะเข้าออกได้แต่ละครั้งลำบากเหลือเกิน แต่ถ้ามีตำรวจยศสูง ๆ ไปด้วยก็น่าจะง่ายขึ้นเยอะ” เมื่อได้ยินฉู่เหินตอบตกลง ให้เขาไปเป็นเพื่อน เขาดีใจมาก การที่เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉู่เหินถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
ถึงเขาจะบอกว่าเขากำลังเกษียณ แต่เขาก็ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงอะไรในหน้าที่การงาน อย่าลืมว่าเขามีลูกและหลานชายที่เพิ่งเกิด จะมีผู้ใหญ่คนไหนไม่อยากทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลานกันละถูกไหม
ฉู่เหินขึ้นรถตำรวจก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย โรงเรียนเฉิงไช่ถือเป็นโรงเรียนชื่อดังในเหลียวคู นักเรียนที่เรียนจบจากเฉิงไช่ล้วนแล้วแต่สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำนับไม่ถ้วน แม้ว่านี่จะเป็นโรงเรียนเอกชน แต่ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นโรงเรียนชั้นนำของเมืองถึงสามปีซ้อน
เหตุผลที่ผู้ปกครองจากทั่วทุกสารทิศพาลูกหลานมาเข้าเรียนที่นี่ก็เพราะคุณภาพการศึกษาที่ดี แถมค่าเทอมก็ไม่แตกต่างกันมาก ครูทุกคนที่นี่ต่างก็ทุ่มเทและทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงได้รับความเคารพจากนักเรียนเป็นอย่างมาก
บางครั้งครูถึงกับไม่มีเวลาไปทานมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นเพื่อสอนให้นักเรียนเข้าใจ โรงเรียนแห่งนี้การแข่งขันสูงมาก นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าเรียนกับครูคนไหนก็ได้ถ้าสอนไม่ดีงั้นก็ต้องขอโทษด้วยเพราะต่อไปก็คงจะไม่มีนักเรียนคนไหนเข้าไปเรียนด้วยแล้ว
จำนวนนักเรียนในห้องคือตัวกำหนดโบนัสที่ครูจะได้รับครูหลายคนถึงกับสละเวลาของตัวเองมาเพื่อติวหนังสือให้กับนักเรียน นี่เองจึงทำให้เกิดเป็นกลุ่มติวเล็ก ๆ ขึ้น และเพราะระบบที่ดี นี่จึงทำให้โรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นโรงเรียนชั้นนำระดับเทศบาลและระดับมณฑลมานานถึงสามปีซ้อน ครูกึ่งหนึ่งในโรงเรียนนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นครูชั้นนำของจังหวัดหรือมณฑลกันทั้งนั้น
ถึงค่าเรียนจะแพงกว่าแต่ก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะสนใจเงินก้อนเล็ก ๆ นี้ เพื่ออนาคตที่สดใสของลูกหลายแล้วเท่าไหร่พวกเขาก็จ่ายไหว
“คุณฉู่ ผมขอถามอะไรหน่อย ทำไมคุณถึงนามสกุลฉู่ แต่พี่ชายนามสกุลหวง” เรื่องนี้กวนใจผู้กองตั้งแต่เขามาถึงที่โรงพยาบาล ตอนแรกเขานึกว่าหวงเจี้ยนหมิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉู่เหิน หรือไม่ก็เป็นญาติ แต่เมื่อสังเกตดี ๆ เขาก็เห็นว่าฉู่เหินกับหวงเจี้ยนหมิงเป็นเหมือนพี่น้องกันจริง ๆ พี่น้องแบบที่ทำทุกอย่างให้กัน
“ผมเป็นเด็กกำพร้าน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมออกไปเดินเตร็ดเตร่ แล้วก็ได้พี่ชายผมรับผมมาเลี้ยงจนโต สำหรับผม เขาไม่ใช่แค่พี่ชาย แต่เปรียบเสมือนพ่อของผมด้วย” นายตำรวจรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ฟังฉู่เหิน “นี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วคุณยังหาครอบครัวไม่เจอเลยเหรอ”
“ผมไปแจ้งเรื่องไว้ที่สถานีตำรวจ แต่ผ่านมาสิบปีแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย” อาจเป็นสัญชาตญาณด้านอาชีพของตำรวจ เมื่อได้ยินฉู่เหินบอกเช่นนั้น ผู้กองเก๋าก็เริ่มถามรายละเอียดตอนเด็ก ๆ ของฉู่เหิน เช่น เขาหลงกับพ่อแม่ที่ไหน จำอะไรได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่เรื่องมันเกิดขึ้นนานมาแล้ว ความทรงจำของฉู่เหินเลือนรางมาก
เขาจำได้เพียงแค่ว่าพ่อพาเขาออกไปเล่นนอกบ้านแล้วบังเอิญเจอเข้ากับกลุ่มนักเลง นั่นเองที่ทำให้ฉู่เหินพลัดพรากกับพ่อ แถมพอเวลาผ่านไปหลายปี เขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพ่อของเขาอีกเลย