บทที่ 68 เมื่อโชคร้ายเกิดขึ้น
ด้วยทักษะของฉู่เหินตอนนี้ ถ้ามีกระต่ายสักตัว เขาต้องจับได้อย่างง่ายดายแน่นอน แต่ตั้งแต่ขึ้นเขามา อย่าว่าแต่กระต่ายเลย แม้แต่นกสักตัวก็ไม่เห็น แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเนื้อสัตว์ประหลาดในแหวนอยู่นิดหน่อย ถ้านำออกมาย่างสักชิ้นก็น่าจะดี
หลังจากนั้นฉู่เหินก็เลยไปหาฟืนแห้ง ๆ เขาเริ่มสุมฟืนเพื่อก่อกองไฟ แต่ด้วยความที่เขาไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นฉู่เหินจึงไม่มีไฟแช็กที่ใช้จุดได้เลย แต่นั่นก็ไม่เป็นไร การก่อกองไฟแบบนี้สำหรับ ฉู่เหินแล้ว เขาสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่กี่นาทีต่อมา เปลวเพลิงก็เริ่มก่อตัวขึ้น ฉู่เหินรีบเอาไม้แห้งสุมลงไป ไฟจึงเริ่มโหมแรงขึ้น
เขานำเนื้อเสือเขี้ยวดาบออกมาย่าง ไม่นานนักกลิ่นหอมก็เริ่มโชยเข้าจมูก เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เหินก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาคิดว่าย่างสัก 10 นาที เนื้อก็น่าจะสุกทั่ว
แต่ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงเปาะแปะ เพียงอึดใจเดียว ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก กองไฟที่เขาก่อไว้ก็โดนฝนชะดับหมด ตัวฉู่เหินเองได้แต่ยืนตัวเปียกโชกไม่ต่างจากหนูจมน้ำอยู่กลางผืนหญ้าโล่งกว้าง
“ไม่นึกเลยว่าคำสาปมันจะแย่ขนาดนี้ นี่แค่ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็เกิดเรื่องซวยแล้ว” เขาก่นด่าพร้อมกับรีบวิ่งไปยังริมเขา ฉู่เหินเห็นต้นไม้ใหญ่หลายต้นอยู่ด้านหน้า เขาจึงคิดอยากจะหลบฝนที่ใต้ต้นไม้
ฉู่เหินยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ เขานำเนื้อเสือย่างที่ยังไม่ทันจะสุกดีมากิน การได้ทานเนื้อย่างกลางสายฝน แม้มันจะยังไม่สุกดี แต่นี่ก็มีความสุขไปอีกแบบ ฉู่เหินคิดปลอบใจตัวเอง
เขากัดเนื้อออกมาเคี้ยวช้า ๆ ในปาก แต่ยังไม่ทันจะได้กลืน เขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาอีก เมื่อหันไปมอง เขาเห็นว่าต้นไม้ที่เขายืนหลบฝนอยู่นั้นโดนฟ้าผ่า ฉู่เหินรีบทิ้งเนื้อในมือด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะม้วนตัวกลิ้งมาด้านหน้า และนี่ก็ทำให้เขารอดพ้นจากการโดนต้นไม้ใหญ่ทับมาได้อย่างหวุดหวิด
พอตั้งตัวได้ เขาก็เห็นว่าต้นไม้ใหญ่ขนาดต้องใช้ 2 คนโอบโดนฟ้าฝ่าแสกแยกเป็น 2 ส่วน ฉู่เหินรีบกุลีกุจอวิ่งกลับไปควานหาเนื้อที่เขาทิ้งไว้ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน! ไม่นานเขาก็หาเนื้อไม้นั้นเจอ
แต่พอได้เนื้อย่างมาไว้ในมือ เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความหัวเสีย สายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่เพียงแต่ผ่าต้นไม้ใหญ่ออกเป็นสองส่วนเท่านั้น หากแต่มันยังทำลายเนื้อย่างของเขาไปด้วย แค่ดูหน้าตาของเนื้อย่างก็รู้แล้วว่ามันกินไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจทิ้งไป
ฝนตกลงมาอย่างหนักจนทำให้เขาต้องหาที่กำบัง ถ้าเดินไปเรื่อย ๆ เขาก็อาจเจอหมู่บ้านหรืออะไรบ้าง แต่เขาจะกล้าขอเข้าไปหลบฝนในบ้านคนอื่นไหมนะ?
ขณะที่ฉู่เหินกำลังเดินอยู่ในหุบเขา จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคำรามอยู่เหนือหัว เขาไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมอง ฉู่เหินก็ถึงกับสบถออกมาเสียงหลง “ทำไมเล่นแบบนี้เนี่ย!” ก่อนจะรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
ตอนเขาเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาเห็นโคลนที่กำลังถล่มลงมาจากบนเขา ฉู่เหินอยู่ในที่ต่ำ ถ้าเขาจมอยู่ใต้โคลนที่ถล่มลงมา เขาจะต้องตายแน่ ๆ แต่โชคดีที่เขาร่างกายกำยำและวิ่งได้เร็วมาก ๆ
เมื่อเขาวิ่งออกมาถึงเนินเล็ก ๆ เขาก็หันหลังกลับไปมองด้วยความกลัวสุดขีด บัดนี้หุบเขาระดับต่ำเต็มไปด้วยเศษซากที่ไหลลงมาจากบนเขา ที่นี่อันตรายเหลือเกิน! เขากลับไปอยู่ในเมืองน่าจะปลอดภัยกว่า ว่าแล้วฉู่เหินก็รวบรวมพละกำลัง ก่อนจะเดินตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้า เขาไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน แต่เขาเชื่อว่าถ้าเดินไปในทิศทางเดียว เขาจะต้องเจอบ้านเรือนผู้คนเข้าสักหลังแหละน่า
ฉู่เหินวิ่งออกจากภูเขามาไม่นานก็ถึงทางหลวง เขาวิ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก ในเวลาชั่วพริบตา เขาก็วิ่งมาไกลมากแล้ว ระหว่างนั้นเอง ฉู่เหินก็เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้า
เขาเห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ไกล ๆ ดูจากการแต่งตัวคงจะเป็นคนร่ำรวย แต่สภาพของเขาตอนนี้ช่างอนาถ ฝนตกลงมาอย่างหนัก รถเขาก็กลับมาเสียอีก เขาจึงไม่เพียงแต่จะต้องตากฝน แต่เขาต้องซ่อมรถไปด้วย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเครื่องยนต์ของเขามีปัญหา เขาต้องหาคนมาช่วยเข็นรถจึงจะสตาร์ทติด แต่เขาหาคนช่วยไม่ได้เพราะไม่มีตึกรามบ้านช่องหรือใด ๆแถวนี้เลยแม้แต่น้อย แต่แล้วเขาก็เห็นคนกำลังวิ่งมา ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะดีใจ และถ้าชายคนนี้ยอมช่วยเขาเข็นรถ เขาก็จะยอมให้ชายคนนี้ติดรถไปด้วย
“น้องชาย น้องชาย ดูจากการวิ่งแล้วคงจะรีบอยู่ใช่ไหม! เอาแบบนี้ไหม น้องชายช่วยฉันเข็นรถหน่อยสิ ถ้ามันสตาร์ทติดฉันจะไปส่งน้องชายเอง” ฉู่เหินวิ่งไปหา เมื่อได้ยินชายคนนั้นพูดเขาก็หัวเราะกับตัวเอง ฉู่เหินคิดว่านั่งรถยังไงก็สบายกว่าวิ่ง เขาจึงพยักหน้าแล้วเริ่มเข็นรถโดยไม่พูดอะไร เขาเริ่มวิ่งไปบนถนนอย่างรวดเร็ว ฉู่เหินเป็นคนแข็งแรงมาก เขาเข็นรถแค่คนเดียวเรี่ยวแรงยังดีกว่ามีคนช่วยเป็นสิบ
หลังชายคนนั้นสตาร์ทรถอยู่ 2-3 ครั้ง เขาก็สตาร์ทเครื่องติด ฉู่เหินไม่ได้พูดอะไร เปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ
“ขอบคุณมากนะน้องชาย นี่กำลังจะไปไหนเหรอ เดี๋ยวฉันไปส่ง” ชายวัยกลางคนกล่าวกับฉู่เหินอย่างสุภาพ
“ไปไหนก็ได้ครับ แค่ขอให้มีอะไรกินก็พอ” ฉู่เหินพูดความจริง แต่พอได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่เป็นบ้าหรือเปล่า แต่เขาไม่พูดอะไรอีก เพราะยังไงชายคนนั้นก็ช่วยเขาไว้ จากนั้นรถก็แล่นหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
แต่รถแล่นไปยังไม่ถึง 10 นาที คนขับก็เหยียบเบรกทำให้รถหยุดนิ่ง มันเกือบทำให้ตัวฉู่เหินทะลุออกไปนอกรถ เขามองออกไปบนถนนด้วยความสงสัย สิ่งที่ฉู่เหินเห็นทำให้เขารู้สึกเซ็งไม่เบา เพราะถนนเบื้องหน้ามันขาด และรถที่พวกเขานั่งก็ไม่สามารถขับรถผ่านไปไม่ได้
คนขับจึงต้องกลับรถอย่างไม่มีทางเลือก เขาต้องขับกลับไปทางเดิมเพื่อหาถนนลูกรังที่สามารถพาพวกขับอ้อมไปได้ โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น
ขณะที่พวกเขาขับรถไปตามถนนดินลูกรัง ฉู่เหินก็เห็นซุปเปอร์มาร์เก็ตริมถนน เขาจึงให้คนขับหยุดรถโดยไม่ได้บอกอะไร เขาต้องลงไปซื้ออาหาร ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เขารู้สึกว่าตัวเองหิวมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก สำหรับคนร่างหายกำยำอย่างฉู่เหินตอนนี้ เขาสามารถอดอาหารได้ตั้งวันสองวันอย่างไม่มีปัญหาเลย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาอาจหิวตายหากไม่ได้ทานอะไร
เมื่อคนขับได้ยินว่าฉู่เหินจะเดินลงไปซื้ออาหาร เขาจึงจอดรถแล้วเดินลงไปด้วย นี่ก็เพิ่งตีห้ากว่า ๆ คนขายเขายังไม่ตื่นเลย! แต่แล้วฉู่เหินที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เริ่มตะโกนเข้าไปในร้าน
“ตื่นได้แล้ว ลูกค้ามาซื้อของ!” เขาตะโกนอยู่อย่างนั้นถึง 3 ครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะได้ยินไหม แต่หมาที่อยู่ในหมู่บ้านได้ยินกันหมด ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นหมาป่าตัวใหญ่วิ่งออกมาจากในบ้าน ฉู่เหินเห็นท่าไม่ดีจึงบอกให้คนขับรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถ