บทที่ 12 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ปลาย)
เมืองหลวง !
เยี่ยฉวนพึมพำ “ดูเหมือนว่าต้องเป็นเมืองหลวงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
หลังจากฝึกฝนทักษะกระบี่มาได้ระยะหนึ่ง เยี่ยฉวนก็จึงออกจากหอคอยแห่งเรือนจำ
หลังจากที่เยี่ยฉวนออกไปแล้ว ก็พลันมีเสียงกระซิบดังขึ้น “เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น… ดูแปลกไปสักหน่อย…”
…
เยี่ยฉวนกลับมาที่ห้อง ในเวลานั้นเยี่ยหลิงก็ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยยินดีนัก
เยี่ยฉวนคลี่ยิ้ม “มีอะไรงั้นหรือ ?”
เยี่ยหลิงเดินมาข้างหน้าเยี่ยฉวนและพูดเสียงกระซิบ “ท่านพี่ ตอนนี้เยี่ยหลางได้ดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาแล้ว ผู้คนทั้งหลายล้วนยินดีปรีดา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านผู้เฒ่ายังจะแต่งตั้งเยี่ยหลางขึ้นเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย แล้วต่อมาเขาก็คงกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเยี่ยเป็นแน่”
“นิมิตแห่งสวรรค์และโลก !”
เยี่ยฉวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเคยได้ยินมาว่าผู้มีความสามารถสูงสุดที่แท้จริง เมื่อทะลวงเลื่อนขั้นได้ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลก แต่นั่นเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ด้วยมียอดอัจฉริยะเสียที่ไหนในเมืองชิง ! เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นบางทีจึงอาจเป็นไปได้ว่าเยี่ยหลางเป็นคนดึงดูดนิมิตนั้นให้เกิดขึ้นมา !
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าเยี่ยหลางคือยอดอัจฉริยะที่ถูกกำหนดไว้แล้ว !
ขณะนั้นเองเยี่ยหลิงก็พลันพูดขึ้น “นิมิตแห่งสวรรค์และโลกงั้นหรือ ? ช่างเถิด จะอย่างไรท่านพี่ของข้าก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด”
เยี่ยฉวนระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ยังเหลือเวลากว่าสิบวัน กว่าจะถึงการประลองชี้เป็นชี้ตายกับเจ้านั่น เสร็จจากนั้นแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปจากจวนตระกูลเยี่ย”
“ไปจากจวนตระกูลเยี่ย ?”
เยี่ยหลิงถามขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นแล้ว… เราจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่เจ้าคะ ?”
เราจะได้กลับมาหรือไม่งั้นหรือ ?
เยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงเติบโตขึ้นที่นี่ ทั้งสองมองว่าที่นี่คือบ้านจริง ๆ แต่แล้วหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ได้พบว่าเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยไม่เคยมีพื้นที่ในหัวใจให้สำหรับตัวเองและน้องสาวเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะว่ายังใช้งานได้ ป่านนี้เขาและเยี่ยหลิงคงได้ตายไปนานแล้ว จวบจนบัดนี้ เมื่อตระกูลเยี่ยมีผู้ที่ดีกว่า ก็ละทิ้งเขาโดยทันที…
เยี่ยฉวนเคยคิดว่า หากวันหนึ่งเขาเสียสละเพื่อตระกูล คนในตระกูลเยี่ยย่อมต้องเห็นแก่หน้าเขาสักสามส่วนและปฏิบัติต่อเยี่ยหลิงเป็นอย่างดี เพราะเขาทุ่มเทเพื่อส่วนรวมด้วยชีวิต แต่มาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าหากเขาต้องตาย ผู้เป็นน้องสาวคงได้พบกับจุดจบที่น่าสังเวชไม่ต่างกัน !
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยฉวนพลันส่ายหน้าและอมยิ้ม ชายหนุ่มลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเยี่ยหลิงก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าชอบที่นี่หรือไม่ ?”
เยี่ยหลิงสั่นศีรษะ “ข้าเคยชอบ เพราะที่นี่มีท่านพี่อยู่ด้วย แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว ตระกูลนี้ไม่ยุติธรรมต่อท่าน ถึงแม้ว่าท่านพี่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังตอบแทนเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าและคนอื่น ๆ ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง ! กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในตระกูลเยี่ยก็ไม่ช่วยออกหน้าให้ท่านเลยแม้แต่น้อย คนพวกนั้น… ช่างชั่วร้ายเกินไปแล้ว”
เยี่ยฉวนยิ้มบางเบา “เจ้าอย่าได้กังวลไป โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ตราบใดที่เราสองพี่น้องอยู่ด้วยกัน ที่ตรงนั้นก็ย่อมเรียกว่าบ้านได้ !”
เยี่ยหลิงยิ้มหวานและเข้าไปกอดเยี่ยฉวนแน่น “ตราบใดที่มีท่านพี่อยู่ ข้าไปที่ไหนก็ได้ !”
เยี่ยฉวนหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากใช้เวลากับเยี่ยหลิงพักใหญ่ ชายหนุ่มก็จึงกลับเข้าไปที่หอคอยแห่งเรือนจำอีกหน
ได้เวลาฝึกฝน !
เหลือเวลาอีกสิบวันกว่าจะถึงนัดชี้ชะตาเป็นตายกับเยี่ยหลาง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้ เขาก็ไม่กล้าประมาท !
เยี่ยฉวนกางมือขวาออก ในฝ่ามือปรากฏดาบสีเงินขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อมองกระบี่ในมือตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้ากลายเป็นเซียนกระบี่แล้วใช่หรือไม่ ?”
“เซียนกระบี่งั้นหรือ ?”
สตรีลึกลับตะคอกเสียงเย็นชา “เจ้ายังห่างไกลอีกมากโขนัก !”
เยี่ยฉวนชะงักงันไปเล็กน้อยด้วยความมึนงง “ทำไม ?”
สตรีลึกลับกล่าวต่อ “มีเพียงผู้ที่เข้าใจความหมายของกระบี่และดึงเอา ‘แก่นแท้’ ของเต๋าแห่งกระบี่เท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นเซียนกระบี่ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่เจ้าในตอนนี้ เจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่นายแห่งกระบี่ ขนาดผู้ฝึกกระบี่ก็ยังมิอาจนับว่าเป็นได้ !”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเยี่ยฉวนพลันเห่อร้อน ขึ้นหน้าแดงด้วยความอับอาย !
สตรีลึกลับกล่าวขึ้นอีกครั้ง “สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือเป็นผู้ฝึกกระบี่ให้ได้เสียก่อน เด็กน้อยเอ๋ย แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า มีผู้ฝึกฝนวิชากระบี่อยู่มากมายบนโลกใบนี้ แต่เซียนกระบี่กลับมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากนับได้สักสิบคนบนโลกของเจ้าก็ถือว่ามากแล้ว ส่วนเหตุผลนั้นเจ้าจะได้รู้ในภายหลัง ข้าบอกเจ้าได้แต่เพียงว่า เป็นเรื่องยากนักที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของเต๋าแห่งกระบี่”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ไม่ว่ามันจะยากสักเพียงไร ข้าก็จะลงมือทำ !”
หลังจากเหตุการณ์ขัดแย้งภายใน เขาก็พบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนในตระกูลเยี่ยมาดูแลน้องสาวของเขา !
เขาต้องดูแลน้องสาวด้วยตัวเอง และเพื่อการนั้นชายหนุ่มจึงจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่ง
เขาต้องแข็งแกร่งมากขึ้นยิ่งกว่าตอนนี้ให้ได้ ! เพราะนี่คือโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย หากคนผู้นั้นไม่มีค่าราคาใดที่คู่ควรแล้ว ก็จะไม่มีใครปฏิบัติด้วยอย่างจริงจัง !
เยี่ยฉวนถอนความคิดและถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ผู้อาวุโส ข้าจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไร ?”
สตรีลึกลับกล่าว “เจ้าจงหั่นเส้นผมให้ขาดในกระบวนท่าเดียว!”
เยี่ยฉวนนิ่งไปเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายมากหรอกหรือ ?”
สตรีลึกลับเยาะเย้ย “เจ้าก็ทำให้ได้เสียก่อนสิ !”
เยี่ยฉวนดึงผมเส้นหนึ่งออกมาจากศีรษะและลงมือเฉือนเพื่อตัดมัน
เส้นผมแหลกเป็นผุยผงทันทีที่สัมผัสกับกระบี่ !
เยี่ยฉวนตะลึงงันจนเป็นใบ้ เหตุใดเส้นผมของเขาจึงกลายเป็นสภาพนี้ !
ในเวลานี้เสียงของสตรีลึกลับกลับดังขึ้น “เจ้ามีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่หากเจ้าต้องการที่จะควบคุมมัน เจ้าจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทั้งความเร็ว การใช้งานทุกแง่มุมในการโจมตีโดยมีความเร็วลมเป็นองค์ประกอบ จากการคาดการณ์ของข้า เจ้าคงต้องสละเส้นผมเป็นหมื่นเส้นก่อนจึงจะเข้าใจหลักการนี้”
เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าลึก “ข้ามีเส้นผมไม่พอหรอกน่ะ !”
ด้วยเหตุนี้ เยี่ยฉวนจึงเริ่มลงมือตัดผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง !
ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำ ภายในจวนตระกูลเยี่ยถูกตกแต่งด้วยโคมไฟและผ้าม่านหลากสี บุคคลมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลในเมืองชิงถูกเชิญมาทั้งสิ้น และไม่เพียงเท่านั้น แต่คนในตระกูลเยี่ยก็ดูจะเริ่มสำคัญตัวเองเหนือผู้ใดในเมืองชิงแล้ว !
ในปัจจุบัน ครอบครัวตระกูลเยี่ยอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากดังพระอาทิตย์ยามเที่ยงตรง แม้แต่ตระกูลเจียง ตระกูลหลี และตระกูลจางก็ยังต้องยอมมางานฉลอง…
ในห้องประชุม ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ปิดตาลงเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังรอคอยอะไรอยู่
ในเวลานั้นมีชายชราอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ผู้นำตระกูลเจียง ผู้นำตระกูลหลีและผู้นำตระกูลจางได้มาถึงแล้ว”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยลืมตาขึ้นและกล่าวอย่างเฉยเมย “เยี่ยอวี๋ ไปบอกเจ้าพวกนั้นว่าข้ากำลังพักผ่อนอยู่ ไม่สามารถพบแขกได้ในตอนนี้ ไว้อีก 1 ชั่วยามค่อยมาใหม่”
เยี่ยอวี๋ค่อนข้างลังเล “ท่านผู้อาวุโส แต่ว่านี่…”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ “ถึงเวลาแล้วที่จะให้พวกมันรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในเมืองชิง”