บทที่ 70 ความซวยแบบต่อเนื่อง ตอนจบ
ฉู่เหินยังพูดไม่ออก เขาได้แต่เดินโซซัดโซเซมาหาชายวัยกลางคน ถึงตอนนี้ เด็กที่ขับเครื่องร่อนยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนเครื่องร่อนของเขาจะร่วงลงพื้นอย่างแรงเลยทีเดียว
“ไอ้หนู เครื่องร่อนหนูมันหล่นใส่รถฉันเสียหาย นายจะว่ายังไง มันเกือบหล่นใส่หัวฉัน ฉันเกือบตายเลยนะ ถ้าไม่มีคำอธิบายดี ๆ แกตายแน่”
ฉู่เหินยืนมองเว่ยตงจื่อตะคอกใส่เด็กหนุ่มคนนั้น เขาเองก็มองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัยเช่นกัน เขาก็อยากรู้ว่าทำไมเครื่องร่อนที่ดูปกติดีถึงหล่นลงมาจากฟ้าได้
“อย่าเพิ่งบ่น ขอผมดูหน่อย มันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง เครื่องร่อนผมก็บินอยู่ดี ๆ ทำไมมันถึงหล่นลงมาได้” คนบังคับเครื่องร่อนยังคิดหาคำตอบ
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง รถฉันแบนแต๊ดแต๋ ฉันเกือบโดนทับตาย ไม่ขอโทษสักคำ ฉันว่าแกจะรังแกจะแกล้งคนก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ” เว่ยตงจื่อโกรธมาก เขาคนนี้เป็นใครกัน คนเรากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน อย่างน้อยก็ห่วงผู้เสียหายบ้างสิ!
“อย่าเพิ่งบ่น ขอผมดูหน่อย มันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง เครื่องร่อนผมก็บินอยู่ดีๆ ทำไมมันถึงหล่นลงมาได้” เมื่อเด็กหนุ่มยังพูดเหมือนเดิม เขาสองคนก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก และเริ่มสงสัยว่าเจ้าเด็กคนนี้มีปัญหาทางจิตหรือเปล่า?
เวลาผ่านไปนานพอดี แล้วจู่ ๆ หมอนี่ก็เหมือนจะเริ่มนึกขึ้นได้ เขารีบวิ่งมาถามฉู่เหิน ถ้าเขาเดินมาหาตั้งแต่แรก พวกเขาสองคนก็คงไม่ว่าอะไร อาจจะแค่ต่อว่าต่อขานเรื่องบังคับเครื่องร่อนไม่ได้เรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว หลังจากที่เด็กหนุ่มหันไปถามพวกเขา ฉู่เหินกับเว่ยตงจื่อดีใจจนน้ำตาแทบไหล
“ในที่สุดก็นึกถึงพวกเรานะ นายนี่ความรู้สึกช้าจังนะ วันนี้ทานยามารึยัง ถ้ายังก็รีบไปทานซะ”
เมื่อได้ยินชายทั้งสองกล่าวเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ได้แต่เกาหัว
“ฮ่าฮ่า ขอโทษทีครับ เอาจริง ๆ นะครับ วันนี้ผมรีบออกมาแต่เช้า เลยยังไม่ได้ทานยา พี่มียาไหมล่ะ ผมขอแบ่งหน่อยสิ ตอนนี้ผมปวดหัวมากเลย”
เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าว ฉู่เหินและเว่ยตงจื่อถึงกับลงไปนั่งบนพื้น พวกเขาเริ่มงงเสียเองแล้ว ไอ้หมอนี่มันหลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้าหรือยังไงเนี่ย
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งคู่ เด็กหนุ่มผจึงตัดสินใจอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาเข้าใจ โดยเด็กหนุ่มได้เล่าว่า ตอนที่เขาตื่นมาตอนเช้า เขาพบว่าตัวเองเป็นหวัด แต่มันถึงเวลาที่นัดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบออกจากบ้านโดยลืมทายาแก้หวัด
ตอนนี้ฉู่เหินกับเพื่อนก็เข้าใจแล้วว่าชายคนนี้เป็นหวัด แต่ทั้งคู่ไม่นึกเลยว่าคนจะมีมามุงดูกันมากมายขนาดนี้ เรื่องทั้งหมดต้นเหตุมาจากเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะฉะนั้นเขาต้องจ่ายเงินค่ารถคันใหม่ให้เว่ยตงจื่อ และมอบค่าทำขวัญให้อีก 300,000 หยวน
ด้วยความสงสาร เว่ยตงจื่อจึงรับแค่เพียงเงินค่ารถ เขาไม่ต้องการเงินค่าทำขวัญอีก 300,000 หยวน ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่ได้เสียอะไรไปมาก ถึงรถจะพัง แต่เขาได้เงินค่าเสียหายกลับมา
พอเรื่องราวทั้งหมดจบลง ทั้งคู่ก็เรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางไปโรงหนัง เพื่อนร่วมทางของฉู่เหินตั้งท่าจะไปเปิดประตู แต่ฉู่เหิน เขากลับตั้งใจว่าจะไม่ไปด้วย เพราะเขาคิดว่าความซวยทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวเขา
ถ้าเขาจากไป เว่ยตงจื่อก็อาจจะไม่โชคร้ายขนาดนี้ แต่เว่ยตงจื่อกลับไม่ยอม เขาดันตัวฉู่เหินให้เข้าไปนั่งบนแท็กซี่ ยิ่งเขาได้รู้จักฉู่เหิน เขาก็ยิ่งคิดว่าฉู่เหินเป็นมิตรที่ดีแท้
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงหนัง ด้วยความที่ช่วงเวลารอโรงเปิดมักยาวนานและน่าเบื่อเสมอ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงหาเรื่องคุยฆ่าเวลากัน เพราะเวลามีเรื่องให้คุยกัน การรอคอยก็ดูไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาม จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูโรงหนังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นดังนั้นฉู่เหินกับเว่ยตงจื่อก็ถึงกับมองหน้ากันด้วยความสงสัย หรือว่าวันนี้มีหนังสยองขวัญใหม่เข้าโรงงั้นเหรอ?
แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์สองกลุ่มวิ่งออกมาร่วม 30 คนเห็นจะได้ พวกเขายังไม่แก่ อายุน่าจะราว ๆ 20 กว่า แต่พวกเขาไม่ได้มาดูหนัง เพราะในมือของคนพวกนี้มีมีดเล็ก ๆ ถืออยู่ด้วย นี่มันคนไล่แทงกัน!
ไม่กี่วินาทีต่อมากลุ่มอันธพาลพวกนี้ก็เริ่มเลือดไหลไปทั่ว เมื่อเห็นแบบนั้น ด้วยความที่ไม่อยากโดนหางเลขไปด้วย พวกเขาทั้งคู่จึงรีบถอยออกมา สำหรับวันนี้พวกเขาคิดว่าพวกเขาเจอความซวยมามากพอแล้ว
ขณะที่ทั้งสองแก๊งกำลังมะรุมมะตุ้มตีกันอยู่ เสียงหวอรถตำรวจก็ดังขึ้นทำให้วัยรุ่น 30 กว่าคนรีบวิ่งหนีไป โรงหนังกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง เหลือแต่เพียงกองเลือดบนพื้นที่ฉู่เหินกับเว่ยตงจื่อยืนกำลังยืนอยู่รอบ ๆ
“พวกคุณต้องมากับเรา เราสงสัยว่าคุณสองคนจะเป็นผู้ชักนำอยู่เบื้องหลัง!” ฉู่เหินได้แต่มึนงง พวกเขาแค่ยืนเฉย ๆ เท่านั้นเอง ทำไมถึงกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องนี้ไปได้ นี่มันบ้าบอ!
พวกเขาพยายามอธิบายแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายทั้งสองจึงต้องยอมตามตำรวจกลับไปที่โรงพัก
เมื่อถึงสถานีตำรวจ พวกเขาถูกสอบปากคำหลายครั้ง พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงไม่มีอะไรต้องหวั่นใจ แต่เมื่อสอบปากคำเสร็จสิ้น พวกเขาไม่ได้รับการปล่อยตัวทันที ทั้งสองคนกลับถูกส่งไปนั่งในห้องเล็ก ๆ ตอนแรกพวกเขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร หากแต่กลับคิดว่ามันสบายดีด้วยซ้ำเพราะห้องนี้มีแอร์ ทุกอย่างยังปกติดี จะมีก็แต่เรื่องความหิวนี่แหละ
แต่แล้วจู่ ๆ ไฟก็ดับ ด้วยความที่มันเป็นห้องเล็ก ๆ ไม่มีหน้าต่าง แถมเป็นวันที่อากาศร้อนอีกด้วย ไม่นานพวกเขาก็เริ่มเหงื่อออก หิวและกระหายน้ำ ทั้งหมดนี้มันทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนคนเข้าขั้นโคม่ายังไงยังงั้น
หลังเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ตำรวจนายหนึ่งเปิดประตูเข้ามาทำความเคารพเขาด้วยความอับอาย ก่อนจะบอกว่าพวกเขาสามารถกลับไปได้แล้ว ก่อนไปนายตำรวจคนนั้นได้กล่าวขอโทษออกมาอีกครั้งสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น
พวกเขากำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบอะไรแล้ว ทั้งสองเดินโซเซออกจากสถานีตำรวจพร้อมส่ายหน้า พวกเขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่โชคร้ายเหลือเกิน
เว่ยตงจื่ออยากโทรหาเพื่อนอีกครั้ง แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ของเขาแบตหมด และเขาก็จำเบอร์เพื่อนตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถไปบ้านของเพื่อนได้
เดินออกมาไม่ไกล พวกเขาก็เจอเข้ากับร้านขายซาลาเปาริมทาง ทั้งสองหิวมากจึงรีบซื้อซาลาเปาราคา 20 หยวนมาทาน ทันทีที่กินเข้าไปทั้งสองคนก็รู้ได้ในทันทีว่าไส้ซาลาเปาร้านนี้ไม่เหมือนร้านอื่น.. มันอร่อยมาก!
แต่เมื่อทานเสร็จ พวกเขาก็รู้สึกว่าท้องเริ่มโครกคราก ทั้งสองรีบวิ่งหาห้องน้ำเป็นการด่วน โชคดีที่มีห้องน้ำสาธารณะอยู่ใกล้ ๆ แต่งานนี้ทั้งสองต้องทรมานมากแน่ ๆ
พวกเขาวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำอยู่หลายครั้งจนหมดไส้หมดพุง ตอนนี้ทั้งคู่รู้แล้วว่าต้องเป็นเพราะซาลาเปาที่ขายริมทางไม่สะอาดแน่ ๆ จึงวิ่งกลับไปที่ร้านเพื่อต่อว่าเจ้าของร้านซาลาเปาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต