บทที่ 86 สกัด
หลังจากเห็นแบบนั้นฉู่เหินจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาเชื่อแล้วว่าเสือตัวนี้คงจะยังไม่กินเขา …อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ซึ่งถ้าเขาไม่ระวังตัวชายหนุ่มก็อาจจะโดนมันกินภายหลังได้ เพราะงั้นฉู่เหินจึงหาที่นั่งลงโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะใช้วิชารักษาตัวเองเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ถ้าเขามีแรงเต็มร้อนแล้วละก็ ต่อให้เจ้าเสือตัวนี้คิดจะโจมตี อย่างน้อยเขาก็สามารถป้องกันไว้ได้ แต่ความเต็มร้อยที่ว่าไม่ใช่คงใช่ไม่ได้กับพวกที่วิ่งตามหาตัวฉู่เหินอยู่แน่ เพราะต่อให้ฟิตเต็มร้อยขนาดไหน แต่ถ้าเจอคนมากขนาดนั้น ยังไงเขาก็คงโดนรุมจนตายได้อยู่ดี
ก่อนหน้าเขาพึ่งถูกโจมตีด้วยหญิงสาวคนนั้นจนเกือบตาย แถมยังโดนยิงเข้าให้อีก 2 นัดอีก ถึงเขาจะไม่ตาย แต่ตอนนี้แต่สภาพก็เรียกได้ว่าบาดเจ็บพอสมควร เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เขาจึงหยิบเนื้อเสือเขี้ยวดาบออกมาจากแหวนแล้วจุดไฟย่างมัน
กลิ่นหอมของมันทำให้เสือตัวนี้ตื่นอีกครั้ง มันจ้องไปยังฉู่เหินด้วยน้ำลายไหล เขาจึงแบ่งเนื้อครึ่งหนึ่งโยนให้กับมัน
ชายหนึ่งคนกับเสืออีกหนึ่งตัวนั่งกินเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกินเข้าฉู่เหินก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่กลับมาอีกครั้งทันที ทว่า อาการบาดเจ็บจากภายในมันก็ไม่ได้รักษาตัวเองเสร็จในทันที แต่เมื่อคิดดูแล้ว อย่างน้อยเขาในตอนนี้ก็คงพอประคองอาการเอาไว้ได้
ฉู่เหินต้องเริ่มหาทางออกของปัญหานี้ได้แล้ว ไม่งั้นเขาจะต้องติดอยู่ในถ้ำนี้ตลอดไปเป็นแน่ ซึ่งทางออกของปัญหาก็เห็นจะมีก็แต่การสร้างหุ่นเชิดจากศพมนุษย์เท่านั้น ถ้าเป็นวิธีอื่นคงมีแต่ตายกับตาย
ด้วยทางเลือกที่มีจำกัด ฉู่เหินจึงตัดสินใจทันทีเพื่อเป็นการต่อชีวิตให้กับตัวเอง ถึงแม้เขาจะยังไม่มั่นใจนัก แต่ถ้าเขาไม่ทำ เขาคงต้องตายแน่ ๆ เพราะงั้นตราบเท่าที่วิธีการนี้ทำให้เขารอดชีวิตไปได้ เขาก็จะลงมือทำโดนไม่ลังเล!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่เหินก็เอาศพของชายคนหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของในแหวน ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว เขาต้องใช้หม้อสามขาเพื่อทำหุ่นเชิด โดยการนำร่างนี้ไปวางไว้บนขาตั้งเพื่อทำการเผา
ฉู่เหินมองไปรอบ ๆ ในแหวน ก่อนที่เขาจะพบเข้ากับหมอสามขาสีทองในแหวนของเขา เพียงแต่มันขาขาดไปข้างหนึ่งแถมยังมีสนิมอีก ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ามันพังแล้ว
ดังนั้นเขาจึงหยิบวัตถุดิบอุกกาบาตระดับ 5 ออกมา ก่อนจะเอามันไปวางแทนขาข้างที่ขาดไปเพื่อทำให้ตั้งไม้ไผ่มั่นคง ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว
ก่อนที่ฉู่เหินจะนำศพดังกล่าวมาวางไว้ในหม้อสามขา จากนั้นก็ปล่อยไฟออกไปล้อมรอบ ๆ ขาตั้งนั่น อุณหภูมิเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนฉู่เหินเองก็รู้สึกได้ถึงมัน เขาคิดว่าด้วยอุณหภูมิขนาดนี้ ต่อให้เป็นหิน มันก็คงต้องละลายลงอย่างแน่นอน
แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจที่ร่างของชายที่เขาเตรียมไว้นั้นยังคงไม่ละลาย กลับกัน ผิวของมันกลับกลายเป็นสีทองเสียอย่างงั้น
ถ้าว่ากันตามวิธีการแล้ว เมื่อศพถูกเสริมพลังเข้าไปด้วยวัตถุดิบบางอย่าง มันจะถูกหล่อหลอมเข้าไปรวมกัน ซึ่งนั่นก็จะช่วยยกระดับความสามารถให้กับหุ่นเชิดได้ ซึ่งตอนนี้ฉู่เหินเหลือแค่วัตถุดิบระดับ 3 เท่านั้น
เขาใส่หินอุกกาบาตเข้าไปเพิ่ม ก่อนจะร่ายคาถาอะไรบางอย่างออกมา ยังไงเสียนี่ก็คือหุ่นเชิดตัวแรกของเขา ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะออกมาเป็นตัวอะไร ถ้ามันสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้ามันพลาด เขาก็จะสูญเสียทุกอย่างไป
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับมันแล้ว ฉู่เหินจึงใส่ทองเข้าไปเพิ่ม เจ้าวัตถุดิบชิ้นนี้คือส่วนผสมพิเศษที่จะช่วยเพิ่มผลในการหลอมรวมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดว่ามีของที่เย็นจัดกับร้อนจัดผสมเข้าด้วยกัน ซึ่งมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วในโลกของกฎฟิสิกส์ แต่ถ้าเกิดว่ามีวัตถุดิบพิเศษอยู่ในมือล่ะก็ นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ทองคำมากมายถูกยัดลงไปในตัวหุ่น ฉู่เหินเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะเริ่มสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวหุ่นเชิด
บางทีอาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิของขาตั้งที่มีมากเกินไปจนทำให้วัตถุดิบพิเศษที่โยนเข้าไปนั้นละลายกลายเป็นน้ำ เขาเริ่มรู้แล้วว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับวัตถุดิบระดับต่ำแน่ๆ
หลังจากที่เฝ้ามองไปเรื่อย ๆ พวกวัตถุดิบเหลวเหล่านั้นก็รวมเข้ากับศพร่างบนขาตั้ง มันผสมเข้ากับผิวหนัง เข้าไปเคลือบผิวสีทองจนมันกลายเป็นสีเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่ตรงข้ามกับทอง
ฉู่เหินเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ผิวของศพจะเปลี่ยนไป หากแต่รูปร่างของมันกลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่นัก สิ่งนี้เองทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าพลังป้องกันของมันต้องสูงมากแน่ๆ
ขั้นตอนการสร้างผ่านไปได้ครึ่งทางแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดสิ้น เจ้าหุ่นเชิดตัวนี้ไม่มีสติปัญญามากพอที่จะควบคุมตัวเองได้มากนัก เขาต้องใช้จิตวิญญาณของตัวเองใส่ลงไปในร่างภาชนะนี้เพื่อทำให้มันมีชีวิต
ทว่า วิธีการดังกล่าวมันก็ไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการถอดจิตวิญญาณมากนัก แต่เขาก็ยังพอทำได้อยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าขั้นตอนดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด โดยในระหว่างขั้นตอนการถอดจิตวิญญาณ เจ้าของร่างจะต้องไม่สลบหรือหมดสติไปเสียก่อน
ไม่เช่นนั้นแล้ว ร่างภาชนะจะสลายไป ซึ่งก็รวมไปถึงจิตวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของเองก็จะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย เขาคงไม่อยากให้ร่างกายตัวเองต้องกลายเป็นหุ่นเชิดให้ใครหรอก ดังนั้นฉู่เหินจึงพยายามลดความเสี่ยง และทำให้วิธีการนี้สำเร็จให้จงได้ ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่คิดจะทำหุ่นเชิดแบบนี้อีกแน่
ฉู่เหินรู้ดีว่าตัวเขาเองนั้นได้รับบาดเจ็บหนักมาก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ไม่งั้นแล้วชายหนุ่มอาจจะติดอยู่ในถ้ำแห่งนี้ไปตลอดชีวิตก็ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องยอมเสี่ยงไปกับมัน ถ้าเขารอดทุกอย่างก็โอเค แต่ถ้าพลาดเขาก็แค่ตาย
ว่าแล้วฉู่เหินก็ใช้วิชาลับสละส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดของการถอดจิตวิญญาณทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้น เขาเกือบจะหมดสติแล้วแต่ก็ยังพอฝืนไว้ได้
ทั่วทั้งจิตวิญญาณของเขาถูกฉีกทึ้งออกมาเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดมีแต่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โชคยังดีที่ฉู่เหินยังใจแข็งทนเอาไว้ได้ ไม่งั้นป่านี้เขาคงจะตายไปแล้ว
ฉู่เหินพยายามข่มตัวเองไม่ให้หัวของเขาไปชนกับกำแพงรอบข้าง ความรู้สึกมันโคตรเลวร้ายเลย ในตอนนั้นเอง เขาเริ่มที่จะอยากยอมแพ้เสียแล้ว ทว่าเมื่อเขาคิดถึงพวกผู้คนที่อยู่ด้านนอกถ้ำนั่น ฉู่เหินก็กลับมาฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง