บทที่ 78 เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี
ฉู่เหินได้แต่ยืนจ้อง ขณะที่หญิงโฉมงามหรือเม่ยซานเหนียงกำลังเดินเข้ามาหา ตอนแรกฉู่เหินรู้สึกเขินอายเพราะเขาเองยังไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ แต่ไม่นานเขาก็คิดได้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่เกรงใจกันแบบนี้ เขาเองก็ไม่ต้องไว้หน้าแล้ว!
เม่ยซานเหนียงเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นทุกที ถึงแม้จอมยุทธสำนักอื่นจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าห้ามเธอ
หญิงงามเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นฉู่เหินได้แต่ยืนจ้องเธอไม่ต่างจากคนโง่ เธอยังร่ายมนตร์ต่อขณะเดินไปข้างหน้า ซึ่งนั่นก็มันทำให้จอมยุทธจากสำนักอื่นที่ได้เห็นต้องกัดฟันกรอด แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
เม่ยซานเหนียงคนนี้ไม่ได้มาเพียงลำพัง เธอมีนักเลงฝีมือร้ายกาจคอยหนุนหลัง พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่ต้องมนตร์ของเธอ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังคุกเข่าคารวะเธอทีละคน
ถ้าเธอสั่งให้พวกเขาไปตาย พวกเขาก็คงทำตามอย่างไม่ลังเล นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึงความร้ายกาจของอำนาจที่เธอมี เมื่อเธออยู่ห่างจากฉู่เหินไม่ถึงเมตร เม่ยซานเหนียงก็ยื่นมือออกไปเพื่อจับคางของฉู่เหิน
ทั้งเหล่าจอมยุทธ์ชายและเสี่ยวฟู๋ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะขณะที่มือของเม่ยซานเหนียงกำลังจะสัมผัสคางของฉู่เหิน ชายหนุ่มได้ก็ถีบเม่ยซานเหนียงคนนี้กระเด็นไปไกล
“คราวหน้าใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดกว่านี้ ฉันเห็นแล้วอยากจะอ้วก”
ฉู่เหินกล่าวด้วยความหยามเหยียด อันที่จริงเขาแค่เผลอทำออกไปโดยไม่รู้ตัว ที่ทำไปแบบนั้นก็เพราะว่าสัญชาตญาณ กำลังเตือนถึงอันตรายที่จะมาถึงตัว
เวทมนตร์ของเม่ยซานเหนียงขาดสะบั้นลงตอนเธอถูกทำร้าย ชายที่ต้องมนตร์สะกดของเธอถึงกับกระอักเลือด และรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดตัว
สติของพวกเขากลับคืนมาอย่างรวดเร็วเมื่อเวทย์มนตร์สลายไป สายตาของเม่ยซานเหนียงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เธอคือคนชุบเลี้ยงคนเหล่านี้มา ถึงตอนนั้นพวกเขาจะอยู่ภายใต้มนตร์สะกด แต่พวกเขาก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขายังจำอดีตอันน่าอับอายได้และหันไปมองเม่ยซานเหนียงด้วยสายตาอันเคียดแค้นทีละคน ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งเข้าหาเธอ
เม่ยซานเหนียงที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากวิชาตีกลับ เธอจึงนำเม็ดยาออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนปาลงบนพื้นจนก่อให้เกิดเป็นควันพวยพุ่ง ซึ่งเมื่อควันจาง แม่นางรูปงามก็ได้หายไปแล้ว
ขณะที่ทุกคนยังสับสนอยู่นั้น เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นก็ดังขึ้นจากระยะไกล
“เจ้าหนุ่ม แกทำร้ายฉัน แกทำลายเวทมนตร์ของฉัน ฝากไว้ก่อนเถอะ ถ้าฉันเจอแกคราวหน้า ฉันมาเอาชีวิตหมา ๆ แกแน่” แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป
“ครั้งนี้ฉันก็ไว้ชีวิตแกเหมือนกัน ถ้าฉันเจอแกอีก แกไม่มีทางรอด” ฉู่เหินตะโกนออกสุดเสียงด้วยพลังภายใน เสียงของเขาจึงดังกึกก้องไปหลายไมล์
เสียงขู่ของจอมยุทธผู้ไร้เทียมทานทำให้ทุกคนตื่นตัว และเริ่มตระหนักรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ชายหนุ่มคนนั้นได้บรรลุขั้นวิชาระดับปรมาจารย์อย่างไม่คาดคิด
และถึงพวกเขาจะมีมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาจะต่อกรกับคนระดับปรมาจารย์ได้อย่างไร ถึงหลายคนจะบอกว่าแค่คำเรียกต่างกันเท่า หากแต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่คำเรียก เส้นแบ่งความสามารถระหว่างปรมาจารย์กับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปนั้นแตกต่างกันมาก ปรมาจารย์คนหนึ่งสามารถสู้กับผู้มีวิชาได้เป็นร้อยเป็นพัน เพราะงั้นเมื่อพวกเขาเห็นรู้เช่นนี้ จึงตกใจมาก
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกว่ามีแค้นต้องชำระ พวกเขาได้แต่มองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ‘จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้วเลยกล้าที่จะเอาคืนว่างั้น?’
แน่นอนว่าฉู่เหินไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร ถ้ารู้ เขาคงตะโกนออกไปว่า ‘เออ ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้ก็คงหลบซ่อนไปตลอดชีวิตนั่นแหละ ไม่ออกมาทำธุรกิจหรอกเว้ย’
“ท่านผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้มีเมตตาย่อมไม่ถือสาเหล่าคนต่ำต้อยเยี่ยงพวกเรา” ชายแก่ที่มีผมหงอกเต็มหัวกล่าวอย่างสุภาพกับฉู่เหิน
ฉู่เหินรู้สึกอึดอัดใจที่ชายชราเรียกเขาว่าผู้อาวุโส ถึงแม้จะมีเรื่องของระดับชั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ด้วยอายุที่แก่เกินไปของคนตรงหน้า นั่นก็ทำให้เขาฟังแล้วรู้สึกอึดอัด
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ยอมศิโรราบให้เขาแล้ว ฉู่เหินก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด อีกอย่าง เมื่อถึงช่วงวิกฤต พวกเขาก็ไม่คิดจะปลิดชีวิตตัวเองจริง ๆ ดังนั้นแทนที่จะทำร้ายพวกเขา ฉู่เหินคิดว่าควรจะปล่อยพวกเขาไปดีกว่า
“อย่าเรียกว่าผู้อาวุโสเลย ฉันยังเด็กไม่คู่ควรกับคำว่าอาวุโสหรอก ยังไงก็เรียกให้ว่าฉู่เหินเถอะ ในเมื่อทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว แสดงว่าดวงชะตาเราต้องกัน เพราะงั้นอะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป” คำพูดอันแผ่วเบาของฉู่เหินทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ พวกเขาต้องตายแน่ๆ ถ้าฉู่เหินไม่ไว้ชีวิตพวกเขา
ฉู่เหินช่วยสลายเวทมนตร์ของซานเหนียงให้คนนับสิบ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาบางคนก็เป็นยอดฝีมือที่มีฝีมือชั้นครู หรือบางคนก็ฝึกวิทยายุทธจากสำนักเก่าแก่ พวกเขาเหล่านั้นกลับต้านทานเวทมนตร์ซานเหนียงไม่ได้เลย ถ้าพวกเขาไม่มาเจอฉู่เหิน ชีวิตของพวกเขาต้องลำบากแน่ ๆ
“ได้โปรดรับการคารวะจากเราด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ชะตาชีวิตเราคงยังอยู่ในกำมือของนางแม่มด” คนนับสิบคารวะฉู่เหินด้วยความเคารพพร้อม ๆ กัน
“พวกท่านไม่ต้องทำแบบนี้หรอก การช่วยชีวิตพวกท่านไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผูกมิตรกันไว้เพื่อช่วยเหลือกันในภายภาคหน้าเถอะ” ฉู่เหินเดินไปประคองพวกเขาลุกทีละคน
นิสัยและบุคลิกของฉู่เหินยิ่งที่แสดงอยู่ในขณะนี้ยิ่งทำให้พวกเขาเลื่อมใส
“ทั้งเมตตาและทรงธรรม ช่างน่าเลื่อมใส” พวกเขากล่าวพร้อมมองหน้ากัน
“โลกแห่งการฝึกตนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความโลภคือเรื่องที่ดี หากแต่มันก็เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุขั้นนิพพานเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องรักษาสมดุลเอาไว้เพื่อพัฒนาฝีมือและเพื่ออนาคตดีที่ดีขึ้น” พวกเขารู้สึกตื้นตันใจเมื่อได้ยินฉู่เหินกล่าวเช่นนั้น
คำพูดของฉู่เหินนั่นกลั่นออกมาจากใจ นี่คือความหมายของคำว่าอาจารย์ตามที่เขาเข้าใจ และด้วยความที่เขากล่าวออกมาอย่างจริงใจ นี่จึงยิ่งทำให้ทุกคนยิ่งสำนึกบุญคุณของเขายิ่งขึ้นไปอีก
ฉู่เหินไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไรในการทำแบบนี้ ทุกอย่างกลั่นออกมาจากใจ และด้วยความที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลหรือสำนักวิทยายุทธเก่าแก่อะไร เพราะสำนักหรือตระกูลพวกนั้นเต็มไปด้วยกฎระเบียบและข้อจำกัดมากมาย แต่สำหรับฉู่เหินแล้วเขาไม่มีเรื่องที่ว่าเลยแม้แต่น้อย
“คุณฉู่ นับแต่บัดนี้ไปผมอยากติดตามรับใช้คุณ ไม่รู้ว่าคุณจะว่ายังไง” ชายวัยกลางที่ร่างกายไม่สูงนักดูอายุราว 40 กว่า ๆ กล่าวขึ้น พร้อมกับสบสายตาของฉู่เหินด้วยท่าทางแน่วแน่
เขาคือหนึ่งในคนนับสิบที่ฉู่เหินช่วยชีวิตไว้ ฉู่เหินไม่ให้พวกเขาเรียกว่าตนว่าผู้อาวุโส ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกฉู่เหินว่าคุณฉู่
เมื่อชายคนนี้พูดจบ ฉู่เหินก็รู้สึกตื้นตันใจ แต่ตอนนี้เขามีธุระหยุมหยิมมากมายให้สะสาง เขาไม่มีเวลามาเป็นผู้นำของใคร และที่สำคัญที่สุด ฉู่เหินไม่รู้นิสัยใจคอของชายคนนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาตามรับใช้ฉู่เหิน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหินเห็นหน้าอันน่ารำคาญของชายคนนี้ หน้าเขามีแววความชั่วร้ายอยู่ระหว่างคิ้ว การให้คนแบบนี้มาอยู่ใกล้ ๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ถ้าเขามีจิตใจดี ฉู่เหินก็อาจรับไว้พิจารณา