ตอนที่ 7 ขันทีผู้ภักดี
ชางอู๋ซินก้าวเดินออกมาจากถ้ำอย่างมิได้รีบร้อนเเต่อย่างใด นางเดินผ่านป่าบนภูเขาอย่างช้า ๆ
แต่ทันใดนั้น ได้เหลือบไปเห็นเงาของผู้คนจำนวนมากวิ่งตามมาด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
แต่สัมผัสได้ว่า ผู้คนเหล่านี้มิได้มีเจตนาร้าย ชางอู๋ซินทราบได้ในทันทีว่า พวกเขามิใช่ศัตรู
หลังจากที่พวกเขาเห็นชาง อู๋ซิน เงาเหล่านั้นก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงมิกี่คนที่คอยติดตามเฝ้าดูนางอยู่
ห่าง ๆ
ริมฝีปากของชางอู๋ซินเกิดรอยยิ้มปรากฎขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าตัวตนของรัชทายาทผู้นี้ช่างน่าสนใจกว่าที่คิดเอาไว้มาก ผู้ใดกันที่เต็มใจจะปกป้องผู้ที่ไร้ความสามารถเช่นนี้?
ชางอู๋ซินมิได้แสดงปฏิกิริยาที่มีพิรุธแต่อย่างใด ราวกับว่ามิรู้ถึงการปรากฏตัวของเงาที่ติดตามนางอยู่
ชางอู๋ซินยังคงเดินต่อไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย และมุ่งหน้าไปยังตำหนักของรัชทายาทผู้นี้
เงาที่ติดตามชางอู๋ซินผงะเมื่อมองไปยังรัชทายาท และนึกถึงคำกล่าวของผู้คน ที่มักกล่าวถึงความไร้ความสามารถและความขี้ขลาดของเขา
แต่บัดนี้ถึงแม้ว่ารัชทายาทจะเดินไปบริเวณโดยรอบป่าทึบ
แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงประกายของความสง่างามที่อยู่โอบล้อมรอบเรือนร่างของเขาเอาไว้
แม้จะเห็นได้ชัดว่า รูปร่างของเขาช่างผอมบาง แต่ก็ให้ความรู้สึกได้ว่ากำลังมองบุคคลผู้สูงส่งอยู่ เขาผู้นี้ไร้ความสามารถจริงหรือ?
เมื่อชางอู๋ซินเดินพ้นจากชายป่า จึงรีบผละออกจากเงาที่ตามหลังนางมาในทันที
เงาเหล่านั้นต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าองค์รัชทายาทหายเข้าไปกลีบเมฆ โดยมิมีผู้ใดสังเกตทัน
พวกเขาคลาดสายตาจากรัชทายาทไปได้อย่างไร?
พวกเขาแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในวิชาตัวเบา แต่รัชทายาทกลับสามารถหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้สายตาของพวกเขา เหงื่อเย็นเปียกชุ่มไปแผ่นหลัง เห็นได้ชัดว่า รัชทายาทรู้ตัวว่าโดนสะกดรอยตามแล้ว
เมื่อมองไปยังเงาที่กระจัดกระจายเหล่านั้น ชางอู๋ซินจึงหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ
แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะมิได้มุ่งร้าย แต่นางก็ยังคงมีความวิตกกังวลอยู่ดี
นอกจากนี้ชางอู๋ซินมิต้องการกลับไปยังตำหนักของรัชทายาท โดยให้ผู้อื่นพบเห็นในสภาพเช่นนี้
ดังนั้นนางจึงใช้ทางเข้าลับเพื่อแอบเข้าไปยังห้องนอนของรัชทายาทโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้
เนื่องจากรัชทายาทเป็นหญิงที่ปลอมตัวเป็นชาย จึงมิมีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของนาง
แม้แต่การทำความสะอาดห้อง รัชทายาทก็ต้องทำเอง นั่นเป็นเหตุผลที่มิมีผู้ใดอยู่บริเวณโดยรอบเมื่อชางอู๋ซินแอบเข้าไปด้านใน
ห้องนอนของรัชทายาทมีภาพวาดของดอกไม้ซึ่งมีผึ้งและผีเสื้อกำลังบินวนเวียนเพื่อหาน้ำหวาน
ผ้าม่านทำจากผ้าไหมชั้นดีสีม่วงสดใสปิดบังเตียงขนาดใหญ่นั้นเอาไว้
โต๊ะทำงานที่สิ่งของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พรมสีแดงปักลายดอกไม้ที่หรูหราบนพื้น และมีจี้ที่รัชทายาทเป็นผู้ประดิษฐ์เองแขวนอยู่ข้างหน้าต่าง
แม้ว่ารัชทายาทจะปลอมตัวเป็นชาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่า จิตใจของนางเป็นเด็กสาว
ในสายตาของอู๋ซินแล้ว ห้องนี้ช่างเป็นห้องที่ไร้สาระสิ้นดี ชางอู๋ซิน มิค่อยชอบใจในความอ่อนหวานเช่นนี้เท่าใดนัก
จึงทำเพียงแค่เหลือบมองพร้อมกับแแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
จากนั้นจึงเดินไปยังตู้เสื้อผ้าและเปิดมันออกดู
ตู้ใบนี้เต็มไปด้วยเสื้อคลุม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลือง และยังมีสีม่วง สีน้ำเงิน และอีกหลากหลายสี
ชางอู๋ซินหยิบเสื้อคลุมสีดำออกมาหนึ่งตัว และเดินไปยังห้องน้ำด้านในเพื่อชำระล้างร่างกายให้สะอาด
มีเสื้อคลุมเพียงมิกี่ตัวเท่านั้นที่คล้ายกับเสื้อคลุมสีดำตัวนี้ในตู้เสื้อผ้าของนาง
ชางอู๋ซินถอดเสื้อคลุมสีเหลืองที่ขาดรุ่งริ่ง และอยู่ในสภาพยับเยินที่สุดตัวนั้นออก และเริ่มทำการสำรวจร่างกายของตนเองทันที
ปกติชางอู๋ซินเป็นผู้ที่มิแยแสกับสิ่งใด แต่เมื่อนางได้เห็นร่างกายนี้
ถึงกับต้องจ้องมองด้วยความชื่นชม ผิวกายนี้ช่างเนียนนุ่ม และขาวผุดผ่อง ราวกับมิเคยโดนแสงแดดต้องผิวกายมาก่อนเลยในชีวิต
ก่อนหน้านี้ชางอู๋ซินเคยเห็นความงามมากมาย แต่เมื่อเทียบกับผิวพรรณและร่างกายอันงดงามนี้แล้ว
ก็พบว่า มิมีเรือนร่างของผู้ใดจะสามารถเทียบได้ ร่างกายนี้มิมีแม้แต่รูขุมขน!
หากในอดีตชางอู๋ซินใช้ชีวิตแบบผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องผิวพรรณ และความงดงาม
บางทีนางอาจจะนำพาตระกูลชางไปสู่ความหายนะก็เป็นได้
และช่างน่าเสียดายที่ความงดงามของคนผู้นี้ มิเคยทำให้ตัวของเขามีความสุขเลย
หลังจากอาบน้ำชำระสิ่งสกปรกเรียบร้อยแล้ว ชางอู๋ซินจึงเดินไปยังกระจกในห้องอาบน้ำ
เพื่อที่จะดูรูปลักษณ์ของตนเอง นางตกใจจนกล่าวอันใดมิออก
ใบหน้าของรัชทายาทช่างงดงามเหลือเกิน ถูกต้อง! ใบหน้าเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับผิวกายที่ไร้ที่ติเช่นนี้ ช่างจับคู่กันได้อย่างลงตัวที่สุด
แม้ว่าชางอู๋ซินจะมิสนใจเรื่องรูปลักษณ์มากนัก แต่สามารถกล่าวได้เลยว่า เรือนร่างนี้สมบูรณ์แบบมาก ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!
สิ่งที่ชางอู๋ซินมิทราบคือนอกจากรัชทายาทผู้นี้จะมีความงดงามเช่นนี้แล้ว นางยังมีความโชคร้ายที่ขี้ขลาดและอ่อนโยนมากจนเกินไป
ผู้คนจึงมิให้ความสำคัญกับนาง แต่บัดนี้จิตวิญญาณที่มาพำนักอยู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
และในตอนนี้จิตวิญญาณและร่างกายสามารถเข้ากันได้ดีและนั่นทำให้นางเปล่งประกายเจิดจ้า จนยากที่จะถูกมองข้าม
ชางอู๋ซินมองหน้าอกที่ค่อนข้างแบน อาจเป็นเพราะรัชทายาทพันหน้าอกของนางด้วยผ้าสีขาวมาตั้งแต่เล็กก็เป็นได้
เด็กสาวที่มีอายุสิบห้าปีที่น่าจะมีทรวดทรงที่ดีมากกว่านี้
หน้าอกของนางเป็นแค่เพียงไม้กระดานที่ราบเรียบ ชาง อู๋ซินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะให้ความสำคัญกับร่างกายของนาง
เมื่อประตูห้องนอนเปิดออกจากด้านในเหล่าสาวใช้และเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าห้องนั้น ต่างก็จ้องมองนางด้วยความหวาดกลัว
เมื่อพวกเขาก็เห็นองค์รัชทายาทในชุดเสื้อคลุมสีดำซึ่งมีลักษณะเหมือนสัตว์ที่มีความดุร้าย
พวกเขามิเคยทราบมาก่อนเลยว่า องค์รัชทายาทสามารถเปล่งประกายที่น่าเกรงขามได้ถึงเพียงนี้
“องค์รัชทายาท!”
เหล่าคนรับใช้ย่อตัว และคุกเข่าลงกับพื้นในทันที หลายคนอยู่ในอาการตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด
องค์รัชทายาทหายตัวไปหลังจากที่เข้าไปยังป่าด้านหลังสุสานจักรพรรดิ
แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนี้ แต่พระองค์มิได้แสดงท่าทีสนใจแต่อย่างใด
แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทได้ปรากฏตัวจากในห้องนอนของเขาได้อย่างไร?
เหล่าสาวใช้ต่างก็เชื่อว่ารัชทายาทเสียชีวิตไปแล้ว คนรับใช้หลายคนจึงพยายามเปลี่ยนไปรับใช้องค์ชายท่านอื่น
ชางอู๋ซินยืนอยู่ที่ด้านบนของบันได และจ้องมองไปยังสาวใช้และเด็กรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รัชทายาทมีสาวใช้เพียงแค่นี้เองหรือ?
“โอ…องค์รัชทายาท!”
ทันใดนั้นขันทีในวัยกลางคนก็รีบวิ่งเข้ามา และร้องคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงที่โหยหวนเมื่อเขาเห็นร่างขององค์รัชทายาท
แม้น้ำเสียงที่แหลมคมจนเสียดหูจะมิถูกใจชางอู๋ซินนัก
แต่นางสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยอันแท้จริงของขันทีผู้นี้
เขาผู้นี้ดูแลองค์รัชทายาทตั้งแต่เด็ก และเป็นเพียงผู้เดียวในตำหนักที่รู้ว่ารัชทายาทเป็นผู้หญิง
ขันทีในวังถูกเรียกว่า ‘กงกง’
และห้วงของความทรงจำ เขาเคยเป็นหัวหน้าขันทีผู้นี้รับใช้มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์รัชทายาท
เนื่องจากความจงรักภักดีและความทุ่มเทของชายผู้นี้ เขาจึงได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินี
และหลังจากการตายของนาง จึงได้มอบหมายให้ขันทีผู้นี้ดูแลองค์รัชทายาท
ดังนั้นขันทีจึงดูแลรัชทายาทเหมือนบุตรของตนเอง นับตั้งแต่นั้นมา
หลังจากที่ตำหนักของรัชทายาทสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กงกงจึงติดตามเข้ามารับใช้ในตำหนัก
ทุกคนเรียกเขาว่า ‘กงกงไห่ชิง’
“องค์รัชทายาท!”
ขันทีไห่ชิงรีบเดินเข้ามายังด้านข้างของชางอู๋ซินโดยตั้งใจจะตรวจดูอาการบาดเจ็บ
แต่ชางอู๋ซินได้ห้ามเขาเอาไว้ นางมิชอบให้ผู้อื่นแตะต้องตัวแม้ว่าขันทีผู้นี้จะมิมีเจตนาชั่วร้ายก็ตาม
เมื่อขันทีไห่ชิงเห็นว่าองค์รัชทายาทปลอดภัยดี เขาจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
“องค์รัชทายาท ต่อไปนี้ท่านอย่าได้เอาแต่ใจมากนัก หากมีเหตุอันใดเกิดขึ้นกับท่าน ข้าน้อยคงจะต้องมีอันเป็นไป
เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปบอกกล่าวกับองค์จักรพรรดินีในปรโลกว่าอย่างไร?!”
“บัดนี้ข้าสบายดี เจ้ามิจำเป็นต้องตาย”
ชางอู๋ซินกล่าวกับขันทีไห่ชิง
แม้ว่ากงกงผู้นี้จะดูสติมิค่อยเต็มเต็งไปบ้าง แต่ก็น่าจะเป็นเพราะการปกป้องของเขา ที่ทำให้องค์รัชทายาทสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลาหลายปี
ชางอู๋ซินชื่นชมผู้ที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถเช่นนี้อย่างแท้จริง
ขันทีไห่ชิงสำลักคำกล่าวของตนเองทันที
เหตุใดองค์รัชทายาทจึงทำตัวแตกต่างจากเดิมมากนัก?
ทั้งท่าทางที่ดูสง่างาม หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ของเขาก็ดูน่าเกรงขามมากขึ้น
กงกงทราบมาเสมอว่ารัชทายาทผู้นี้มีความงดงามมาก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ เกือบจะเหมือนการเกิดใหม่ซึ่งน่าตกใจเป็นอย่างมาก
แต่มิว่าองค์รัชทายาทจะเป็นเช่นไร ก็เป็นเจ้านายของขันทีผู้นี้ และเขาสาบานว่า จะจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทผู้นี้ตลอดไป