บทที่ 66 ชายหนุ่มผู้แสนโอหัง
กาลเวลาช่างผ่านไปไวยิ่งนัก มันเหือดหายไปเงียบ ๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่ว่าคุณจะร่ำรวยหรือมีอำนาจบาตรใหญ่สักเพียงใด ก็ไล่ตามมันไม่ทัน
ช่วง 2 วันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรื่องแรกเลยก็คือบ่อเลี้ยงปลาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อสร้างทั้งหมด ในช่วงเวลานี้ฉู่เหินเดินไปดู และเมื่อเขาเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วก็เลยเดินกลับไป พฤติกรรมของฉู่เหินมันทำให้หวงม่านอิ่งถึงกับพูดไม่ออก
ในช่วง 2 วันมานี้ เมื่อพ่อแม่ของเสี่ยวชิงรู้ว่าทำไมเสี่ยวชิงจึงไม่ไปเรียน พวกเขาก็โกรธเคืองชายหนุ่มผู้แสนโอหังคนนั้นมาก แม้แต่เสี่ยวเฟิงเอง พอเธอทราบเรื่อง เธอก็ตะโกนด่าว่าจะจับมันมาฉีกปาก แต่แน่นอนว่าไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเธอ แต่ครั้งนี้เสี่ยวเฟิงตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะส่งคำขู่นี้ตรงถึงตัวไอ้หนุ่มนั้น
ในช่วง 2 วันมานี้ ฉู่เหินขายปลาได้อีกล็อตหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้เขาขายได้ไม่มากเท่าไหร่ ขายไปได้แค่พันเดียว ไม่มีทางเสียล่ะ ครั้งนี้เขาจะออกไปขายเอง ไม่ว่าจะต้องขายให้คนรวยหรือคนจน เขาจะต้องได้เงินมาอีกก้อนโต อะไรก็เกิดขึ้นได้แหละน่า
ในช่วง 2 วันมานี้ ฉู่เหินล่องเรือออกทะเลและหว่านแหถึง 3 ครั้งติดกัน แต่ครั้งนี้เขาโชคไม่ดีเลย หว่านไปกี่ทีก็มีแต่ขวดไม่ก็กระป๋องติดแหกลับมา ครั้งแรกที่เขาหว่านแห สิ่งที่เขาได้มาคือถุงน้ำดี ในอินเทอร์เน็ตบอกว่ามันมีมูลค่าแค่ไม่กี่ร้อย แต่ฉู่เหินรู้ดีว่ามันมีค่าแค่ 2 เหรียญ
เขาได้อ่างอาบน้ำมาจากการเหวี่ยงแหครั้งที่ 2 อ่างอาบน้ำนี้ไม่ต่างจากอาวุธขมังเวทย์ที่นำไปใช้ต่อสู้หรือป้องกันอะไรไม่ได้เลย เจ้าสิ่งนี้มันทำได้แค่อย่างเดียวนั่นก็คือปรับขนาดได้ พอใช้มันเป็นแล้ว เขาก็ได้รู้ว่ามันสามารถปรับอุณหภูมิน้ำได้อัตโนมัติอีกด้วย สรุปว่าสิ่งที่เขาได้มาคือความหรูหราที่ไร้ค่านั่นเอง
ถ้าทั้งสองอย่างที่ว่ามายังหนักหนาไม่พอ ของที่ติดแหมาครั้งที่ 3 นี่แหละที่ทำให้ฉู่เหินถึงกับพูดไม่ออก เพราะมันคือขาตั้งกล้องที่ทำจากสัมฤทธิ์ซึ่งดูเหมือนว่าจะพังแล้วเสียด้วย ถ้าในอินเทอร์เน็ตไม่บอกว่ามันขายได้ 20,000 ฉู่เหินคงจะทิ้งมันไปนานแล้ว
แม้ในอินเทอร์เน็ตจะบอกอะไรไว้หลายอย่าง แต่ฉู่เหินกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนัก เขานำสิ่งของทั้ง 3 สิ่งที่ได้มาไปเก็บก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ของ 3 สิ่งนี้จะทำเงินให้ฉู่เหินมีเงินเพิ่มมา 23,000 หยวน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องกลับแล้ว ฉู่เหินนำกุญแจไปให้เสี่ยวเฟิงเพราะเธอต้องนำอาหารมาเลี้ยงปลา และบ้านก็ต้องมีคนดูแลอยู่ไม่ได้ขาด
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉู่เหินก็นำปลาที่ตกได้มาใส่ในถังน้ำแข็ง เขาไม่ได้นำปลาเหล่านี้มาให้คนกินหรอกนะ แต่เป็นปลาที่เขานำมาให้เสี่ยวเฟิงนำไปเลี้ยงแมวของจิ่วห่วน ฉู่เหินรู้สึกว่าตั้งแต่เจ้าแมวนี่กินเนื้อปลาเข้าไป มันก็แข็งแรงขึ้นมากทีเดียว เขาเองก็ไม่อยากให้เจ้าเหมียวนี่ผอมขนาดนี้ แต่เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยจะมีคนดูแลมันเสียเท่าไหร่
เสี่ยวเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่ครั้งนี้ฉู่เหินทิ้งปลาไว้ให้เจ้าแมวผอมกะหร่องนี่ เธอรู้ว่าเธอทำงานให้น้องสาวและต้องช่วยดูแลเธอ อีกอย่าง ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ เธอก็จะมีเวลาว่างสำหรับตามดูเจ้า 2 คนนี้ เสี่ยวเฟิงเห็นน้องสาวและฉู่เหินรักกันมากก็อดอิจฉาไม่ได้ ถ้าจะมีมารขวางทาง ก็คงเป็นเธอคนนี้นี่แหละ
เมืองจิงเหมินอยู่ไม่ไกลจากเหลียวโค่วมากนัก นั่งรถไฟแค่ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง เดี๋ยวนี้จะไปไหนมาไหนก็สะดวกมาก
มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ฟู๋หยวนตั้งอยู่ในเมืองจิงเหมิน เดิมทีมหาวิทยาลัยฟู๋หยวนเคยอยู่ในเมือง แต่ต้องย้ายไปอยู่ในเขตกำลังพัฒนาเพื่อกระตุ้นการศึกษาแล้ว ถึงฟู๋หยวนจะเป็นเพียงวิทยาลัยทั่วไป แต่มันมีอัตราการจ้างงานอยู่ในระดับสูง นี่เองจึงทำให้มีนักศึกษาจำนวนมากหลั่งไหลมาสมัครเรียนที่นี่ทุกปี
ฉู่เหินไม่ได้พาเสี่ยวชิงกลับไปที่มหาวิทยาลัยทันที เขาต้องแวะไปหาชายหนุ่มคนนี้ก่อน ถ้าชายคนนั้นยอมรับฟังดี ๆ ละก็ เรื่องมันก็จะได้จบเท่านี้ แต่ถ้าเขายังดื้อแพ่ง ฉู่เหินก็ไม่อยากใช้อารมณ์กับเรื่องนี้เลย แต่ที่ฉู่เหินคาดไม่ถึงก็คืออิทธิพลของว่าชายหนุ่มคนนี้ในจิงเหมิน อันที่จริงฉู่เหินก็เพิ่งมารู้ตอนมีคนบอกตอนเขาลงจากรถไฟนี่แหละ
ฉู่เหินตั้งใจจะออกตามหาเจ้าหมอนี่อย่างเต็มที่ แต่เขาไม่นึกว่าจะเจอเด็กหนุ่มคนนี้ทันทีที่ออกจากสถานีรถไฟ เขาเห็นรถเบนท์ลีย์ขับมาจอดตรงหน้าเขา
ฉู่เหินเดินไปที่รถ ก่อนจะมองไปเด็กหนุ่มช่วงวัย 20 กว่า ๆ เสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาสวมใส่ล้วนมาจากยี่ห้อชื่อดัง รวมกันทั้งตัวก็คงไม่ต่ำกว่าแสน
“ หลิวเสี่ยวชิง นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ถ้าฟังฉันตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นอย่างนี้ ทีหลังอย่ามาเถียงฉัน” ระหว่างพูด เขาก็ง้างมือขึ้นจะตบหน้าของเสี่ยวชิง
ฉู่เหินที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขาจะปล่อยให้เธอโดนทำร้ายอย่างไร้เหตุผลอย่างนี้ได้อย่างไร เขาเองยังไม่เคยทำร้ายเสี่ยวชิงเลยสักครั้ง ว่าแล้วฉู่เหินก็พุ่งเข้าเตะชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความโมโห
ชายหนุ่มล้มดังโครม เขาลงไปนอนกลิ้งกับพื้นอยู่นาน จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองฉู่เหินที่ยืนอยู่ข้างๆ สายจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ถ้าแกฉลาดละก็ อย่าทำกับเสี่ยวชิงแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้น แกได้รู้จักคำว่าบ้านแตกแน่ๆ” ฉู่เหินเดินไปเหยียบมือเด็กหนุ่มอย่างไม่ปรานี
ฉู่เหินไม่ได้ตั้งใจจะให้มันกลายเป็นแบบนี้ แต่เมื่อฉู่เหินได้เห็นสายตาอาฆาตแค้นของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกอยากจะให้เด็กคนนี้ได้รับบทเรียน ถ้าไอ้เด็กคนนี้ฉลาด เขาจะไม่ทำให้ฉู่เหินโกรธอีก แต่ถ้ามันยังจะแส่หาที่ตาย ฉู่เหินก็พร้อมจะส่งมันลงนรกได้
ในยุคสมัยนี้ ฆ่าคนตายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าฉู่เหินจะทำจริง ๆ เขาก็ทำได้ไม่ยาก “ไปให้พ้น อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่งั้นแกจะเสียใจ” หลังได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตัวสั่น เขารู้ว่าฉู่เหินไม่ได้พูดเล่น
“ฉันไม่ลืมหน้าแกแน่ ไม่ต้องห่วง แกไม่ได้มีลมหายใจออกจากจิงเหมินแน่” เด็กหนุ่มตะโกนขู่ฉู่เหินตอนลูกสมุนหามเขาขึ้นรถ เมื่อพูดจบ เขาก็สั่งให้ลูกน้องขับรถออกไปทันที
ฉู่เหินขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย เขาไม่นึกว่ามันจะกร่างถึงขนาดนี้ ปัญหานี้ดูเหมือนจะแก้ได้ยากเสียแล้ว เขาต้องพักปัญหานี้ไว้ก่อน ตอนนี้พวกเขาต้องหาโรงแรมเข้าพัก
แต่พอลงจากสถานี เขาก็เห็นคนชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่วิ่งถือมีดมาแต่ไกล ฉู่เหินถึงกับหน้านิ่วเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาเอาตัวบังเสี่ยวชิงให้ไปยืนหลบด้านหลัง ตอนแรกฉู่เหินคิดว่าชายกลุ่มนี้จะวิ่งผ่านไป แต่ที่ไหนได้ ชายหนุ่มพวกนี้กลับมายืนล้อมรอบเขา
“ไอ้หนุ่ม มีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายไหม แกไปลองดีกับใครไว้ล่ะ งานนี้ลูกพี่เขาสั่งมา ไม่ต้องห่วง งานนี้สนุกแน่ ๆ!” หัวโจกกลุ่มนั้นตะคอกใส่ฉู่เหิน