บทที่ 89 หมู่บ้านฮวายซาน
ที่หมู่บ้านฮวายซานแห่งนี้มีประชากรราว ๆ 100 คนเท่านั้น เด็ก ๆ มากมายต้องไปโรงเรียนที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปถึง 100 ไมล์ ปัญหาใหญ่ก็คือถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านมันดันไม่สามารถใช้รถได้นี่สิ นี่จึงเป็นอุปสรรคในการเดินทางของหมู่บ้านแห่งนี้
โชคยังดีที่หญิงสาวคนหนึ่งมาจากมณฑลข้าง ๆ ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าหมู่บ้านนี้และตั้งใจที่จะสอนเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ถึงเธอจะเรียกร้องเงินเดือน แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะจ่ายให้กับเธอ
โรงเรียนประถมฮวายซาน มีเธอเป็นผอ.และอาจารย์คนเดียวกัน นอกจากนั้นแล้ว เธอเองยังต้องทำทุกอย่างตั้งแต่การสอนไปจนถึงการทำความสะอาดโรงเรียนเองด้วย ช่วงเวลาว่าง ๆ เธอมันไปปลูกต้นไม้ที่หลังโรงเรียนเพื่อเป็นอาหารอีกด้วย
ถึงคนในหมู่บ้านจะมอบของให้เธอมากมาย แต่เธอก็จะพึ่งพาพวกเขาตลอดไปไม่ได้ และด้วยความที่เธอเป็นคนสวยทั้งยังขยันขันแข็งแบบนี้ นั่นจึงทำให้ผู้คนในหมู่บ้านค่อนข้างปลาบปลื้มเธอไม่น้อย
เฉินเจียน คือชื่อของเธอ แต่ทุกคนในหมู่บ้านชอบเรียกเธอว่า ครูเฉิน เพราะว่าความใจดีของเธอเสียมากว่า
พี่ใหญ่เจียงในหมู่บ้านมีลูกอยู่สองคน พวกเขาหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการล่าสัตว์ ถึงพวกเขาจะไม่ได้รวยแต่ก็มีวัยเด็กที่ดีเลยทีเดียว เด็กทั้งสองมีชื่อว่า เจียงฉงยิง และ เจียงฉงเซี๋ย คนบนเขาไม่ค่อยซีเรียสกับการตั้งชื่อเท่าไหร่ พวกเขาตั้งตามที่เห็น
ในช่วง 2 ปีก่อน พี่ใหญ่เจียงคนนี้ออกไปล่าสัตว์ แต่เสียหลักตกเหวจนร่างกายแหลกสลายไปหมดจนหาไม่พบเลย ไม่นานภรรยาของเขาเองก็เสียตามไปเพราะคิดถึงจนขาดใจตาย เด็กทั้งสองที่ยังอยู่จึงกำพร้าและไร้ที่พึ่งพิง แม้คนในหมู่บ้านจะช่วยเหลือ แต่เด็กทั้งสองก็อยู่อย่างลำบาก
หลังจากที่เฉินเจียนมาที่หมู่บ้าน และได้รู้เรื่องราวของเด็กสองคนนี้ เธอก็รับสองคนนี้มาเลี้ยงอย่างไม่ลังเล ผู้หญิงคนเดียวเลี้ยงเด็กสองคน พวกเขาใช้ชีวิตกันลำบาก ถ้าหากเทียบกับโลกภายนอก ลำพังเงินเดือนครูสอนเด็กประถมย่อมไม่สามารถเลี้ยงเด็กสองคนได้อยู่แล้ว
แต่ในภูเขานี้ ต่อให้เธออยากจะซื้อข้าวหรือบะหมี่ซักชามก็คงจะไม่มีขายให้แน่ ๆ ดังนั้นที่นี่เงินจึงไม่สำคัญหรอก อาหารสิสำคัญกว่า
วันหนึ่ง เฉินเจียนกลับมาที่บ้านด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่เธอใช้ชีวิตในหมู่บ้านมากว่า 3 ปี ชาวบ้านจึงสร้างบ้านให้กับเธอ มันเป็นบ้านที่ซอมซ่อมากเลยทีเดียว
ลึกลงไปในหยุนหลิง ที่นี่มีเพียงแค่ฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น แม้แต่ฤดูหนาวเองก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ ดังนั้นทุกคนจึงอยู่กันในบ้านไม้ได้อย่างสบายใจ
บ้านของเฉินเจียนนั้นมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เธอและเด็กสองคนอยู่ด้วยกันในนี้ ทุกครั้งที่เธอสอนเสร็จก็จะรีบกลับมาที่บ้านเพื่อทำอาหารให้กับเด็กทั้งสองคนนี้
และในระหว่างที่เธอกำลังจะก่อกำแพงขึ้นนอกบ้าน จู่ ๆ เธอก็พบว่ามีชายคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ข้างบ้านของเธอ หญิงสาวตื่นตระหนกก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปแตะที่ตัวเขาแล้วพบว่าชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อรู้ดังนั้นเฉินเจียนจึงลากชายคนนี้กลับเข้าไปในบ้านทันที
หญิงสาวไม่เคยพบชายที่มีร่างกายใหญ่แบบนี้มาก่อน แต่สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้ถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น
“น้าเจียน หมอนี่ใครเหรอครับ?” ฉงยิงและฉงเซี๋ยเอ่ยถามหลังจากที่เห็นเธอกลับมาบ้าน
แม้ว่าเธอจะรับทั้งสองคนนี้มาได้ 3 ปีแล้ว แต่เด็กทั้งคู่นี้ก็ยังเรียกเธอว่า น้า อยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเด็กทั้งสองยังไม่เชื่อใจเธอและเรียกว่าแม่หรอก หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเขากลัวจะเป็นภาระให้กับเฉินเจียนต่างหาก ลูกคนจนมักฉลาดและความคิดโต พูดถูกจริง ๆ
ตาลุงในหมู่บ้านคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า เฉินเจียนนั้นกำลังคิดจะแต่งงานกับใครบางคนในหมู่บ้านอยู่ ดังนั้นเด็กทั้งสองคนจึงคิดว่าไม่อยากจะไปเป็นภาระขัดขวางน้าเจียนไปมากกว่านี้
“ฉงยิง ฉงเซี๋ย ไปเล่นข้างนอกก่อน เดี๋ยวน้าจะทำกับข้าวไว้ให้” แม้ว่าเธอจะกำลังเหนื่อยล้า แต่หญิงสาวก็ยิ้มออกมาได้
ฉู่เหินที่ถูกแบกกลับมาที่ห้อง ตอนนี้เขานอนสลบอยู่บนเตียง หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฉินเจียนก็โล่งอกไปได้เปราะหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มประเมินสภาพร่างกายของชายคนนี้
เขาคือชายหนุ่มอายุ 20 ที่มีร่างกายแข็งแรง ใบหน้าก็หล่อเหลา ดูขี้เล่น ผมสั้นสีดำเข้ากับร่างกายที่สูงยาว
หลังจากจ้องใบหน้าเขาไปสักพัก หญิงสาวก็เริ่มเหม่อลอย ชายคนนี้ปรากฏตัวในความฝันของเธอบ่อยครั้ง อย่างน้อยเธอก็ไม่รู้สึกแปลกกับการเห็นใบหน้าของเขา
รักแรกพบนั้นไม่ใช่เรื่องประหลาด หากแต่เป็นสัญญาณที่ดี จากนั้นไม่นานเฉินเจียนก็ลุกขึ้นรีบไปทำอาหารเย็นให้กับเด็กทั้งสอง
หญิงสาวทำข้าวต้มเพิ่มอีกหม้อหนึ่ง เพราะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้หมดสติถึงขั้นที่ไม่น่าจะทานยาก ๆ ได้ ดังนั้นเธอจึงทำอาหารที่ย่อยง่าย ๆ มาให้
หากจะพาเขาไปหาหมอในเมืองมันก็กระไรอยู่ ที่นี่คือหมู่บ้านฮวายซาน ถ้าคุณป่วยหนักมากมันก็มีอยู่สองทางเลือก ทางแรกก็คือขึ้นเข้าไปหาสมุนไพร ทางที่สองก็คือรอคอยโชคชะตา ไม่มีทางที่ชาวบ้านในนี้จะไปพบหมอในเมืองได้ เพราะหนทางมันยากลำบากจริง ๆ
ทางเดินบนภูเขากว่า 100 ไมล์ แถมเมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ราคาค่ารักษามันก็แพงเกินไปจนคนในหมู่บ้านไม่สามารถจ่ายได้ ถึงสายตาของคนนอกจะมองว่าพวกเขาเป็นคนจน แต่ชาวฮวายซานเองก็ภูมิใจกับสิ่งที่พวกเขาเป็น
ที่นี่ไม่มีการต่อสู้หรือความไม่พอใจกัน ทุก ๆ วันตะวันขึ้นตะวันตกไปตามปกติ
ฉู่เหินค่อย ๆ ถูกยกตัวขึ้น ช้อนที่เต็มไปด้วยข้าวต้มค่อย ๆ ป้อนเข้าไปในปากของเขา หญิงสาวป้อนเขาอย่างนุ่มนวลเพราะกลัวว่าชายคนนี้จะเป็นอะไรไป
เฉินเจียนดูแลเขาเป็นอย่างดีจน แต่ถึงอย่างนั้นฉู่เหินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอาการดีขึ้นเลย เรื่องนี้ทำให้เฉินเจียนเริ่มเป็นกังวล ผ่านไป 3 วันนับจากวันนั้นในที่สุดชายหนุ่มก็ได้สติ
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ทุกอย่างมันเหมือนกับความฝันที่เลือนราง แม้กระทั่งในตอนนี้เขาก็บอกไม่ได้ว่าเธอคนนี้คือใครและที่นี่คือที่ไหน ชายหนุ่มเพียงแค่ตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง
“พี่ชายตื่นแล้วเหรอ เยี่ยมไปเลย” ทันทีที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของเด็กสองคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
“เด็กน้อย พอจะรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน? พ่อแม่ของพวกนายช่วยฉันไว้เหรอ?” ถึงเขาจะลืมไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงถามเด็กทั้งสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เด็กสองคนนี้มีอายุประมาณ 5 หรือ 6 ขวบ หน้าตาน่ารักพอใช้ได้
“พ่อแม่ของพวกหนูล่ะ?”
หลังจากได้ยินแบบนั้น เด็กทั้งสองก็ตะลึงจนพูดไม่ออก เด็กยังไงก็คือเด็ก หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่เหินก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเข้าใจสถานการณ์ครอบครัวของเด็กสองคนนี้ พวกเขาสองคนน่าสงสารมากจริง ๆ