บทที่ 93 สาหร่ายหมดแล้ว
หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่เหิน หัวใจของเสี่ยวชิงก็พองโต เธอรู้แล้วว่าตัวเองสำคัญกับเขามากแค่ไหน ไม่อย่างนั้น การปรากฏตัวของตัวเธอเองคงทำให้เขาความทรงจำกลับคืนมาหมดไม่ได้หรอก
“พี่จางมาได้ยังไงเนี่ย? ภูเขานี่มันก็ทรหดมากเลยนะ มาพักในบ้านก่อนมา!” ก่อนจะหันไปบอกกับซูวี่เหมย “พี่สะใภ้ ทำไมไม่อยู่ที่โรงพยาบาลดูแลพี่ล่ะ! ไม่ต้องห่วงน่า ผมไม่เป็นไร มา เข้ามาพักในบ้านก่อน!”
จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเหล่าตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายว่า “ขอบพระคุณสำหรับความเป็นห่วงจากทุกท่านจริง ๆ ข้าน้อยฉู่เหินซึ้งใจอย่างมาก ภายหน้าหากมีเรื่องให้ช่วยบอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ! เชิญทุกท่านมาพักในบ้านก่อนเถอะ”
เมื่อฉู่เหินหันไปสบตากับเฉินเจียน เขาก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าของเธอ เขารู้ดีว่าหญิงสาวมีใจให้กับเขา ทว่ามันก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะในหัวใจของเขามีเพียงแค่เสี่ยวชิงเท่านั้น
“พี่เจียน มาเถอะ! พาเด็ก ๆ มาด้วยนะ จากนี้ไปพี่ก็คือพี่สาวของผมแล้ว” ยิ่งได้ยินแบบนี้เฉินเจียนก็ยิ่งเศร้าหมองหนักขึ้น เธอต้องการน้องชายซะที่ไหนล่ะ? เธอต้องการชายที่จะรักเธอได้จริง ๆ ต่างหาก!
“ฉันจะอยู่ที่นี่ ที่นี่ต้องการฉัน” เฉินเจียนใช้ข้ออ้างนี้พูดออกไป
“ผมสามารถทำให้ทุกคนในหมู่บ้านนี้ย้ายออกไปได้ทั้งหมดนะ ให้พวกเขามีงานที่ดีกว่านี้ได้ แถมจะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย” ฉู่เหินพูดเพิ่มเติม
“นายไม่เข้าใจหรอก ชาวบ้านที่นี่ไม่คิดจะออกจากหมู่บ้าน ที่นี่มันไม่ใช่ที่อยู่อาศัย หากแต่มันเป็นบ้านเกิด และโลกทั้งใบของพวกเขา” เฉินเจียนยิ้มออกมาอย่างงดงามด้วยสีหน้าโศกเศร้าเช่นเดิม
“ไอ้หนุ่ม ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตระกูลซ่างกวงของเราจะรับผิดชอบแน่นอน ถ้าหากมีข้อร้องขออะไรก็บอกมาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่พวกเราทำได้ พวกเราจะทำให้อย่างสุดกำลัง!” ซ่างกวงชิงเฟิงพูดขึ้น
“ถ้าหากคุณมีน้ำใจมากมายขนาดนี้ งั้นขอให้ช่วยซ่อมแซมถนนให้ที่นี่แล้วกันครับ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายผมจะคิดหาวิธีเอง” ฉู่เหินรู้ว่าอีกไม่นานเขาต้องจากที่นี่ไป อย่างน้อยถ้าเขาทำประโยชน์ให้กับหมู่บ้านฮวายซานนี้ไว้บ้างก็ดี
เพราะว่าการขนส่งที่นี่มันค่อนข้างยากลำบากสุด ๆ ดังนั้นการปรับปรุงถนนคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อการเดินทางดีขึ้นทุกอย่างก็จะดีขึ้น หมู่บ้านนี้ก็จะมีอนาคตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ตระกูลซ่างกวงจะซ่อมแซมถนนต้องให้ใครมาออกเงินให้งั้นเหรอ? ในเมื่อมีข้อร้องขอแค่ซ่อมแซมถนน เชื่อมือฉันได้เลย ฉันจะทำมันเอง” ซ่างกวงชิงเฟิงพูดขึ้น
“ที่นี่มีบุญคุณกับผมนัก ผมไม่สามารถยืนมองพวกเขายากจนเช่นนี้ต่อไปได้ ผมรู้ว่าทุกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นผู้มีอำนาจและเงินทอง หากพวกท่านมีใจช่วยที่นี่ เชื่อเถอะว่าการลงทุนของพวกท่านจะไม่เสียเปล่า” ฉู่เหินพูดและมองไปยังตระกูลผู้ฝึกยุทธ์โบราณอีกครั้ง
เฉินเจียนมองแผ่นหลังที่จากไปของฉู่เหินด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา การจากลาเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเธอเท่านั้น หากแต่สำหรับฉู่เหินเอง เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ตัวเขาเสียเวลากับที่นี่มานานมากแล้ว มันถึงเวลาที่ชายหนุ่มต้องกลับไปเสียที นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายรอเขาไปทำอยู่!
ข่าวการกลับมาของฉู่เหินแพร่ไปถึงโรงพยาบาล หวงเจี้ยนหมิงที่เฝ้ารอมาเป็นเดือน ในที่สุดเขาก็วางใจได้แล้วนอนหลับไป หมอเองก็บอกว่าเขาฟื้นตัวได้ดีทีเดียว ไม่นานนักเดี๋ยวเขาก็กลับบ้านได้ แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากกลับบ้านแล้วก็ยังต้องรักษาต่อไป ยังไม่อาจแน่ใจว่าเขาจะยืนขึ้นได้อีกครั้งเมื่อไหร่
หวงลี่ลี่ที่ได้ข่าวฉู่เหินกลับมาแล้วก็ตะโกนว่า “ฉู่เหินจงเจริญ” สามครั้ง หญิงสาวดีใจสุดขีดก่อนที่จะกลับไปตั้งใจเรียนต่อ
ตระกูลหลิวเองก็ตื่นเต้นที่ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน โดยเฉพาะหลิวจ้านซานถึงกับเชือดหมูด้วยตัวเองเพื่อฉลองการกลับมาของชายหนุ่ม และเรียกให้เขามาร่วมงานฉลองแห่งนี้
ฉู่เหินเอง เขาก็ถึงกับยิ้มมุมปากทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ตัวเขานั้นรู้สึกดีที่ครอบครัวของเขาและความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นนั้นยังคงแน่นแฟ้นอยู่ ถึงจะโหดร้ายต่อเฉินเจียนไปบ้าง แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หลังจากที่ได้พูดคุยพร้อมสังสรรค์ไปแล้ว ฉู่เหินก็ส่งเสี่ยวชิงไปเรียน ยังไงเสียแฟนสาวของเขาก็ยังเรียนไม่จบ จะให้โดดเรียนแบบนี้ได้อย่างไร พอส่งเธอเสร็จ ฉู่เหินก็ไปส่งพี่สะใภ้ที่โรงพยาบาล ก่อนจะแวะไปพูดคุยกับผู้เฒ่าจางแล้วก็กลับบ้านไป
ตอนนี้บ้านที่กำลังสร้างของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพียงแต่รอบ ๆ มีพวกวัสดุก่อสร้างกองเอาไว้มากมายเกินเกินไป ตอนนี้จึงดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่ แต่ในเมื่อฉู่เหินเคยเห็นแบบบ้าน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าถ้ามันสร้างเสร็จ จะต้องเป็นอะไรที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากเลยทีเดียว
ฉู่เหินที่เพิ่งจะกลับมาบ้านได้ไม่นานนัก เขานั่งบนเตียงยังไม่ทันอุ่นก็ถูกเสี่ยวเฟิงลากไปที่บ้านของเธอ พ่อตาของฉู่เหิน หลิวจ้านซาน เมื่อเขาได้ยินว่าฉู่เหินกลับมาแล้ว ก็รีบให้เขามาที่บ้าน หลายวันมานี้พวกเขาเป็นห่วงฉู่เหินมากทีเดียว
หลังจากมาถึงก็เลี่ยงจากการถูกซักถามไม่ได้ ซึ่งฉู่เหินก็พยายามเล่าเรื่องแบบคร่าว ๆ ให้ทั้งสองฟังไม่กล้าลงลึกมากเกิน ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะเขากลัวว่าทั้งสองจะเป็นห่วงขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงฉู่เหินจึงโกหกไปว่า เขาไปล่องแพก่อนที่ จู่ ๆ แพจะไปชนเข้ากับหินอย่างแรง จนทำให้ตัวของเขากระเด็นออกไปและหัวกระแทกอย่างแรง
หลังจากได้ยินแบบนั้น คนทั้งสองก็ยิ่งเป็นกังวล แต่โชคดีที่ตอนนั้นได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องก่อนจะชวนทุกคนไปนั่งทานข้าว แต่ระหว่างนั้นสิ่งที่เสี่ยวเฟิงพูด ก็ทำให้ฉู่เหินเป็นกังวลอีกครั้ง
“เบื้องบนบอกมาว่าต้องการปลาเกล็ดขาวจำนวนมาก แต่สาหร่ายที่นายให้มามันหมดไปแล้ว การจะทำให้ปลาเกล็ดขาวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแบบเดิมคงไม่ง่ายแล้วล่ะ!” เสี่ยวเฟิงกังวลมากที่ต้องพูดเรื่องนี้ เพราะว่าสาหร่ายอื่นมันใช้เลี้ยงปลาเกล็ดขาวไม่ได้
ฉู่เหินได้ยินแบบนี้ก็ถอนหายใจ สาหร่ายที่เขาใช้คือสาหร่ายทะเลลึก ถึงแม้มันจะไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับการที่เขาต้องออกเรือไปเพื่อเก็บสาหร่ายจากทะเลลึก
หากแต่ปัญหาในตอนนี้จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องของจำนวนของปลาเกล็ดขาวนี่แหละ เจ้าพวกนี้มันกินแต่สาหร่ายพิเศษแบบนั้นเท่านั้น ถ้าเขาอยากจะเพาะพันธุ์พวกมันเยอะ ๆ ก็มีแต่ต้องตุนสาหร่ายพวกนั้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องกักตุนนี่แหละที่เป็นปัญหาที่สุด แต่ไม่ว่าจะหาแนวทางยังไง เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว เห็นที่ก็มีแต่การที่เขาต้องลงไปเก็บสาหร่ายทะเลลึกไว้เยอะ ๆ เท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้ เขาก็คงทำได้เพียงเท่านี้
และด้วยความที่มันคือสาหร่ายทะเลลึก ดังนั้นมันจึงจะปรากฏขึ้นในทะเลใหญ่ตรงบริเวณที่ลึกมาก ๆ เท่านั้น
หลังจากมื้อเย็น หลิวจ้านซานอยากจะให้ชายหนุ่มค้างคืนที่นี่ แต่ฉู่เหินปฏิเสธ เขามีเรื่องมากมายที่ต้องทำหลังจากนี้
เมื่อฉู่เหินกลับมาที่บ้าน สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเช็กดูฉู่เฟิงว่าเป็นยังไงบ้างหลังจากศึกครั้งที่แล้ว เมื่อเห็นฉู่เฟิงไม่ได้รับความเสียหาย เขาจึงโล่งอก
แต่หลังจากที่เขามองไปที่นกคีรีบูนและเสี่ยวหง ฉู่เหินก็เกิดประหลาดใจขึ้นมา เจ้าสองตัวนี้หลังจากนอนหลับไปเดือนกว่า ๆ ตอนนี้พวกมันได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แถมรูปร่างของพวกมันก็เปลี่ยนไปมาก เจ้านกคีรีบูนดูตัวใหญ่กว่าเดิมมาก และดูน่าเกรงขาม
ตรงข้ามกับเจ้ากระต่ายหายนะ ร่างของมันที่เคยยาวกว่าหลายฟุต ตอนนี้มันกลับเล็กลงมาก เมื่อบวกกับขนสวย ๆ ยาว ๆ ของมันแล้ว นี่จึงทำให้เจ้ากระต่ายตัวนี้ดูน่ารักมากเสียจนทำให้เขาอดใจที่จะอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งนอกจากขนาดที่เปลี่ยนไปแล้ว ฉู่เหินก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังคำสาปที่รุนแรงมากขึ้นของมันด้วยเช่นกัน
ฉู่เหินและสัตว์ของเขาสามารถสื่อสารกันผ่านกระแสจิตได้ หลังจากการพูดคุย มันก็ทำให้เขารู้ว่าเจ้ากระต่ายตัวน้อยนี่หลังจากพัฒนาขึ้นแล้ว ตอนนี้มันสามารถควบคุมความรุนแรงของคำสาปได้ พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้มันเจ๋งสุด ๆ ไปเลย!